เงาไม้ใต้เงารัก : บทนำ

เงาไม้ใต้เงารัก : บทนำ

โดย : กนก ณจันทร์

เงาไม้ใต้เงารัก นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย กนก ณจันทร์ เมื่อ ‘บ้าน’ สถานที่ที่ควรจะอบอุ่นกลับร้อนยิ่งกว่าไฟ และความรักของนนทรีที่เคยมอบให้เธอ…ยังเหมือนเดิมไหม หรือความรักทั้งหมดไปอยู่ที่เข็มขาวเสียแล้ว มารู้คำตอบในนวนิยายออนไลน์เรื่องนี้ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลิดเพลินในเรื่องราวผ่านทุกตัวอักษร

ต้นไม้น้อยใหญ่ที่แผ่ร่มเงาปกคลุมไปทั่วตลอดทั้งตัวบ้าน บอกถึงอายุอันยาวนานของแมกไม้ ตัวบ้านเองก็เป็นบ้านลักษณะเก่า เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สีเหลืองอ่อนจางซีด มีร่องรอยของการต่อเติมขยายบางส่วน อีกทั้งยังมีเรือนเล็กๆ ที่คล้ายกับเป็นห้องเก็บของแต่ดูโปร่งไม่อับทึบ เรือนเล็กๆ นี้มีเถาไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมเป็นซุ้มไม้ ซึ่งอาจทำให้งูเขียวมาแฝงตัวซ่อนเร้น แต่เจ้าของบ้านก็เอาใจใส่ดูแลไม่ปล่อยปละละเลยจนเป็นที่ซุกซ่อนแก่สัตว์ร้ายได้ เงาไม้จากบ้านหลังนี้จึงแผ่กิ่งก้านสาขาสวย มองเห็นแล้วสบายตา อีกทั้งทอดเงาร่มเย็นได้เป็นอย่างดี

ไม่เพียงแต่คนในบ้านที่ได้ประโยชน์จากเงาไม้นั้น หากบ้านใกล้เรือนเคียงและคนที่สัญจรผ่านไปมาก็ได้อานิสงส์นี้เช่นกัน แม้บางครั้งจะมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากบ้านให้พอรู้สึกหนวกหูอยู่บ้าง อย่างเสียงโวยวายหรือทะเลาะกัน บ้างก็เป็นเสียงหัวเราะ แต่เสียงเหล่านั้นก็ทำให้ ‘บ้าน’ มีชีวิตชีวา ทว่าจากนี้ไปความมีชีวิตชีวาเหล่านั้นอาจจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“ไปถึงแล้วส่งข่าวมาบอกพ่อเขาด้วยนะ อยู่ยังไง กินอะไร ที่หลับนอนสบายไหม พ่อเขาเป็นห่วง”

เจ้าของเสียงแหลมรูปร่างค่อนข้างอวบนั้นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าใบสุดท้ายถูกส่งขึ้นไปวางเคียงคู่กับกระเป๋าเสื้อผ้าห้าถึงหกใบและกล่องขนาดต่างๆ ที่วางอยู่บนรถกระบะด้านหลัง ก่อนหน้านั้นหล่อนบอกให้เจ้าของกระเป๋าเปิดๆ ปิดๆ กระเป๋าหลายรอบเพื่อตรวจตรา ด้วยเกรงว่าจะหลงลืมสิ่งใด แต่เหมือนการกระทำนั้นจะกระทำเพื่อเป็นการยื้อเวลาเสียมากกว่า

“ไม่ต้องมาอ้างคนอื่นเลย อยากรู้เองก็ยอมรับเถอะ” ปิยะกล่าวดักคอเพื่อนบ้านสาวที่ยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ ก่อนจะหันไปพูดกับสตรีร่างผอมบางที่ยืนอยู่ด้วยกันซึ่งกำลังจะเดินทางไกลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ ถ้าอะไรเข้าที่เข้าทางแล้วจะชวนให้ไปเที่ยวบ้านที่เชียงใหม่นะคะ ที่นั่นอากาศดี ไปกันให้ได้ทุกคนเลยนะ” ฉวีวรรณยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขึ้นไปนั่งรอบนรถ ปล่อยให้คนที่เหลือได้ล่ำลากันตามสบาย นัยน์ตาที่เศร้านั้นไม่ได้เป็นเพราะการจากลา แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นหนักหนาเกินกว่าที่เคยคิดไว้ แต่ตอนนี้หล่อนกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

ปิยะมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์ของกลุ่มเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ไม่กี่ปีก่อนพวกเขายังเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นซุกซนอยู่เลย เขาเพิ่งรู้สึกตอนนี้เองว่าแต่ละคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เพราะสรีระร่างกายที่ตอนนี้ทุกคนล้วนสูงใหญ่กว่าเขา แต่รู้สึกเพราะแต่ละคนต่างกำลังจะแยกย้ายไปมีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเอง

เส้นทางที่แตกต่างกันเหมือนกับที่มาของแต่ละคน…

“ดูแลตัวเองกันดีๆ แล้วก็ดูแลแม่เขาด้วยนะสน” ปิยะหมายถึงฉวีวรรณ ผู้ที่เคยฝากฝังลูกชายคนเดียวให้เขาดูแลเป็นการชั่วคราว และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่หล่อนมารับลูกชายของตนเองกลับไป

“ครับ” สนฉัตรตอบรับคำเรียบๆ ตามแบบฉบับนิสัยเงียบขรึม ประหยัดถ้อยคำ อีกทั้งแววตาที่เหมือนจะครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลานั้นก็เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กจนถึงบัดนี้ เขามองไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนจะบอกบางสิ่งและขอโทษไปในคราวเดียวกัน

โมกตบบ่าสนฉัตรเบาๆ คล้ายกับเป็นการบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ ก่อนจะกล่าวต่อ

“ไปเถอะ ไว้เราจะไปเยี่ยมที่เชียงใหม่” โมกกล่าวอย่างมั่นใจเหมือนกับแววตา เขาไม่ได้เดินทางไกลเหมือนกับคนอื่น แต่ใครเลยจะรู้ว่าชะตาชีวิตของเขาก็ต้องเดินทางไปอีกแสนไกลไม่ต่างกันกับเพื่อนที่เสมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกัน

สนฉัตรจะต้องย้ายไปเชียงใหม่อันเป็นภูมิลำเนาของฉวีวรรรณ มารดาของเขา อันที่จริงการย้ายบ้านนั้นยังไม่ได้มีกำหนดวันย้ายแน่ชัด เพียงแต่ตั้งใจจะรอให้จบธุระเรื่องยุ่งๆ ไปเสียก่อน แต่เป็นเพราะฉลอง พี่ชายของฉวีวรรณเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บไม่กี่วันก่อนจึงต้องรีบย้ายเพื่อไปดูแลฉลองซึ่งประจวบเหมาะตรงกับวันเดินทางไปต่างประเทศของนนทรี ฉวีวรรณจึงเอื้อเฟื้อไปส่งนนทรีที่สนามบินในครั้งนี้ด้วย

ถึงแม้จะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศแต่ข้าวของที่นนทรีนำติดตัวไปนั้นก็มีน้อย เพราะเจ้าตัวเพิ่งพ้นจากเด็กหนุ่มวัยมัธยมไปสู่ชายหนุ่ม เมื่อตัดชุดนักเรียนออกไปเสื้อผ้าที่เหลือจึงมีไม่มาก อีกทั้งเป็นการย้ายไปยังประเทศที่มีอากาศและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากเมืองไทย นนทรีจึงคิดว่าไปซื้อหาเสื้อผ้าใหม่ข้างหน้าน่าจะเป็นการดีกว่า กระเป๋าเดินทางของเขาจึงมีเพียงแค่สองใบ เสื้อผ้าไม่กี่ชุด ที่เหลือก็เป็นอาหารแห้งที่พรรษาเตรียมไว้ให้

“ก่อนจะขึ้นเครื่องผมจะโทรมาบอก แล้วถ้าไปถึงอเมริกาเมื่อไหร่ผมก็จะติดต่อทันที พ่อปิยะไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ส่วนนายสองคน” นนทรีหมายถึงสนฉัตรและโมก “ดูแลตัวเองกันได้อยู่แล้วแหละ ไว้ถึงที่นั่นเราจะแชตด้วยบ่อยๆ”

นี่คือนนทรี เขาเหมือนจะอ่านใจผู้คนได้และยินดีที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากบอกหรือร้องขอ อีกทั้งยังมีนิสัยเอื้อเฟื้อเป็นห่วงเป็นใย พยายามทำให้ผู้อื่นสบายใจอยู่เสมอ

นนทรีส่งรอยยิ้มที่ยิ้มทั้งหน้าและแววตาให้โมก อันเป็นรอยยิ้มที่ส่งพลังและแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนซึ่งเสมือนพี่น้องของเขาคนนี้ ถึงแม้ว่าท่าทางของโมกจะไร้ความกังวลและมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม แต่นนทรีก็รู้ดีว่าในใจนั้นต้องรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง เพราะอย่างไรโมกก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง การที่มีเรื่องราวถึงกับต้องขึ้นโรงขึ้นศาลนั้นเป็นสิ่งที่หนักหนาเกินวัย

ทางด้านสนฉัตรที่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องใดๆ ให้ต้องกังวลน่าหนักใจแต่การที่สนฉัตรจะต้องช่วยดูแลประคับประคองผู้เป็นมารดาที่เพิ่งได้ชีวิตปกติกลับมาโดยลำพังนั้นทำให้นนทรีก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เดิมทีสนฉัตรก็เป็นคนเก็บความรู้สึก ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาไกลกันเช่นนี้สนฉัตรจะพูดคุยหรือปรับทุกข์กับใครได้ แต่นนทรีเชื่อมั่นว่าทั้งสนฉัตรและโมกเป็นคนแกร่ง พวกเขาจะผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆ ไปได้อย่างแน่นอน ทว่าคนที่เขาเป็นกังวลอีกคนนี่สิ…

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงเวลาที่นนทรี สนฉัตร และโมกจะต้องเดินทางเสียที แต่เด็กหนุ่มทั้งสามก็ยังไม่ยอมขึ้นรถ กลับหันมองบ้านหลังนี้อยู่เนิ่นนานราวกับมีสิ่งใดมาสะกิดย้ำเตือนให้พวกเขาประทับภาพนั้นให้ลึกสุดใจพร้อมกันนั้นก็ยืนรีๆ รอๆ มองหาใครสักคน

ปิยะ ผู้เป็นเสมือนบิดามองเห็นท่าทางของบุตรชายต่างสายเลือดทั้งสามก็เข้าใจทันที

“ระย้าแก้วคงไม่ลงมาหรอก น่าจะงอนอยู่” ปิยะกล่าวพร้อมกับยิ้มบางๆ คล้ายกับเป็นการปลอบใจเด็กหนุ่มทั้งสาม เขาเลี้ยงเด็กคนนี้มาเองกับมือจึงรู้ดีว่าบุตรสาวของตนนั้นแสนงอนและดื้อรั้นเพียงไหน

นนทรี สนฉัตร และโมกก็คงจะทราบในข้อนี้ไม่ต่างกัน หากก็ยังคาดหวังให้น้องน้อยของบ้านโผล่หน้ามาให้เห็นสักนิด

หวัง…คล้ายกับเป็นลางว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกนาน…

โมกตัดใจได้ก่อน เขาคิดว่าเดี๋ยวค่อยกลับมาง้อระย้าแก้วก็ได้ จึงขึ้นรถไปสมทบกับพรรษาและปิยะที่ติดเครื่องรอแล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นสนฉัตร เด็กหนุ่มพยักหน้าให้กับนนทรีคล้ายกับเรียกให้รู้ตัวแล้วจึงเดินไปนั่งรอในรถเตรียมตัวออกเดินทาง การเดินทางของเขาไม่จำเป็นต้องรีบเร่งแข่งกับเวลาเหมือนกับนนทรีที่มีกำหนดการเดินทางโดยสายการบิน หากคนที่ควรตระหนักถึงเวลายังยืนแหงนหน้ามองไปยังบานหน้าต่างชั้นสองของบ้าน

ตะวันทอแสงอ่อนๆ แทรกผ่านร่มไม้เบาบาง นนทรีจึงมองย้อนแสงตะวันได้โดยไม่แสบตา ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวเมื่อต้องกับสายลมทำให้นนทรีมองเห็นศีรษะของผู้ที่แอบซ่อนอยู่หลังผ้าม่านบางนั้น เมื่อลมพัดแรงจนทำให้ผ้าม่านโบกสะบัดขึ้นสูงคนที่แอบหลังผ้าม่านก็ก้มลงทันที แม้แค่ชั่วขณะเดียวแต่ก็ทำให้นนทรีได้สบสายตากับคนที่แอบอยู่ตรงนั้น

นนทรียิ้มพอใจ เขารู้ว่าหล่อนใจแข็ง แต่ก็ไม่ใจดำถึงขนาดจะตัดสายสัมพันธ์ถึงขั้นไม่ยอมพบหน้ากันอีกต่อไป หากแต่ทิฐิในใจของสาวน้อยผู้นี้มีมากนัก ประกอบกับถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจจากทุกฝ่าย เขาเชื่อว่าสักวันหล่อนจะเข้าใจในเหตุผลทุกอย่าง แต่ขณะนี้อารมณ์เป็นฝ่ายยึดครองจิตใจ หล่อนจึงทำปั้นปึ่งเคืองโกรธตั้งแง่อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“ระย้าแก้ว พี่ไปก่อนนะ แล้ววันหนึ่งพี่จะกลับมา” นนทรีตะโกนขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน หวังให้เด็กสาวได้ยินก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่ฉวีวรรณและสนฉัตรคอยอยู่

หลังจากนั้นรถทั้งสองคันจึงขับเคลื่อนออกจากรั้วบ้านไป

 

ระย้าแก้วรีบก้มศีรษะหลบทันทีเมื่อปะทะกับสายตาของคนที่อยู่ข้างล่าง หล่อนแอบอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ทุกคนรวมตัวกันหน้าบ้าน ต่างช่วยลำเลียงขนสิ่งของขึ้นบนรถกระบะ เด็กสาวยังคงโกรธเคืองพี่ชายทั้งสามตั้งแต่ทราบว่าพวกเขาตัดสินใจจะย้ายออกจากบ้านไป จึงทำแง่งอนไม่ยอมพูดด้วยกันกับทั้งสามคนตั้งแต่ตอนนั้น

ระย้าแก้วไม่เข้าใจทุกคน ทุกการกระทำและเหตุผล ในเมื่อทุกคนพูดมาตลอดว่าที่นี่คือครอบครัว แล้วเหตุใดจึงตัดสินใจจากกัน…

หล่อนจึงประกาศก้องเสียงดังลั่นเมื่อรู้เรื่อง

‘ถ้าพวกพี่คิดจะทิ้งแก้วกับพ่อ คิดว่าเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ไปเลย’

ระย้าแก้วร้องไห้ฟูมฟายเมื่อประกาศกร้าวออกไป แต่ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งหรือเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของใครได้ หล่อนจึงประท้วงด้วยการไม่มาส่ง ไม่บอกลา ปิดขังตัวเองอยู่ในห้อง เด็กหญิงที่กำลังจะมีคำขึ้นต้นว่านางสาวในอีกกี่ไม่วันข้างหน้าน้ำตาซึม มองรถสองคันที่กำลังเคลื่อนที่ออกจากบ้านไป หล่อนไม่ได้ตั้งใจพูดขับไสพวกเขาเช่นนั้น

ไม่…อย่าไป อย่าเพิ่งไป อยู่ด้วยกันเถอะนะ

ระย้าแก้วตะโกนก้องในใจ หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งใดไว้ได้

เด็กสาวร่างผอมบาง ผิวขาวสะอาดตา ใบหน้าอ่อนใสที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาวิ่งกระโดดลงบันไดแล้ววิ่งต่อด้วยความเร็วปานพายุก่อนจะไปหยุดที่หน้าบ้านพร้อมกับยืนหอบตัวโยน ดวงตาใสพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตามองเห็นรถสองคันที่ ‘พี่ชาย’ ทั้งสามคนโดยสารพ้นระยะสายตาของหล่อนไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงมิตรภาพ ความทรงจำที่มีมายาวนานนับเป็นสิบปีไว้เบื้องหลังแล้วจากไป…

 



Don`t copy text!