จอกน้ำชาแห่งรู้

จอกน้ำชาแห่งรู้

โดย : เก้าอี้หวาย ปลายเกลียวเมฆ

Loading

เด็กหนุ่มวิ่งผ่านกองหนังสือและใบลานจำนวนมากออกไปนอกห้องแถว เนื้อตัวมอมแมมจากการทำงานหนักมาทั้งวัน น้ำในดวงตารื้น อารมณ์ขุ่นเคือง ความรู้สึกไม่ดียังไม่ทันจะถูกระบายออก ก็มีเสียงไล่ตามหลังมาตอกย้ำซ้ำเข้าไปอีก

“ทำไมลื้อมันใช้ไม่ได้อย่างนี้ ไปเลย! อย่ากลับมาให้อั๊วเห็นหน้าอีก”

อะไรบางอย่างขาดผึง จึงเงื้อเท้าเตะเก้าอี้หวายหน้าบ้านกระเด็นไปไกลถึงกลางถนน ทำผู้คนในย่านการค้าเก่าแห่งเสาชิงช้าชายตามองและส่ายหน้าอีกครั้งหนึ่ง

เด็กหนุ่มไม่สนผู้ใด ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่าความคับแค้นที่อัดแน่นในอกตน ตอนนี้เขารู้แต่เพียงว่า เส้นทางข้างหน้าต้องดีกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

ผ่านเสาชิงช้าไป ก็เป็นเขตวัดสุทัศน์ฯ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเทศบาลนครกรุงเทพฯ ยุคสมัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่คณะราษฎรเข้าปกครอง ผู้คนก็หัวก้าวหน้ากระด้างกระเดื่องขึ้นอย่างสังเกตเห็นได้ และนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนแท้จริงที่กระทบประชาชน แม้เด็กหนุ่มจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน

ริมคลองหลอดสมัยเก่า น้ำยังใสไหลเย็น ผู้คนต่างใช้เป็นเส้นทางสัญจรพบปะกันอยู่

“ตู้ม” เสียงเด็กหนุ่มกระโดดน้ำจากริมตลิ่ง ละอองน้ำกระเซ็นไกลไปถึงต้นไม้และเสาไฟที่ปักอยู่แถวนั้น ฟองอากาศลอยขึ้นมาพร้อมเสียงอู้อี้โหวกเหวกจากจุดที่เขาดำลง

ไม่นานนัก ร่างที่มอมแมมก็ถูกชำระล้างและโผล่ขึ้นมาลอยตัวมองฟ้า พูดบ่นว่าทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเขาเลย

เขาต้องทำงานหนักทุกวันเพื่อส่งน้องหญิงชายเรียนหนังสือ ระหว่างวันก็ต้องช่วยอาป๊าอาม้าขายของ ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำอาม่าที่ป่วย แต่ไม่ว่าจะทำอะไรเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้รับคำชม แถมยังโดนตำหนิ ติว่าตัวเองสบายไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเหมือนคนสมัยก่อน

ฮึ! ถ้าชีวิตเรามันสบายนัก ลองไปฟังผู้ใหญ่ที่สภากาแฟพูดสิ อนาคตมันจะมีระบอบใหม่ ระบบที่ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก จะโต้เถียงอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องทำตามอาป๊าอาม้า ไม่มีหรอกความเหลื่อมล้ำแบบนี้ คนหนึ่งได้เรียนหนังสือแต่อีกคนต้องทำงาน โอ๊ย! เมื่อไหร่วันนั้นมันจะมาถึง จะรอไม่ไหวแล้วนะ

ลมเย็นๆ พัดผ่านแมกไม้ ฝูงปลารอบตัวก็ว่ายกระโดดไปมา เด็กหนุ่มนอนลอยคอเล่นได้ไม่นานก็ต้องขึ้นจากน้ำเพราะว่าเริ่มหิวแล้ว

ในขณะที่เขากำลังสะบัดเสื้อผ้าให้แห้ง ก็พลางอดที่จะไม่นึกถึงอาม่าที่นอนอยู่ที่บ้านได้ แล้วเลยไปถึงข้าวสวยร้อนๆ คดอยู่ในชามกระเบื้องจีนใบเล็ก กินกับจับฉ่ายและกับแกล้มที่อาม้าเตรียม และมีอาป๊านั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะ

ก่อนที่เขาจะใจอ่อนมุ่งหน้ากลับบ้านแบบทุกครั้ง วันนี้เขาตัดสินใจจะเอาชนะให้ได้ คนที่บ้านแหละที่ผิด อารมณ์โกรธพลุ่งพล่านปะทุขึ้นข้างในอีกครั้ง ความหิวดับลง คิ้วทั้งสองย่นติดกัน และออกเดินกระแทกเท้ากลับไปยังโบสถ์พราหมณ์ผ่านตรอกนาวา หวังลึกๆ ว่าจะมีใครออกมาตามหาเขาแถวร้านขายยาจีนเก่าตรงนั้น

ด้วยความที่เป็นเด็กและไม่รู้ใจตัวเอง ต่อให้โกรธแสนโกรธแค่ไหน เส้นทางที่ตนเดินนั้นก็เป็นแค่วงกลมไม่ได้ไกลจากบ้านเลย ซ้ำร้ายความหิวยังกลับมาทำให้ต้องเดินกุมท้องไปตลอดทาง กระทั้งเขามาเจอกับชายคนหนึ่ง

ชายพิศวงผู้นั้นใส่ชุดผ้าป่านยาวสีหม่นเป็นผืนผ้าปะติดกัน ดูสงบนิ่งแต่มีดวงตามุ่งมั่น ชายผู้นั้นยิ้มให้และเชิญเด็กหนุ่มผู้หิวโหยร่วมโต๊ะน้ำชา เขามอบหมั่นโถวลูกหนึ่งให้ขณะที่ค่อยๆ วนน้ำร้อนลงบนใบชาในถ้วยตามแบบฉบับของกงฟูฉา

เด็กหนุ่มไม่รีรอรีบเอาหมั่นโถวเข้าปาก เขาสังเกตเห็นย่ามเก่าๆ และกล่องไม้สำหรับเดินทางพิงอยู่ข้างโต๊ะ

“อาเฮียไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม มาทำอะไรที่นี่เหรอ”

“ข้าเดินทางมาไกลน่ะ ว่าแต่เจ้าล่ะ มาทำอะไรอยู่แถวนี้ ทำไมไม่กลับบ้าน”

“ผมกลับบ้านไม่ได้ รอให้มีคนมาตามอยู่ ที่บ้านไม่มีใครเข้าใจผมเลย ทุกคนเอาแต่ใช้ให้ทำโน่นทำนี่ตลอด”

ชายผู้นั้นรับฟังพลางอมยิ้ม เขาค่อยๆ รินน้ำชาให้เด็กหนุ่ม น้ำชาในแก้วก็ส่องประกายเป็นสีทองระยิบระยับสวยงาม

“ชานี่สวยจัง ส่องประกายด้วย” ดวงตาเด็กหนุ่มเบิกกว้างเพราะไม่เคยเห็นน้ำชาที่งดงามเช่นนี้มาก่อน

“กินชานี้สิ เผื่อเจ้าจะเข้าใจอะไรมากขึ้น” เขารวบชายแขนเสื้อและเลื่อนจอกชาให้

เด็กหนุ่มไม่รอช้า กระดกน้ำชารสหวานในจอกนั้นไม่เหลือสักหยด แสงสว่างอันอบอุ่นเข้ามาห้อมล้อมตัวเขา เหมือนกำลังปลอบโยนจากเรื่องร้ายๆ แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

“อาเฮียๆ ผมขอหมั่นโถวอีกลูกได้ไหม หิว” เด็กหนุ่มเอามือลูบปากให้สัญญาณ

“เจ้ารีบกลับบ้านเถอะ ที่บ้านกำลังรอเจ้าอยู่”

“ว้า! งกจัง งั้นก็ไม่เป็นไร” แล้วเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนและเดินดุ่มๆ จากไป

เฮ้ย! นั่นใครน่ะ มันตัวเราไม่ใช่หรือ ทำไมมันเดินแยกจากไปได้ ผมรีบยกมือยกเท้าสำรวจตัวเองเห็นร่างใสส่องประกายแวววับ ผมหันไปมองอาเฮียที่กำลังนั่งจิบชา ผมกำลังจะอ้าปากขอความช่วยเหลือ จู่ๆ ก็มีแรงที่มองไม่เห็นกระชากผมตัวโยนไปตามทางที่ร่างผมออกเดินไป ผมชำเลืองกลับมาเห็นแค่รอยยิ้มที่มุมปากของอาเฮียก่อนลับสายตา

ตอนนี้ผมล่องลอยเหนือพื้นถนนสูงสักเมตรหนึ่ง ตามหลังร่างตัวเองที่เดินนำอยู่ข้างหน้า เป็นความรู้สึกประหลาดและน่ากลัว คนรอบข้างไม่มีใครเห็นผม ไม่ว่าจะโบกมือให้ ตะโกนเรียก หรือไปจ้องมองใกล้ๆ แต่ก็มีบางคนที่เอามือลูบแขนและทำท่าตกใจ บ้างก็เลี่ยงไปเดินอีกฝั่งของถนน

ร่างผมมันเดินๆ หยุดๆ มันคงงงงง เหมือนนอตชิ้นใหญ่สุดหลุดออกจากอุปกรณ์นายช่าง คือผมนี่เองที่หลุดออกจากร่าง จึงแวะดูรอบข้างไปเรื่อย ผมเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังขายขนมสายบัว ภายนอกเธอดูยิ้มแย้ม แต่ภายในเธอร้องไห้

ผมเคลื่อนใกล้ไปถามน้องว่าเป็นอะไร ทำไมถึงยิ้มไปร้องไห้ไป น้องไม่ตอบผม เธอยังคงเรียกลูกค้าต่อไป พอมีลูกค้าแวะเข้ามา เธอก็กลับมาสดชื่น พอลูกค้าจ่ายสตางค์ช้าเธอก็หมองลง แล้วพอเธอได้เงิน ก็สดชื่นมาใหม่ ช่างประหลาดดีแท้ รังสีวูบวาบไปมา

อันที่จริง ผู้คนตามท้องถนนก็มีสภาพเป็นแบบนั้นเหมือนกันหมด ดูไม่ค่อยมั่นคง ข้างในกับข้างนอกนั้นไม่เหมือนกัน แต่คราวนี้มันกลับมาวูบวาบที่ผมแทนแล้ว เมื่อไอ้ร่างบ๊องมันเดินไปหยุดที่โต๊ะกาแฟของอาแปะสุดโหด

“ลื้อจะเอาอะไร” อาแปะหยุดบทสนทนาการเมืองกับเพื่อนและหันมามองหน้าตัวผมที่ไปยืนชิดติดอยู่ขอบโต๊ะ

“อนาคตจะเป็นอย่างที่แปะพูดจริงเหรอ” ร่างผมหน้านิ่ง แต่ผมหันไปมองอาแปะอย่างมีความหวัง

“ก็แน่สิอาตี๋ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าเถียงผู้ใหญ่” อาแปะโหวกเหวกขึ้น แม้ภายนอกดูจริงจัง แต่ผมเห็นข้างในเหมือนเด็กๆ ที่ต้องการคนมาสนใจ

“ไม่เอาน่าแปะ เมากาแฟแล้ว ไปๆ ตี๋ รีบกลับบ้าน อย่ามากวนแปะเขา” เพื่อนอาแปะพูดขึ้น

ปัง! เสียงแปะกระแทกแก้วกาแฟใส่โต๊ะ “ลื้อก็ไม่ต่างกับลูกอั๊วหรอก อายุเท่านี้ ผู้ใหญ่ว่านิดหน่อยก็หนีไป วันนี้อั๊วเปลี่ยนให้แล้วไง ทำไมไม่กลับมาล่ะ พวกลื้อเห็นไหม ว่าการเมืองต้องเปลี่ยนแปลง!”

อาแปะหันกลับไปเปิดอภิปรายให้ผู้คนในสภาฟัง แต่ละท่านที่ต้องจำใจร่วมประชุมก็ทำหน้าเบื่อหน่าย ถึงตัวผมจะอยากฟัง แต่ร่างกายมันก้าวเดินออกไปแล้ว เห็นแต่ว่าอาแปะร้องไห้ข้างในคิดถึงลูกชาย ผมไม่เข้าใจทำไมการเป็นผู้ใหญ่มันยากเย็นนัก ทำไมไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดล่ะ ถ้าแปะคิดถึงลูกชาย ก็บอกเขาไปตรงๆ สิ เอ๊ะ ว่าแต่อาป๊าอาม้าเราจะเป็นแบบนี้ไหมนะ

เลยเสาชิงช้าไปไม่นานนักผมก็กลับถึงบ้าน ร่างผมก้าวเท้าเข้าบ้านอย่างมั่นใจ ส่วนผมลอยตัวอยู่ห่างๆ คอยดูจากข้างหลัง วันนี้ถ้าจะโดนด่า มันก็โดนแค่ตัวแหล่ะ ผมยิ้มภูมิใจรู้สึกเหมือนเป็นแกนนำที่สามารถสั่งให้ลูกน้องให้ไปตายในสนามรบแทนได้

“อั๊วบอกลื้อแล้วว่าไม่ต้องกลับมา” เสียงอาม้าตะโกนดังออกมาถึงหน้าบ้าน แต่ผมกลับได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตัวอาม้าเองน่ะแหละที่คับแค้นที่สุด อาม่าก็ป่วย งานบ้านก็ต้องทำ งานร้านก็ต้องช่วย ตัวเองเป็นผู้หญิงแทนที่จะได้แต่งตัวสวยๆ ผมเผ้ากลับยุ่งเหยิงทุกวัน ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ เลยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน

“น่า น่า ตี๋กลับมาก็ดีแล้ว มาตี๋ อาป๊ารอกินข้าวอยู่” เสียงอาป๊ายังใจดีเหมือนเดิม แต่มันแฝงด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ได้ รวมทั้งตัวเองก็ปวดหลัง เจ็บออดๆ แอดๆ แต่ก็พูดไม่ได้

“ไปเที่ยวมาสนุกไหมตี๋ มาๆ มากินข้าว” อาม่าพูดช้าไพเราะผมชอบฟัง แต่แท้จริงคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเป็นอั๊วจะตีให้ตายเลย ทำอย่างนี้ได้ยังไง เตะเก้าอี้หวายอั๊วลอยไปไกลถึงกลางถนน อั๊วจะเตะลื้อให้ลอยไปอยู่กับกระต่ายบนดวงจันทร์บ้าง

แม้ว่าบ้านของผมจะเดือดปุดๆ แต่คืนนั้นทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นตัวผมเองที่นอนมองดวงจันทร์ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ทำไมนะ วันนี้ที่ผมคิดว่าจะต้องชนะ มันกลับทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่ตอนที่เราลอยหลบอยู่ข้างหลัง กลับไม่โกรธทั้งที่ตัวเองโดนดุว่า

ผมนอนคิดจนคนตีฆ้องบอกเวลาสี่ทุ่ม สายลมยามราตรีพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ผมดึงผ้าห่มสีแดงมากอดและหลับตาลง ผมอาจจะยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ แต่ที่ผมจะจำไว้คือ ผู้คนเรามีหน้าที่ต่างกัน จะงานอะไรก็ทำไป อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจ อย่าไปอยากได้อะไร อย่าคิดมาก ถ้าใจไม่วูวาบไปตามความคิด นั่นแหละคือการชนะที่แท้จริง

Don`t copy text!