รักในรอยน้ำตา บทที่ 15 : มิตรภาพ

รักในรอยน้ำตา บทที่ 15 : มิตรภาพ

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

รินรดาขับรถกลับไปบ้านท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักราวกับช่วยซ้ำเติมความเจ็บปวดในหัวใจเธอ โดยมีลูกสาวตัวน้อยที่ร้องไห้จนเหนื่อยอ่อนและผล็อยหลับไปในเบาะนั่งคาร์ซีตเคียงข้างเธอ เมื่อหันไปมองลูกรักที่กำลังนั่งหลับอยู่ข้างๆ ได้เห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าอันน่าเอ็นดู ก่อนที่ริมฝีปากเล็กๆ จะละเมอเอื้อนเอ่ยออกมา

“พ่อจ๋า…อย่าทิ้งหนู”

คำนั้นทำให้คนเป็นแม่ยอกแสยงในอกราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจจนหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนต้องแตะเบรกค่อยๆ เลื่อนรถไปจอดลงตรงหน้าบ้านข้างๆ ก่อนจะถึงหน้าบ้านของเธอ

หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือดเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่อยากให้เสียงของตนทำให้ลูกรักต้องตื่นขึ้นและพบกับความผิดหวังเจ็บปวด

หากต้องเจ็บ เธอขอรับความเจ็บนั้นไว้เองทั้งหมดดีกว่า

รินรดาซบใบหน้าลงกับพวงมาลัยรถและปลดปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมาเงียบๆ ร่างกายสั่นสะท้าน หัวใจหนาวเหน็บราวกับถูกฝนห่าใหญ่ซัดกระหน่ำ

 

“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”

จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะกระจกข้างคนขับดังขึ้น ทำให้รินรดาสะดุ้งได้สติ รีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าคุ้นตา เขากำลังยืนกางร่มจ้องมองเข้ามาภายในรถด้วยความห่วงใย

หญิงสาวเขม่นมองอีกฝ่ายจากในรถ เขาสวมเสื้อยืดสีดำพร้อมกางเกงยีนส์ แต่กลับเห็นหน้าเขาไม่ชัดเจนเพราะเงาของร่มบังอยู่

“คุณ…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูดังแทรกเข้ามาในรถ ก่อนที่หญิงสาวจะรีบปาดน้ำตาทิ้ง แล้วรีบลดกระจกเล็กน้อยก่อนจะร้องถามออกไป

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมเห็นรถคุณจอดอยู่นานแล้ว รถเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

คำตอบของเขาทำให้เธอมองไปหน้าบ้านที่คิดว่าไม่มีใครอยู่ แต่พอเธอเพ่งมองชัดๆ อีกครั้ง เธอกลับเห็นรถเก๋งสีดำจอดสนิทอยู่ในที่จอดรถพร้อมกับแสงไฟสลับภายในบ้าน

“ตกลง คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“คือ…ฉันไม่ได้เป็นอะไร…”

ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีสายฟ้าแลบลงมาจนทำให้เธอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น รินรดาอุทานลั่น

“พี่เจตต์!”

“อ้าว! น้องระรินเองเหรอ”

น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นไม่ต่างกัน ทว่าเจตต์กลับชะงักไป เมื่อเห็นดวงตาแดงช้ำของอีกฝ่ายกับรอยยิ้มที่แสนจะฝืนของอีกฝ่าย

“ระริน…”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูด เธอก็ทำมือจุปาก พลางชี้ให้ดูเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่เบาะข้างๆ ด้วยเกรงว่าเสียงสนทนาของคนทั้งคู่ จะปลุกลูกสาวที่กำลังนอนหลับอยู่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะเปิดประตูลงมาคุยกับเขานอกรถภายใต้ร่มคันเดียวกัน

“ไม่ได้เจอพี่เจตต์เสียนาน ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ”

“นี่บ้านพี่เองครับ” เขาชี้ให้ดูบ้านหลังที่เธอมาจอดรถขวางหน้าประตูทางเข้าพลางพูดต่อ “แล้วน้องระรินล่ะครับ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

“บ้านระรินอยู่หลังถัดไปค่ะ”

เธอชี้ไปที่บ้านอีกหลังซึ่งอยู่ติดกับรั้วของเขา เจตต์มองบ้านทั้งสองหลังด้วยความแปลกใจก่อนจะยิ้มขึ้นมาด้วยความปลื้มปีติ

“โลกกลมมากเลยนะครับ ไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาอยู่บ้านข้างกันแบบนี้ แต่พี่ว่า…ตอนนี้เราพายัยหนูเข้าไปนอนหลับในบ้านก่อนดีกว่าไหมครับ ตอนนี้ฝนก็ตกหนัก ปล่อยให้นอนหลับในรถแบบนั้นไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่”

“ดีค่ะ งั้นเดี๋ยวระรินเอารถเข้าบ้านก่อนนะคะ”

รินรดารีบขับรถเข้าไปจอดในบ้าน ก่อนที่เจตต์จะเดินเข้ามาเปิดประตูรถฝั่งของน้ำฟ้าพลางพูดกระซิบกับหญิงสาว

“เดี๋ยวพี่ช่วยอุ้มยัยหนูดีกว่านะครับ ดูน้องระรินตอนนี้ไม่น่าจะไหว ถ้ายังไงรบกวนช่วยกางร่มให้พี่ดีกว่าครับ พี่ไม่อยากให้เด็กโดนละอองฝน เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่เจตต์”

เจตต์ช้อนอุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม โดยมีรินรดาคอยกางร่มให้อย่างทุลักทุเล ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้านของเธอ

ทันทีที่พรพรรณเห็นหลานตัวเล็กอยู่ในวงแขนของชายอีกคนที่ไม่ใช่สรวิชญ์เดินเข้ามาในบ้าน เธอก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ทันทีที่ได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน พรพรรณก็จำได้ทันที

“นี่เจตต์เหรอลูก”

“สวัสดีครับน้าอ้อย ยัยหนูน่าจะเหนื่อยมาก ให้นอนตรงไหนดีครับ”

“มาๆ พามานอนในห้องทางนั้นเลยลูก” พรพรรณรีบเดินนำชายหนุ่มอุ้มน้ำฟ้าขึ้นไปนอนบนห้องนอนของเจ้าตัว ก่อนจะเดินลงมาด้านล่างก็พอดีกับที่เขาเห็นรินรดาขนข้าวของน้ำฟ้าเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่เจตต์”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่ได้เจอกันเสียนาน ไปยังไงมายังไงได้ล่ะเนี่ย มาๆ มานั่งคุยกันก่อน”

“ขอบคุณครับน้าอ้อย”

“พอดีผมเห็นรถใครไม่รู้มาจอดขวางประตูหน้าบ้านน่ะครับ ก็เลยไปเคาะดูนึกว่ารถเสีย ที่ไหนได้เป็นระริน อ้อ…พอดีบ้านหลังข้างๆ เป็นบ้านผมเองครับ ซื้อไว้นานแล้ว แต่เพิ่งกลับมาอยู่”

“โลกกลมมากเลยนะคะพี่เจตต์ แต่ระรินเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ได้สามเดือนแล้ว ก็ไม่เคยเห็นพี่เจตต์เลย นึกว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่เสียอีกค่ะ”

“พอดีพี่ไปทำงานต่างประเทศน่ะครับ เพิ่งกลับมา”

“แหม…ดีจังเลยนะ จะได้มาอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน จะได้ไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ” พรพรรณยิ้มด้วยความยินดี แต่เมื่อหันไปมองของกินที่เธอเตรียมไว้สำหรับฉลองวันเกิดหลานสาวตัวน้อยก็หน้ามุ่ยด้วยความเสียดาย

“แล้วยังไงล่ะเนี่ยระริน น้าก็เตรียมของกินเลี้ยงวันเกิดหลานไว้เต็มโต๊ะเลย แล้วเจ้าของวันเกิดก็หลับปุ๋ยไปแล้วแบบนี้อาหารจะทำยังไงดีล่ะลูก”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะน้าอ้อย เดี๋ยวเค้กนี่เก็บเข้าตู้เย็นไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้น้ำฟ้าเป่าก็ได้ค่ะ” แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงเล็กๆ ก็ร้องดังมาจากด้านบน

“แม่…แม่จ๋า แม่อยู่ไหนจ๊ะ”

“คงไม่ต้องเก็บเค้กแล้วมั้งคะ คงจะได้เป่าตอนนี้แน่ๆ” รินรดารีบวิ่งขึ้นไปหาลูกน้อยที่กำลังร้องเรียกอยู่ด้านบน ขณะที่พรพรรณส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

“อ้าว จะรีบกลับไปไหนล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้วอยู่ฉลองวันเกิดหลานด้วยกันก่อนสิจ๊ะ หลายๆ คนจะได้สนุกหน่อย หรือว่า…มีธุระที่ไหนหรือเปล่าล่ะจ๊ะ”

“ไม่มีหรอกครับ แต่ว่าผมเกรงใจ”

“เกรงใจอะไรกัน คนกันเองแท้ๆ อยู่กินข้าวด้วยกันนี่แหละ ดูสิ ต้นก็ไม่อยู่ เหลือกันอยู่สามคน หนูน้ำฟ้าก็กินได้ไม่เยอะหรอก มีเจตต์มาเพิ่มอีกคนดูครึกครื้นดีออกนะ”

“ขอบคุณครับน้าอ้อย ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

เขายิ้มกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะไปช่วยพรพรรณตระเตรียมของกินพร้อมเค้กให้เด็กน้อยได้เป่าในวันเกิดของตัวเอง

ทว่าทันทีที่น้ำฟ้าเดินลงมาจากชั้นบนมาที่โต๊ะอาหาร เด็กน้อยก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะจับมือแม่ของตัวเองแน่น

“แม่ขา”

“น้ำฟ้า นี่ลุงเจตต์นะคะ เป็นเพื่อนของแม่สมัยเรียนมหาลัยค่ะ ลุงเจตต์อยู่บ้านข้างๆ เรานี่เองจ้ะ สวัสดีคุณลุงก่อนสิคะ”

“สวัสดีค่ะ ลุงเจตต์”

“สวัสดีจ้ะ น้ำฟ้า แหม…หน้าตาน่ารักน่าชัง เหมือนแม่เลยนะคนเก่ง” เขาทรุดนั่งลง หากน้ำฟ้ากลับเอาแต่กอดแม่แน่นด้วยไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า

“แม่จ๋า แล้วพ่อล่ะจ๊ะ พ่อไปไหน หนูจะหาพ่อ”

“คุณพ่อติดประชุมค่ะ น่าจะดึกกว่าจะกลับ แต่ตอนนี้มีทั้งยายอ้อย ทั้งลุงเจตต์ เรามาเป่าเค้กกันดีไหมคะ” เด็กน้อยพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้นเมื่อหันไปเห็นเค้กก้อนใหญ่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวในครัว ก่อนจะรีบวิ่งไปหาพรพรรณทันที

รินรดาฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก เป็นครั้งแรกที่เธอจำต้องพูดปดกับลูกสาวแบบนี้ ทั้งที่ในใจเธอก็ไม่แน่ใจว่า คืนนี้…เขาจะกลับมาบ้านหรือไม่

‘วันสำคัญของลูกทั้งที พี่ต้นจะไม่กลับมาบ้านเหรอ’ ทว่าห้วงความคิดของเธอก็มีเสียงเรียกของพรพรรณดังมา

“ระรินมัวยืนทำอะไรอยู่ จะเป่าเค้กแล้วลูก”

ทันทีที่เธอเดินไปถึงโต๊ะกินข้าว เทียนสามเล่ม ถูกจุดไว้บนเค้กเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เสียงร้องเพลง Happy birthday ของพรพรรณจะดังขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยผู้ใหญ่ทั้งสามคนร้องเพลงดังพร้อมเสียงปรบมือ

“เป่าเค้กสิลูก”

“ค่ะแม่”

น้ำฟ้ารวบรวมแรงเป่าพรวดเดียวจนเทียนทั้งสามเล่มดับในทันที ก่อนที่รินรดาจะกระวีกระวาดจัดการตัดแบ่งเค้กให้คนทั้งสี่กินพร้อมหน้าพร้อมตากัน

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครง แม้รินรดาจะพยายามยิ้มและหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าพรพรรณรู้ดีว่าต้องมีอะไรบางอย่างถึงทำให้คนที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นนิจกลับทิ้งร่องรอยแดงบวมช้ำไว้ที่ดวงตาคู่งาม

รอยยิ้มที่ฝืนแสดงออกว่ามีความสุข ไม่อาจหลบพ้นสายตาคมกริบของคนช่างสังเกตอย่างเจตต์ไปได้เช่นกัน คืนวันนั้นเจตต์กลับบ้านไปด้วยด้วยอารมณ์หลากหลาย ดีใจที่ได้กลับมาเจอหน้ารินรดาอีกครั้ง เสียใจเมื่อได้รู้ว่ารินรดามีลูกกับสรวิชญ์ และแปลกใจเมื่อเห็นความไม่สบายใจฉายชัดในแววตาแดงก่ำคู่นั้น

แม้ตอนนี้รินรดาอายุยี่สิบปลายๆ มีลูกหนึ่งคน หากหัวใจของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยแอบชอบเธอ บัดนี้กลับมาพลุ่งพล่านอีกครั้งจนต้องรีบยับยั้งหัวใจตัวเอง เพราะอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว และเขาเองก็เช่นกัน

เจตต์มองภาพถ่ายแต่งงานของตัวเองกับภรรยาสาวที่ติดไว้ภายในบ้าน ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่ภาพหญิงสาวสวยอัดกรอบตั้งไว้หลังตู้มุมหนึ่งของบ้านพลางเอ่ยกับภาพนั้นว่า

“พา…พี่กลับมาแล้ว พี่ขอโทษนะที่ไม่อยู่นานเลย พาอยู่ที่นี่คนเดียวเหงาไหม”

บ้านเดี๋ยวสองชั้นในโครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ เจตต์ซื้อบ้านหลังนี้เมื่อสามปีก่อน สำหรับไว้เป็นเรือนหอระหว่างเขากับยุพา หรือ พา ผู้หญิงที่พ่อแม่เลือกให้แต่งงานกับเขาตอนอายุยี่สิบเจ็ดปี ขณะที่ยุพามีอายุยี่สิบห้าปี

ทั้งสองแต่งงานสร้างครอบครัวอยู่ร่วมกันที่เรือนหอหลังนี้ได้เพียงสองปี ยุพาก็ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เธอก็จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ

แม้เจตต์จะไม่ได้รักยุพาแบบคนรัก หากความรักที่เขามีให้เธอเป็นในแบบพี่น้องจนกระทั่งกลายเป็นความผูกพันปรารถนาดีที่มีต่อกัน ขณะที่ยุพาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขามีใครคนหนึ่งในใจ คนที่เธอรู้ตัวเองดีว่า ไม่อาจแทนที่ผู้หญิงคนนั้นได้เลย

‘พี่เจตต์คะ พารู้ว่าพี่มีใครในใจ ถ้าหากพาไม่อยู่แล้ว พี่อย่าลืมตามหาเขานะคะ ที่ผ่านมาพี่เป็นพี่ชายที่ดีที่สุดสำหรับพา แต่พาก็อยากให้พี่เจตต์ได้อยู่กับคนที่พี่รัก ได้ทำตามหัวใจของตัวเอง พาอยากให้พี่มีความสุขค่ะ’

‘พา!’

เขาอุทานด้วยความตกใจ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่า ความในใจที่พยายามซุกซ่อนเก็บงำมาช้านานได้ถูกล่วงรู้โดยยุพา

‘มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกพา เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เขาคงจะแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้วแหละ’

‘พี่เจตต์คะ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตหรอกค่ะ คนเราหากเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ พาเชื่อว่าวันหนึ่ง โลกจะเหวี่ยงคนนั้นมาให้เราเองค่ะ พี่เจตต์เป็นคนดี พาอยากให้พี่ได้อยู่กับคนดีๆ คนที่พี่รักและเขารักพี่จริงๆ สำหรับพาแล้วการที่ได้มาแต่งงานและอยู่ร่วมกับพี่ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่พาก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ พาขอบคุณพี่มากๆ นะคะ ขอบคุณที่พี่เจตต์ทำให้เวลาสองปีที่เราได้อยู่ด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่วิเศษ และพามีความสุขมากที่สุดเลยค่ะ’

ใบหน้าซีดเซียวของยุพากับคำสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะสิ้นใจและจากเขาไปตลอดกาล

หลังจากนั้น เจตต์จึงเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพราะเขาไม่สามารถอยู่บ้านหลังเดิมที่เคยเป็นเรือนหอระหว่างเขากับภรรยาได้ เขาทำงานอย่างหนักเพื่อทำตัวให้ยุ่งลืมเรื่องทุกข์ใจ พร้อมทั้งเดินหน้าขยายกิจการของครอบครัวลุยตลาดต่างประเทศไปพร้อมๆ กัน

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาโหมทำงานอย่างหนัก จนกระทั่งความคิดถึงในตัวภรรยาค่อยๆ จาง ลงจนกลายเป็นความทรงจำอันเลือนราง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง

ในครั้งแรกเขาตั้งใจจะขายบ้านที่เคยเป็นเรือนหอ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้ ในเมื่อภรรยาก็ตายไปแล้ว แต่พอเขาได้มาเจอกับรินรดาอีกครั้ง และการที่เขารู้ว่าเธอเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านข้างๆ ไม่นาน ทำให้เจตต์เกิดความลังเลที่จะขายบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก

ชายหนุ่มเอนหลังบนที่นอนนุ่ม พลางหวนนึกถึงคำพูดสุดท้ายของยุพาที่ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเชื่อในเรื่องที่หญิงสาวบอก จนกระทั่งเขาได้มาพบรินรดาอีกครั้ง เขาถึงเริ่มคิดได้ว่า หรือว่า ‘เนื้อคู่’ ของเขาที่ยุพาเคยพูดถึงอาจจะเป็นรินรดา ผู้หญิงที่เขาเคยแอบหลงรักมานานแสนนาน

‘ระริน พี่ดีใจที่ได้มาเจอระรินอีกครั้ง’

จู่ๆ รอยยิ้มของเขาก็หม่นลง เมื่อหวนนึกถึงใบหน้าหวานที่เปื้อนหยาดน้ำตาซึ่งเจ้าตัวพยายามหลบซ่อนไม่ให้เขาเห็น หากเขาก็เห็นทันก่อนที่เธอจะปาดน้ำตาทิ้งพร้อมทั้งดวงตาแดงช้ำที่เธอพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน หากเขาพอเดาออกว่า หญิงสาวมีเรื่องทุกข์ใจแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

‘เกิดอะไรขึ้นกับระริน’

เขาได้แต่ครุ่นคิดด้วยความกังวล

‘หรือว่า ไอ้ต้นจะทำให้น้องระรินเสียใจอีกแล้ว’

เขาได้แต่คาดคะเนเพราะไม่เห็นหน้าสรวิชญ์อย่างที่ควรจะเป็น เขารู้แต่ว่าในวันนี้ที่เขาเห็นแววตาเศร้าหมองของคนที่เขาแอบรัก เจตต์อยากจะเป็นคนช่วยเธอให้มีความสุขและไม่ต้องโศกเศร้ากับเรื่องใดๆ เหมือนที่ผ่านมา

 

หลังจากรินรดาพาน้ำฟ้านอนหลับเรียบร้อยแล้ว เธอก็ก้าวเดินลงมาจากเตียงของลูกสาวแผ่วเบา ก่อนจะย่องกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องของเธอ ข้าวของของสรวิชญ์ยังอยู่ครบทุกชิ้น เธออยากคิดว่าเรื่องที่เธอเพิ่งพบเจอเมื่อเย็นเป็นเพียงแค่ฝันไป ทว่าการที่เธอปลอบลูกสาวกว่าพักใหญ่ และกว่าจะพาตัวเองและลูกกลับมาถึงบ้านได้ รินรดาต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างหนัก

หญิงสาวมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างหัวเตียง ก่อนจะหยิบขึ้นมาแล้วกดโทรออกหา สรวิชญ์ในทันที

“พี่ต้น รับโทรศัพท์สิ”

รินรดาภาวนาให้อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ แต่จนแล้วจนรอด นอกจากเขาจะไม่รับโทรศัพท์แล้ว เขายังปิดโทรศัพท์ทำให้เธอไม่สามารถติดต่อเขาได้

หญิงสาวเข้าไปในเฟซบุ๊ก พยายามติดต่อเขาไม่ว่าโพสต์หรือข้อความ แต่สุดท้ายบัญชีที่เขาใช้เล่นเป็นประจำก็ถูกปิดไปโดยเจ้าตัว แม้แต่ทางไลน์ เธอก็ไม่สามารถส่งข้อความหาเขาได้เพราะถูกบล็อกบัญชี

“พี่ต้น ทำไมพี่ทำแบบนี้ ทำไม…”

แม้เธอจะพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล เธอก็ไม่เคยเข้าใจเลยว่า ทำไมสรวิชญ์เลือกที่จะเงียบ แทนที่จะหันหน้ามาคุยกับเธอให้รู้เรื่องว่าจะเอาอย่างไร

รินรดาไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาด ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอ ทำไมเขาถึงทรยศความรักที่เธอมีให้ได้อย่างเลือดเย็น ถ้าหากเรื่องที่เกิดในวันนี้เป็นเพียงความผิดพลาด เธอก็พร้อมจะให้อภัยและกลับมาเริ่มต้นใหม่กับเขาได้ แต่การที่เขาหายหน้าเงียบไปแบบนี้ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไม…

‘หรือว่า…พี่ต้นเลือกจะไปอยู่กับทางโน้น ไม่ใช่เรา’

ยิ่งคิด รินรดาก็ยิ่งร่ำไห้โฮออกมา รินรดาหยิบเสื้อสูทตัวหนึ่งของสรวิชญ์กอดเสื้อไว้แน่น ราวกับโหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นเหมือนเช่นเคย เธอไม่รู้เลยว่าตั้งแต่วันนี้ไป เธอจะได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกไหม เพราะข่าวร้ายที่เธอได้รับรู้กะทันหันแบบนี้ หนักหนาเกินกว่าจะรับไหว

เมื่อก่อนพ่อของเธอก็เลือกที่จะไปกับเมียน้อย และทิ้งเธอกับแม่ไว้ไม่เหลียวแล ตอนนี้สรวิชญ์ก็กำลังจะทำแบบนั้นกับเธอและลูกเหมือนกัน

‘ทำไมพี่ต้นทำกับระรินแบบนี้ ทำไม’

‘ความรักของเราที่ผ่านมา ไม่มีค่ากับพี่เลยอย่างนั้นเหรอ…’

 



Don`t copy text!