กล่องสุ่ม
โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ
When We Met โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากรส ของผู้คนอันหลากหลาย ที่เราได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ หรืออาจขมบ้างเป็นบางเวลา ที่พร้อมแบ่งปันให้ผู้อ่านได้จดจำนึกถึงและสุขสำราญไปด้วยกัน
“Life is like a box of chocolate” หากใครเคยได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Forrest Gump คงคุ้นเคยกับประโยคนี้เป็นอย่างดี กับการเปรียบเทียบชีวิตที่เหมือนกล่องช็อกโกแลต ที่เราไม่มีทางรู้ว่าข้างในกล่องช็อกโกแลตที่เราหยิบขึ้นมาจะให้รสชาติแบบไหนกับชีวิต จนกว่าเราจะหยิบมันขึ้นมาลองลิ้ม โดยเฉพาะรสชาติของความรักที่ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและโดนเขย่าให้รู้สึกสุขและทุกข์เพราะใครอีกคนได้เสมอ
ครั้งหนึ่งปอเคยรู้สึกว่าความรักของตัวเองนั้นเหมือน “กล่องสุ่ม” มากกว่า “กล่องช็อกโกแลต” ที่เขาโชคดีสุ่มได้ rare item หรือคนรักแบบได้หายากจนใครๆ ต้องอิจฉา ปอตกหลุมรักจี๊ดตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ผู้หญิงผมยาว ตัวเล็ก ตาโต กับลักยิ้มเล็กๆ 2 ข้างแก้ม “คนอะไรวะ แค่ยิ้มก็น่ารัก” ท่ามกลางหนุ่มๆ หลายคนที่แวะเวียนมาขอเบอร์โทรศัพท์ของจี๊ด แม้ตัวเขาเองจะอยากได้แต่เขาก็ต้องข่มใจอดเปรี้ยวไว้กินหวาน พยายามวางตัวเป็นเพื่อนร่วมสาขาที่ดีที่คอยช่วยเหลือจี๊ดเรื่องการเรียน และพาตัวเองไปจับกลุ่มทำงานร่วมกับจี๊ดจนมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าใคร จนได้เป็นแฟนกันในตอนปี 2
ช่วงเวลาที่เป็นแฟนกันทั้งคู่กลายเป็นคู่รักที่เพื่อนๆ หลายคนอิจฉา ในความตัวติดกันและไม่เคยขัดใจกัน ตามใจกันตลอดเวลา เวลาไปเตะบอลจี๊ดจะตามไปให้กำลังใจอยู่ข้างสนามไม่เคยห่าง จี๊ดไม่เคยทำตัวงอแง ด้วยการโทรตามหรือโทรจิกเวลาที่เขาบอกว่าจะไปกินเหล้าหลังมหาลัยกับเพื่อน หรือ วันไหนถ้าต้องอยู่มหาวิทยาลัยดึกๆ เพื่อทำกิจกรรมกับสโมสร จี๊ดจะทำอาหารแล้วขับรถเอามาให้ ต่างคนต่างช่วยดูแลกันและกัน จนเพื่อนหลายคนคิดว่าหลังเรียนจบทั้งคู่น่าจะลงเอยด้วยการแต่งงาน ซึ่งปอเองก็คิดเช่นนั้น และเขาเริ่มฝันไกลไปถึงคำว่า “ครอบครัว”
หลังเรียนจบจี๊ดได้งานทำทันที ส่วนปอระหว่างรองานที่สมัครทิ้งไว้เขาตัดสินใจบวชให้พ่อกับแม่ ที่วัดในบ้านเกิด 1 พรรษา เพราะรู้สึกว่าไหนๆ จะบวชก็บวชให้รู้รสซึ้งพระธรรมไปเลย พ่อกับแม่จะได้ใส่บาตรให้เขาได้สะดวกกว่าจำวัดอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ใครจะไปคาดคิดว่า 1 พรรษานั้นความรักของเขาจะไม่เหมือนเดิม ช่วงเดือนแรกในวันหยุดเสาร์อาทิตย์จี๊ดขับรถจากกรุงเทพฯ มาเพชรบูรณ์ แล้วจองโรงแรมใกล้ๆ เพื่อพักค้างคืนและมาใส่บาตรให้ในตอนเช้า ตอนสายแวะมาถวายเพลและอยู่พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับถึงชีวิตความเป็นอยู่เขาในแต่ละวัน ก่อนจะขับรถกลับ แต่หลังจากนั้นจี๊ดก็หายไปเลยซึ่งเขาเข้าใจว่าจี๊ดคงยุ่งกับงานใหม่เพราะยังไม่ผ่านช่วงทดลองงานเลยไม่อยากโทรศัพท์ไปรบกวน และรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะโทรศัพท์หาจี๊ดในขณะที่เขายังครองผ้าเหลืองอยู่ จนกระทั่งเขาสึก และโทรศัพท์ไปหาจี๊ดว่าคิดถึงอยากเจอ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นคำว่า “ช่วงนี้จี๊ดยุ่งมาก ยังใม่มีเวลาว่างไปหาปอ”
3 เดือนที่ไม่ได้เจอกัน ปอเริ่มรู้สึกได้ถึงความห่างเหินของจี๊ดและเริ่มรู้สึกถึงตะกอนบางอย่างในหัวใจ จากที่เคยโทรคุยกันหากันเป็นนานก่อนเขาบวช เหลือไม่ถึง 5 นาที และเป็น 5 นาที ที่ดูรวบรัดตัดความ สุดท้ายเมื่อได้เจอกัน สิ่งที่ทำให้ปอถึงกับนิ่งอึ้งไปเป็นนานคือคำของ่ายๆ ที่จี๊ดบอกกับเขาว่า “จี๊ดอยากเลิกกับปอ.. เราเลิกกันนะ” รสชาติกล่องสุ่มของความรักของเขามันเริ่มไม่หวาน และกลายเป็นรสเฝื่อนขมที่ทำเอาทั้งตัวและหัวใจเขาถึงกับเสียหลัก ในสมองเต็มไปด้วยคำถามนับร้อยว่าความรักเขามันเริ่มผิดพลาดที่ตรงไหน
“ปอไม่ผิด..จี๊ดผิดเอง”
“แล้วที่ผ่านมา..”
“ที่ผ่านมาจี๊ดก็รักปอ..แต่ช่วงที่ปอไม่อยู่ จี๊ดไปรักคนอื่นมากกว่า..จี๊ดขอโทษ เรากลับไปเป็นเพื่อนกันนะ”
“..ปอไม่เป็นเพื่อนกับจี๊ด” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เขาบอกจี๊ดไป และหลังจากนั้นปอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินออกมาจากร้านและขับรถกลับถึงบ้านแบบปลอดภัยได้อย่างไร สิ่งเดียวที่รู้สึกคือความเจ็บทรมานที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ เขายืนมองดูเงาตัวเองหน้ากระจกแล้วเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เขาไม่ดีตรงไหน เขาผิดตรงไหน ทำไมต้องรักน้อยลง จากนั้นก็ทรุดตัวร้องไห้แทบบ้าให้กับความเจ็บปวด ที่เกิดจากคำพูดไม่กี่คำของจี๊ด ที่เมันบาดลึกอยู่ข้างใน หลังจากวันนั้นปอก็เริ่มไม่เป็นผู้เป็นคน ดึกดื่นค่อนคืนก็เอาแต่เคาะขวดเหล้าเมาเหมือนหมา ข้าวปลาไม่กิน เปิดวิทยุฟังเพลงไหนก็โดนใจจนน้ำตาแตก จนเพื่อนๆ ต้องสลับสับเปลี่ยนกันมาคอยปลอบ คอยด่าให้สติที่ผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วปล่อยให้ปอได้พร่ำเพ้อระบายความทุกข์ออกมาให้หมดจนหลับไปเอง
ปอใช้เวลาจมอยู่กับความเสียใจอยู่เกือบ 2 เดือน จนกระทั่งบริษัทที่เขาเคยส่งอีเมล์สมัครงานไว้เรียกตัวให้ไปสัมภาษณ์งาน ปอพยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้น อย่างน้อยเขาก็มีสติพอที่จะคิดได้ว่าการมีงานทำมันคือเรื่อง สำคัญ ปอเริ่มเดินไปร้านตัดผมแถวบ้านเพื่อตัดแต่งผมให้มันดูเรียบร้อย หาเสื้อผ้าที่ทำให้สภาพตัวเองดูดี จนได้งาน และปอก็ทำงานชนิดที่เรียกว่า “ทำให้ลืมทุกข์” 3 เดือนของการทดลองงาน ปอก้มหน้าก้มตาทำงานแบบใส่เต็ม อะไรไม่รู้ก็ถาม อยากรู้อะไรก็ถาม เขาทำงานชนิดที่ทุกคนทึ่งในความขยันของเด็กจบใหม่ หัวหน้าแผนกถึงกับให้เขาผ่านการทดลองานแบบไม่มีข้อกังขาและเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่าที่เขาร้องขอในตอนแรก
ปอไม่รู้หรอกว่าตอนไหนที่ความเจ็บปวดมันค่อยๆ จางไป อาจจะเป็นตอนที่เขาทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา หรืออาจจะเป็นวันเวลาค่อยๆ เยียวยา แต่ที่ๆ แน่ๆ ความรักและการจากลาในครั้งนั้นมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงพอสำหรับความรักในครั้งใหม่ และครั้งนี้ปอก็ยังคาดหวังไว้เหมือนเดิมว่ากล่องสุ่มความรักของเขามันจะต้องเป็นรักที่ดีขึ้น
หรือถ้าไม่มันไม่ดีและจบลงด้วยการพังทลาย ก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็จะเป็นอีกรสชาติของชีวิตที่เขาได้เรียนรู้ จากการจากลาของความรัก