ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
“เพียงเศษเสี้ยวดวงจิตเท่านั้น อาจเพราะได้พลังจากริชาเขาถึงแสดงพลังของราพสูรได้ถึงเพียงนั้น” ศิคินพูดพลางมองไปที่ร่างไร้สติของริชาและพิภพที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา
“เช่นนั้นหรือ นานเท่าใดแล้วหนาที่ไม่ได้มองนางใกล้ๆ เช่นนี้” พายะพูดอย่างเช่นคนกำลังเหม่อลอยสายตาจับจ้องไปยังริชาที่ในขณะนี้ดวงตาหลับสนิทอยู่บนโซฟา เขามองริชานิ่งอยู่เช่นนั้นก่อนที่ศิคินจะสังเกตเห็นแล้วจึงจับไปที่บ่าของสหายเบาๆ
“เราลืมไปว่าเจ้าเพิ่งเคยพบริชาเป็นครั้งแรก”
“ด้วยเหตุนี้อย่างไรศิคิน” เขาพูดพลางย่อตัวลงช้าๆ ไปยังร่างของริชาที่ยังคงไม่ได้สติ “ข้าจึงมิอาจหักใจพบนางได้อีกด้วยรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจจะทนเห็นนางเป็นเช่นนี้ได้” พายะพูดพลางกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืนในทันที เพียงเท่านั้นความรู้สึกอัดอั้นที่มีมาอย่างยาวนานก็ปะทุออกมา
เมื่อคราวที่ต่อสู้กับดารันนั้น เขารู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งใดเป็นสาเหตุให้อัญมณีอสุรกาลที่ยอดปราสาทนั้นทรงอัคคี แต่เพราะหนทางในภายภาคหน้าทั้งศิคินและพวกเขาเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะป้องกันอย่างไรให้ริชาออกห่างจากเหตุวุ่นวายนี้
“เราจะปกป้องนางพายะ เราจะถนอมนางกลับคืนสู่วิถีที่คู่ควร จะไม่ให้นางต้องแปดเปื้อนความเจ็บปวดอีก เราขอสาบาน” เสียงของศิคินยืนยันอย่างหนักแน่นก่อนจะมองไปที่ริชาด้วยความเป็นห่วง
“อย่าถึงกับต้องสาบานเลยศิคิน เจ้าเป็นสหายที่เราเชื่อใจมากที่สุดเสมอ”
“ระยะนี้เราคงต้องอยู่ปกป้องริชาที่นี่ ยะษาไม่มีทางปล่อยโอกาสเช่นนี้หลุดมือไปอีกเป็นครั้งที่สอง ส่วนทางนั้นมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลเจ้าต้องรีบแจ้งเราด้วยหนาพายะ”
“วางใจได้ เราจะกลับไปที่แดนอสุราก่อน ดูท่าแล้วยะษามันคงจะบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย เพลานี้คงระดมพลแล้วเป็นแน่”
เขาพูดพลางมองไปยังร่างบางแวบหนึ่งก่อนร่างของเทพพายะจะหายวับไปในทันที
ศิคินมองไปริชาและพิภพที่ยังคงไม่ได้สติ ก่อนจะเร่งคิดหาหนทางเพื่อกันทั้งสองให้ออกจากสงครามที่กำลังก่อตัวขึ้นในอีกไม่ช้า
สายตาที่แสนห่วงหาของศิคินนั้นมองไปยังริชาอย่างไม่วางตา…เขาทรุดตัวลงชันเข่าข้างๆ ร่างบางที่ดวงตายังคงปิดสนิท ก่อนจะจับมือของเธอมากุมเอาไว้อย่างทะนุถนอม
“เรารู้ดีแก่ใจว่าพระเวทของเราอาจจะไม่ได้ผล แต่ตอนนี้เราอยากให้เจ้าคิดว่าเพียงกำลังหลับฝันอยู่เท่านั้น” สิ้นวาจานั้นแสงสว่างจากฝ่ามือของทั้งสองก็ส่องสว่างไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
ณ ห้วงความฝันนั้น ริชาที่ในขณะนี้ไม่สามารถขยับตัวได้มีเพียงดวงตาที่สามารถมองเห็นบรรยากาศโดยราวกับถูกทาทับด้วยสีดำสนิท ริชารับรู้ได้ถึงแรงกดทับของบางสิ่งจึงเริ่มดิ้นไปมาหากแต่ราวกับถูกพันธนาการไว้กับที่
แสงสว่างเพียงริบหรี่ที่สุดปลายสายตาของริชานั้นกลับค่อยๆ สว่างจ้าขึ้น เธอจึงพยายามจะขยับตัวอีกครั้งแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลหากแต่เสียงฟ้าร้องดังสนั่นก็ดังขึ้น ริชาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะพบว่ารอบๆ ตัวของตนนั้นเริ่มสั่นไหวตามเสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังกึกก้องตลอดเวลา
ตามด้วยเสียงอึกทึกของผู้คนจำนวนมากกำลังกระทำบางสิ่ง เสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องและเสียงของเกลียวคลื่นที่กระหน่ำซัดนั้นกระทบร่างของหญิงสาวเสียจนอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจ ริชาพยายามขยับอีกครั้งแต่มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่สามารถขยับได้ตามที่เธอออกคำสั่ง
ราวดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า แสงสว่างสีทองที่สาดส่องไปทั่วนั้นก็ฉายชัดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ริชาถึงกับตกตะลึงในทันทีด้วยประสาทสัมผัสทั่วร่างกายที่แจ่มชัดขึ้น จากที่ไม่สามารถขยับได้เลยก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้ในทันที โดยที่รอบตัวของเธอคือพื้นของมหาสมุทรที่ไกลสุดลูกหูลูกตาและภาพของพายุที่โหมกระหน่ำดังที่เธอได้ยินได้ฟังมาเมื่อก่อนหน้า และภูเขาสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรนั้นคล้ายถูกรัดพันรอบด้วยบางสิ่ง
ร่างบางที่โคลงเคลงไปตามการกระเพื่อมของพื้นน้ำหากแต่แสนพิสดารที่ร่างของเธอไม่จมลงสู่เบื้องล่าง และยังคงพยายามยึดเกาะพื้นไว้ด้วยมือทั้งสองอย่างทุลักทุเล
ริชาพยายามเพ่งพินิจไปรอบๆ อีกครั้งแต่แล้วกลับถูกคลื่นน้ำมหาศาลกดทับร่างกายทำให้ร่างของเธอจมลึกลงไปที่ใต้พื้นน้ำในทันที หญิงสาวตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำแต่ราวกับคลื่นสูงนั้นจะยิ่งทวีความรุนแรงกดทับร่างของเธอจมลึกลงไปสู่ความอ้างว้างที่เบื้องล่างของผืนน้ำดำสนิท
เมื่อเรี่ยวแรงที่มีอยู่นั้นบัดนี้กลับหมดลงเสียดื้อๆ เธอจึงทำได้เพียงปล่อยให้ร่างกายของตนจมลึกลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น สรรพสิ่งรอบกายพลันเงียบลงในทันทีเมื่อร่างของริชาที่จวนเจียนจะหมดสติทุกขณะ
‘สงบดีจริงๆ’ เธอพึมพำในใจพลางยิ้มจางๆ ที่มุมปาก
ภายในความมืดมิดของห้วงมหาสมุทรนั้นที่ฝ่ามือของหญิงสาวก็ปรากฏบางสิ่ง…แสงสีแดงสลับกับละอองสีทองระยิบระยับที่ล่องลอยออกมาจากฝ่ามือของริชา ก่อนมันจะส่องสว่างไปทั่วบริเวณทำให้ผืนน้ำที่เคยมืดสนิทนั้นสว่างไสวขึ้น
ละอองแสงนั้นก่อร่างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนเขาจะตรงเข้ามาโอบร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขนในทันที
ริชาที่สัมผัสได้ถึงใครอีกคนนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าบัดนี้รอบตัวของตนสว่างไสวงดงามราวอยู่ท่ามกลางดวงดาวนับร้อยนับพัน และผู้ชายที่แต่งตัวดูแปลกตาคนเดิมที่อยู่ตรงหน้าเธอ
ผ้าพาดสีแดงสีเข้มที่พลิ้วไหวไปตามแรงกระเพื่อมของสายน้ำ ริชาค่อยๆได้สติแจ่มชัดและเมื่อสายตาปรับให้ชินแล้วนั้นจึงสามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้อย่างถนัดตา กลับพบว่าเขาเองก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน
สายตาที่แสนห่วงหานั้นคือสิ่งใดกัน หญิงสาวนึกสงสัยขึ้นมาในทันทีที่มองไปยังดวงตาคู่นั้น เขาเพียงมองริชานิ่งอยู่เช่นนั้นก่อนริชาจะรู้สึกได้ถึงความร้อนบางอย่างที่ร้อนระอุออกมาจากภายในร่างกายของตน และความเจ็บปวดนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ริชาพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดนั้นด้วยความเจ็บปวด และเมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ฝ่ามือของตนประคองใบหน้าของริชาไว้ ก่อนจะประกบริมฝีปากของเขานั้นลงที่ริมฝีปากของริชาอย่างอ่อนโยน ดวงตาเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ริชาพยายามดิ้นขัดขืนจนสุดแรง หากแต่ด้วยความเจ็บปวดที่มีนั้นกลับทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงในการดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของเขาอย่างสิ้นเชิง
พลันทุกสรรพสิ่งกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง และด้วยจุมพิตนั้นความเจ็บปวดก็พลันสลายหายไปอย่างช้าๆ สติสุดท้ายที่หลงเหลือนั้นกลับเป็นใบหน้าที่งดงามของคนผู้หนึ่งและสัมผัสที่แสนคุ้นเคย…
“ชา…” เสียงกระซิบที่ข้างหูดังขึ้น ริชาที่ลืมตาขึ้นมองนั้นกะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะมองไปที่ต้นเสียง
“แพรเหรอ…”
เธอลุกพรวดขึ้นนั่งในทันทีก่อนจะพบว่าขณะนี้ตนเองกำลังหลับอยู่บนเตียงที่บ้านของพ่อ
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ ลุก”
“ทำไมแกมาอยู่ที่บ้านฉันได้” ริชาถามอย่างสงสัย
“ฉันเนี่ยต้องถามแกกับไอ้ภพว่าตกลงมันยังไง อยู่ๆ เมื่อวานพวกแกก็รีบออกมาเลย เมื่อคืนโทรหาทั้งแกทั้งไอ้ภพก็ไม่มีใครรับสักคน ไหนจะเมื่อเช้าอีก เห็นแกยังไม่เข้าร้านเลยโทรหาพ่อก็บอกว่าแกเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ พอพ่อแกไปซื้อกับข้าวกลับมาบ้านก็ปิดเงียบ ไอ้ภพก็กลับไปแล้ว”
ชมแพรที่ร่ายยาวมาก่อนทิ้งช่วงเล็กๆ เพื่อพักหายใจ
“พวกแกทะเลาะกันเหรอ” ริชาที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกก่อนจะพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็เช่นเดิมที่เธอจำอะไรไม่ได้เลย
“ไม่ได้ทะเลาะนะ ฉันจำได้ว่าแค่นั่งคุยกับภพอยู่ที่หน้าบ้านแล้วก็…” คิ้วงามขมวดเข้าหากันจนเริ่มเป็นปม แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“แล้วก็…” ชมแพรทวนคำพูดของเพื่อนเพราะกำลังลุ้นให้ริชาคิดออก
“จำไม่ได้ จำไม่ได้เลยแพรหลังจากนั้น” ริชาพูดด้วยความงงงวยก่อนจะเริ่มโมโหตัวเองที่ไม่ว่าจะทำเช่นไรเธอก็คิดไม่ออก
“อย่าบอกนะ เมื่อวานพวกแกดื่มจนภาพตัด! ไอ้คุณบอสนะไอ้คุณบอส ถึงว่าโทรมาไม่มีใครรับ” ริชาที่ไม่รู้จะตอบเช่นไรจึงได้แต่พยักหน้ารับเป็นเชิงขอไปที ด้วยตนเองก็ไม่รู้จะให้คำตอบกับชมแพรอย่างไร
“ไปๆ อาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปกินข้าว สักสิบโมงค่อยออกไปละกัน เรานัดเขาตั้งบ่ายโมง โรงแรมไอ้บอสถ้ารถไม่ติดมากชั่วโมงเดียวก็ถึง”
ริชาที่เมื่อนึกขึ้นได้ก็ทำได้เพียงตาโตมองไปที่ชมแพรเท่านั้น ด้วยช่วงนี้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจนลืมไปเสียสนิทว่ามีนัดไปที่โรงแรมของพิภพเพื่อดูสถานที่จริงที่จะใช้จัดงานการกุศลประจำปี
“แกลืม…” ชมแพรพูดด้วยความตกใจไม่แพ้กันก่อนจะมองไปยังริชาอย่างไม่เชื่อสายตา “บอกมานะแกเป็นใคร ริชาไปไหน…เอาดีๆ นะชาช่วงนี้แกเป็นอะไรหลงๆ ลืมๆ เดี๋ยวก็เหม่อเหมือนมีอะไรในใจ มีอะไรแกบอกฉันได้นะ”
สีหน้าหนักใจของริชาที่อยู่ตรงหน้าบ่งบอกอะไรได้เป็นอย่างดี ปกตินั้นในยามทุกข์ใจที่สุดชมแพรมักจะเป็นคนแรกเสมอที่ริชาจะปรับทุกข์หรือเล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้เธอฟัง แต่เพราะในครั้งนี้นั้นต่างกันออกไปด้วยริชาเองก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้เช่นกัน
“ไม่ถามแล้วดีกว่า เดี๋ยวแกอยากเล่าก็คงเล่าให้ฉันฟังเอง เสร็จแล้วลงมากินข้าวนะ”
“เดี๋ยวเสร็จแล้วตามลงไปนะ”
เมื่อชมแพรเดินออกจากห้องไปพร้อมๆ กับเสียงปิดประตูที่ดังขึ้น หญิงสาวที่ตอนนี้ความคิดมากมายในหัวกำลังสู้รบกันอยู่อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝันประหลาดทีในช่วงนี้ริชาจะฝันบ่อยจนรู้สึกเหมือนไม่ได้นอนหลับพักผ่อนแม้แต่น้อย
ไหนจะเรื่องคุณลุงที่ร้านดอกไม้ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอไม่เคยพบเขามาก่อน แต่กลับกันในความรู้สึกลึกๆ นั้นเกิดมีความคุ้นเคยที่มีให้เขาเสียจนริชาเองยังนึกแปลกใจ
ความจริงและความฝันขณะนี้ตีกันไปมาในหัวของเธอ เหมือนทั้งสองทางกำลังจับแขนของริชาดึงไปซ้ายทีขวาทีและเพื่อหยุดความรู้สึกนั้นริชาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วมุ่งจุดสนใจไปที่งานในวันนี้แทนเท่านั้น
หลังจากอาบน้ำจนสบายใจและเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมของอาหารเช้าฝีมือของผู้เป็นพ่อก็ลอยมาจนริชาที่ตอนแรกยังไม่หิวเท่าใดนักไม่นานกระเพาะเจ้ากรรมก็เริ่มส่งเสียงเบาๆ เสียแล้ว
เสียงฝีเท้าที่ดังมาแต่ไกลของริชาจู่ๆ ก็ทำให้หัวใจของใครบางคนที่ด้านล่างเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทันทีที่หญิงสาวก้าวเท้าลงมาที่พื้นบ้านด้านล่างริชาถึงกับหยุดชะงักในทันที เมื่อสายตาจับจ้องไปยังแขกแปลกหน้าอีกคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอในขณะนี้
เธอนิ่งมองเขาอยู่เช่นนั้นก่อนคนถูกมองจะยิ้มบางๆ ให้เธอเป็นคำตอบ ริชาที่เห็นดังนั้นก็ตะลึงงันด้วยใบหน้าที่คุ้นเคยนี้คือชายหนุ่มที่เคยเป็นคุณลุงลูกค้าขาประจำของร้านดอกไม้นั้นเอง
“คุณ…”
เธอพึมพำน้อยๆ อย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะตรงเข้าไปหาเขา ริชาค่อยๆ ใช้ฝ่ามือทั้งสองนั้นประคองจับไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มแล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อครั้งนี้เขาไม่หายไปไหน และเธอสามารถสัมผัสเขาได้จริงๆ
“ริชา!”
เสียงเรียกจากคนเป็นพ่อดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนริชาจะรีบเก็บมือของเธอกลับมาในทันที คนถูกสัมผัสใบหน้าได้แต่ยิ้มไม่หุบก่อนจะแสร้งมองไปทางอื่นเช่นกันเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเขินอายไปมากกว่านี้
“รู้จักกันด้วยเหรอ ว่าจะแนะนำแกอยู่เนี่ย ญาติฉันเองชื่อศิคิน จะมาช่วยงานแกช่วงแม่ฉันผ่าตัด” ชมแพรถามด้วยความประหลาดใจก่อนจะแนะนำญาติของตนให้ริชารู้จัก
“ญาติ…ญาติแกเหรอแพร” ริชาพูดทวนคำพูดของชมแพรอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะมองไปที่ศิคินที่ตอนนี้กำลังยิ้มให้เธออยู่
“ครับผมเป็นญาติกับแพร ชื่อ ศิ…คิน จะมาช่วยงานคุณช่วงที่แพรจะกลับไปดูแลอาของผม ท่านกำลังจะผ่าตัด”
เขาตั้งใจเว้นวรรคชื่อของตัวเองทีละคำก่อนจะมองไปที่ริชาที่สีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก เพราะใบหน้าของเขานั้นดันเหมือนกับชายหนุ่มในฝันของเธอเมื่อคืนไม่มีผิด
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเคร่งเครียดกว่าที่ควรจะเป็น ริชามองไปยังชายหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ตรงข้ามกับเธอซึ่งกำลังพูดคุยกับพ่อของเธออย่างออกรส เธอจ้องเขาเขม็งก่อนเขาจะตักอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า
เหมือนดั่งว่าคนถูกจ้องจะรับรู้ได้ เขาที่กำลังจ้องมองไปที่จานข้าวตรงหน้าอยู่ๆ ก็ช้อนสายตาขึ้นมามองตรงไปที่ริชาในทันที เมื่อถูกจับได้เจ้าคนจ้องจับผิดก็รีบเปลี่ยนเรื่องในประโยคสนทนาอย่างรวดเร็ว หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จและเตรียมของที่จะใช้ในการทำงานวันนี้เรียบร้อย ริชามองไปที่นาฬิกาข้อมือก็เป็นเวลาเกือบๆ สิบโมงเช้าแล้ว
“ไปเถอะแพร จะได้ไม่ต้องรีบมาก”
“ได้ๆ ศิคินไปรอที่รถแล้วละ”
“เดี๋ยวนะ เขาจะไปกับเราด้วยเหรอแพร” ริชาถามขึ้นก่อนจะมองไปที่ชมแพรที่พยักหน้างึกๆ
“ก็ใช่สิ แกไม่ค่อยสบายฉันไม่ให้แกขับรถกลับคนเดียวหรอก”
ริชาเดินเข้าไปช่วยชมแพรถือของก่อนทั้งสองจะเดินไปที่โรงรถ “แกหมายความว่าไง…ฉันกลับคนเดียว” คิ้วสองข้างที่ขมวดเข้าหากันก่อนชมแพรจะเปิดประตูรถแล้วนำสัมภาระต่างๆ เก็บไว้ที่เบาะหลัง
“ไอ้ชา ก็นั่นมันทางกลับบ้านฉันพอดีไง…จะได้กลับบ้านเลย”
ริชาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มมองเธอทั้งสองคนอยู่อีกฝั่งด้านของคนขับรถ วิษณุเดินออกมาส่งลูกสาวก่อนจะยื่นเสบียงเป็นขนมและน้ำผลไม้ให้กับริชา
“เก็บไว้เผื่อรองท้องนะลูก”
“ขอบคุณนะคะพ่อ เดี๋ยวเย็นๆ หนูกลับนะคะ” ริชาพูดพลางรับขนมจากผู้เป็นพ่อก่อนทั้งสามคนจะกล่าวลาวิษณุ จากนั้นริชาจึงเดินไปที่บริเวณประตูเบาะหลังแต่เหมือนชมแพรจะไวกว่า
“วันนี้ขอจองเบาะหลังนะ ฉันว่าจะงีบสักหน่อย เมื่อคืนมัวแต่โทรหาแกกับไอ้ภพเนี่ยเพราะงั้นวันนี้แกอยู่เป็นเพื่อนญาติฉันเลยจ้ะ…เชิญคุณริชาที่เบาะด้านหน้าเลยนะคะ”
ชมแพรพูดพลางทิ้งตัวลงนั้นพร้อมๆ กับหมอนใบเล็กและผ้าห่มพื้นนุ่มในทันที ริชาที่ทำท่าจะดึงผ้าห่มออกด้วยความหมั่นไส้แต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อมองขอบตาล่างที่ดำคล้ำของผู้เป็นเพื่อน
เมื่อเปิดเข้าประตูรถเข้ามาที่เบาะด้านหน้าริชาก็รัดเข็มขัดนิรภัยในทันที…เธอแอบมองไปยังศิคินที่นั่งอยู่ข้างๆ ในตำแหน่งคนขับ ใบหน้าของคนแปลกหน้าที่แสนคุ้นชินนี้ถึงแม้ทรงผมหรือการแต่งกายจะดูแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับชายหนุ่มที่เธอเห็นในฝัน หากแต่เธอมั่นใจแน่นอนว่าเขาคือคนคนเดียวกันกับผู้ชายที่อยู่ในร้านดอกไม้เมื่อวาน
“มองผมขนาดนี้ มีอะไรจะถามผมเหรอครับ” เสียงนุ่มถามขึ้นพลันคนกำลังจ้องอยู่นั้นก็ได้สติ
“ใครจ้องคุณคะ ว่าแต่คุณเป็นญาติฝ่ายไหนของแพรคะ ทำไมฉันไม่เคยรู้จักเลย” ริชายิงคำถามในทันทีโดยไม่เก็บความสงสัยแม้แต่น้อย
ศิคินกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยเมื่อครู่เพราะพลังของแต้มอัคคีที่ฝ่ามือทำให้ตนสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกและความคิดของริชา หากแต่ด้วยนิสัยของหญิงสาวที่เมื่อเธอคิดสิ่งใดเพียงชั่วอึดใจก็กล่าวออกมาในทันที หากแต่เขาเองไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างเช่นเคย
“เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ” เสียงชมแพรเสริมขึ้นจากเบาะหลัง
“นึกว่าแกหลับไปแล้วซะอีก” ริชาสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนที่ยังคงนอนห่มผ้ามองมาที่ริชาตาใส…ก่อนศิคินจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
‘เป็นเทพต้องมามุสาเช่นนี้ ริชานะริชา’ เขาพึมพำในใจอย่างนึกเอ็นดูในความสงสัยของเธอ แต่เพื่อไม่ให้ริชาสงสัยเขามากไปกว่านี้ ศิคินจึงทำได้เพียงดลใจให้ชมแพรที่นอนอยู่ที่เบาะหลังพูดแทนตนเท่านั้น
“ผมเพิ่งกลับมา ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไหร่…ไปๆ มาๆ น่ะครับ”
เขาพูดพลางมองไปที่ริชาด้วยตอนนี้ในใจของเธอกำลังคิดว่าจะเชื่อเขาดีหรือไม่
“ผมพูดจริงๆ ครับ เรื่องนี้คุณเชื่อผมได้” ริชาที่ได้ยินดังนั้นก็แอบตกใจด้วยเหมือนดังว่าเขาได้ยินสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ก็ไม่ปาน
ตลอดทางที่บรรยากาศในรถดูเงียบสงัด แต่ริชาที่ง่วงแสนง่วงกลับไม่กล้าแม้แต่จะงีบหลับ เธอพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นตัวอยู่เสมอเพราะกลัวจะฝันอะไรประหลาดๆ อีก
“คุณพักสายตาสักครู่ก็ได้นะ เดี๋ยวใกล้ถึงผมจะปลุก”
ราวกับว่าเขาได้ยินความคิดของเธอเสียอย่างนั้น ริชาเลิกคิ้วขึ้นในทันทีด้วยความสงสัยเพราะเธอเองคิดในใจยังไม่ทันจะจบเขาก็พูดแทรกขึ้นมาในทันที
“ฉันไม่ง่วงค่ะ ไม่เป็นไร ให้แพรนอนคนเดียวก็พอแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวผมจะแวะร้านกาแฟหน่อยเผื่อคุณจะอยากดื่มกาแฟ”
“ไม่เป็นไรค่ะเพิ่งดื่มมาเอง รีบไปรีบกลับเถอะค่ะ”
ริชารีบปฏิเสธในทันทีก่อนที่ศิคินจะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยหญิงสาวนั้นอยากรีบไปรีบกลับเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ๆ เขา แต่เหมือนเจ้าหล่อนจะลืมไปเสียแล้วว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะต้องเจอเขาในทุกๆ วัน
“ตามบัญชาเลยครับคุณริชา”
ศิคินพูดขึ้นก่อนจะยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและน้ำเสียงที่ยียวนเสียจนคนฟังอยู่อดหันไปมองไม่ได้ ริชาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะเขาชักจะตีสนิทเธอมากเกินไปเสียแล้ว
หลังจากรถแล่นมาได้เกือบๆ ยี่สิบนาทีและนับเป็นยี่สิบนาทีที่รู้สึกยาวนานที่สุดในชีวิตนี้ของริชาเลยก็ว่าได้ เสียงของอากาศที่พ่นออกมาจากช่องเครื่องปรับอากาศนั้นดังพอๆ กับเสียงหายใจของเธอและเขา
ศิคินที่อยากจะชวนเธอพูดคุยแต่ดูเหมือนว่าริชาจะพยายามไม่คุยกับเขาด้วยหันหน้ามองไปที่กระจกด้านข้างแทบจะตลอดเวลา
“ไม่หนาวกันรึไง เบาแอร์ให้หน่อยสิ” ชมแพรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงียก่อนริชาที่เอื้อมมือไปที่แผงควบคุมที่อยู่ด้านหน้าซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ศิคินยื่นมือมาพอดีเช่นกัน
มือของทั้งสองคนสัมผัสกัน แม้จะเพียงเศษเสี้ยววินาทีแต่ด้วยความร้อนที่บริเวณฝ่ามือของชายหนุ่มนั้นก็ทำให้ริชาสัมผัสได้ถึงความร้อนที่มากกว่าอุณหภูมิปกติของผู้คนทั่วไป
“คุณไม่สบายรึเปล่าคะ ตัวร้อนขนาดนี้” ริชาถามขึ้นหากแต่สีหน้าของศิคินกลับดูตกใจอยู่ไม่น้อยด้วยเขานั้นมองข้ามเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ไม่นะครับ ผมสบายดี ” ศิคินปฏิเสธเสียงเรียบ
“ตกลงค่ะ ไม่ป่วยก็ไม่ป่วย” ริชารีบตัดบทเพราะไม่อยากจะรบเร้าเขาไปมากกว่านี้ ‘สบายดีอะไรตัวร้อนจี๋เลย’ เธอบ่นในใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทร.หาพิภพ
ในจังหวะที่รถกำลังติดไฟแดงอยู่นั้น ศิคินที่รับรู้ได้ถึงความคิดของริชาทั้งหมดทำให้ดูไม่เป็นธรรมกับอีกฝ่ายเท่าใดนัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ เอื้อมมือข้างหนึ่งไปที่ใบหน้าของริชาก่อนจะใช้หลังมือของเขาสัมผัสที่หน้าผากของเธอเบาๆ โดยที่ริชาไม่ทันได้สังเกตเพราะกำลังตกใจในสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่
ละอองสีแดงเล็กๆ ถูกส่งจากฝ่ามือของศิคินไปยังริชาในทันที ด้วยเขานั้นไม่ปรารถนาจะเอาเปรียบเธอไปมากกว่านี้แล้วเช่นกัน
“ผมสบายดีจริงๆ ครับ เห็นไหมว่าตัวผมไม่ร้อนเลยสักนิด”
“ฉันเชื่อคุณแล้วค่ะ ไม่ต้องจับก็ได้…”
ริชาพูดพลางหันหน้าไปด้านข้างทันที ด้วยไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรโดยที่คนข้างๆ กำลังยิ้มให้ท่าทางที่น่าเอ็นดูของหญิงสาว
‘ประหลาดคน!’
เสียงถอนหายใจที่ดังออกมาเป็นระยะหากแม้ไม่มีจิตที่เชื่อมถึงกัน เทพอัคคีก็ทราบได้ในทันทีว่าทำให้ริชาอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ไม่น้อย
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ