ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตอนนี้กิ่งก้านใบของมันแผ่กว้างให้ร่มเงาเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี ต้นทองหลางใหญ่ที่สวนหน้าบ้านบริเวณใต้ต้นนั้นมีชิงช้าผูกอยู่ เธอนั่งลงที่ชิงช้าเบาๆ ด้วยเชือกที่ผ่านกาลเวลามานั้นไม่แน่ว่าจะยังแข็งแรง

เธอซบลงที่เชือกนั้นอย่างหมดแรงด้วยคิดทบทวนคำตอบของพ่อที่โต๊ะกินข้าว

“พ่อคะ หนูรู้ว่าไม่ควรถามแต่พ่อจำเหตุการณ์ตอนแม่เสียได้ไหมคะ” ริชาถามขึ้นอย่างรู้สึกผิดแต่วิษณุกลับยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน

“จำได้สิ ถามทำไมลูก”

“ชารู้แค่จากที่พ่อเล่าว่าช่วงนั้นเพราะชาตกใจมาก เลยจำได้บ้างไม่ได้บ้างจนต้องไปพบจิตแพทย์เลยใช่ไหมคะ”

“ใช่ ช่วงนั้นเราเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ช่วงที่พ่อยังลุกจากเตียงไม่ได้เพราะเจ็บหนักก็ได้ป้ารินทร์พี่สาวของแม่ช่วยดูแลหนูให้ก่อน ว่าแต่ชาถามถึงเรื่องนี้ทำไมลูก…ยังไม่ตอบพ่อเลย”

ริชาไม่ตอบแต่หันไปทางพิภพแทน “แล้วภพล่ะ จำได้ไหมเหตุการณ์ช่วงนั้น”

คำถามของริชาเหมือนกับน้ำเย็นจัดที่ราดรดลงมาที่ร่างกาย เขานิ่งไปก่อนจะพยายามคิดครู่หนึ่งแต่ได้คำตอบเป็นเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น

 “จำไม่ได้เลย จำได้ว่าเกิดอุบัติเหตุตอนเราสองบ้านนัดจะไปเคานต์ดาวน์ด้วยกัน ตอนนั้นมีคุณลุงคนขับรถแล้วก็ย่า หลังจากนั้นก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างเหมือนชา…”

เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนักเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำ เมื่อลืมไปแล้ว…พิภพที่มองว่าเป็นเรื่องน่ายินดีจึงไม่ใส่ใจกับมันอีก แต่เมื่อริชาเองที่มีอาการเช่นเดียวกันถามขึ้น เดิมทีเขาเพียงเชื่อการวินิจฉัยทางการแพทย์ที่บอกว่าเขาและริชาตกใจและสะเทือนใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนจำได้บ้างไม่ได้บ้างในเหตุการณ์บางช่วง

แต่จะใช้คำว่าลืมก็คงเป็นไปไม่ได้ ในช่วงที่บาดเจ็บจนสลบไปนั้นเขากลับฝันถึงเหตุการณ์คืนนั้นในช่วงที่ขาดหายไปในความทรงจำ

“ใช่ค่ะพ่อ อย่างที่ภพกับชาเล่าเหมือนเรื่องราวช่วงหนึ่งมันหายไปยังไงไม่รู้ ชาจำได้จริงๆ แค่ตอนที่ยืนรอพ่อกับแม่ที่หน้าห้องฉุกเฉินแล้วจากนั้น…” เธอหยุดพูดไปเหมือนกำลังชั่งใจก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

“แล้วจากนั้นก็เหมือนมาจำที่เหลือได้ เมื่อไม่นานมานี้เองตั้งแต่มีสีนี่ติดอยู่ที่มือ” ริชายื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้าก่อนวิษณุจะรีบจับมือลูกสาวในทันที

เสียงหัวใจที่เต้นระรัวของวิษณุเมื่อเห็นแต้มสีแดงที่บริเวณกลางฝ่ามือของลูกสาวนั้นทำให้เขาหวนนึกถึงวันสิ้นปีนั้นเมื่อสิบปีก่อนที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต บนฝ่ามือของริชาก็มีรอยลักษณะเช่นนี้เหมือนอย่างวันนั้นไม่มีผิด

“พ่อจำได้ว่าตอนนั้นก่อนพวกเราจะออกไปงานเคานต์ดาวน์ ลูกสองคนคุยกันอยู่ที่สนามหญ้าที่หน้าบ้าน ชาวิ่งมาเอาของบางอย่างแล้วก็ออกไป จากนั้นพวกเราก็ออกไปงานกันเลย” วิษณุที่พยายามนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแต่เพราะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วจึงจำได้เพียงบางเหตุการณ์เท่านั้น

“วันนั้นแม่เป็นคนขับ แล้วอยู่ๆ ลูกก็บ่นว่าร้อนทั้งที่อากาศวันนั้นมันหนาวสิบกว่าองศา พ่อเลยจับตัวลูกดูเผื่อว่าจะเป็นไข้ก็เห็นสีแดงๆ แปลกๆ แบบนี้ติดที่มือหนู”

“แบบนี้ที่มือหนูเหรอคะ” ริชาพูดขึ้นด้วยความตกใจเพราะตอนนี้ในหัวเธอนั้นว่างเปล่าไปหมดเช่นเดียวกันกับพิภพที่ก็กำลังนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก

“รอยนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ชาจำได้ไหม” พิภพที่ถามขึ้นก่อนริชาจะมองไปที่เขา

“หลังจากที่อุบัติเหตุวันนั้นที่โรงแรม” ริชาตอบก่อนที่ทั้งคู่จะมองตาสบเข้าหากันในทันที

พิภพที่มีสีหน้าอธิบายไม่ถูกเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนและริชาก็ได้แต่กุมขมับเพราะไม่อาจหาเหตุผลใดมาอธิบายได้

ภายใต้แสงแดดอ่อนที่ส่องกระทบผ่านช่องว่างระหว่างใบต้นทองหลางสีเขียวและสายลมที่เย็นที่ยังคงพัดมาไม่หยุด เสียงถอนหายใจดังออกมาเป็นระยะของหญิงสาวที่บัดนี้นั่งอยู่ที่ชิงช้ากำลังหลับตาสนิท คิ้วคมขมวดเป็นปมเข้าหากันโดยที่ศีรษะข้างซ้ายเอนซบไปยังเชือกที่ผูกยึดชิงช้าไว้กับต้นไม้ใหญ่

พิภพที่เดินเข้ามาใกล้เมื่อเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วมือของเขาแตะเบาๆ ไปที่ระหว่างคิ้วที่ขมวดเป็นปมนั้น

“คิดอะไรชา” พิภพถามเสียงเรียบ

ริชาที่ส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ด้วยเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนกำลังมองหาสิ่งใดอยู่

เขามองใบหน้าที่สับสนของเธอด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเช่นกันก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงที่ชิงช้าข้างๆ ริชา

“พอมานั่งชิงช้าแบบนี้แล้วนึกถึงแต่ก่อนเวลาที่เรามานั่งรับลมตรงนี้ได้เลย” เขาพูดพลางค่อยๆ ออกแรงไกวชิงช้าไปมา แต่เพราะกลัวเชือกจะรับน้ำหนักไม่ไหวริชาเลยรีบลุกจากชิงช้าในทันที

“ไกวดีๆ เดี๋ยวเชือกขาดบาดมือเอานะ”

“โอ๊ย!”

ยังไม่ทันสิ้นคำพูดของริชา เสียงร้องของพิภพก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับเลือดที่ไหลซึมออกมาจากมือที่โดนเชือกบาด พิภพรีบหยุดชิงช้าก่อนจะมองไปที่มือของตนเอง เลือดสีแดงไหลที่ซึมออกมาจากมือนั้นเหมือนดังว่าตนเคยเห็นเหตุการณ์นี้ที่ไหนมาก่อน เขามองไปที่ริชาที่ยืนอยู่ด้านหน้าก่อนที่ภาพบางอย่างจะลอยเข้ามาในความคิด

“อย่าไกวแรงสิเดี๋ยวเชือกก็บาดมือหรอก” ริชาวัยสิบแปดปีในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าห้ามเขาเสียงดังก่อนเด็กชายที่อยู่บนชิงช้าจะไกวมันให้เร็วขึ้น และยังไม่ทันขาดคำพูดนั้นเชือกก็บาดเข้าที่มือเขาจริงๆ

พิภพสะบัดหน้าเบาๆ ก่อนเขาที่ยังคงสับสนอยู่นั้นจะมองไปที่ริชาด้วยอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัดด้วยเขานั้นไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้เลย

“ภพเป็นอะไรมากไหม” ริชาถามขึ้นก่อนจะมองไปที่มือของพิภพที่มีเลือดซึมออกมา

“ไปๆ เข้าบ้านไปทำแผลก่อน” เธอพูดพลางเรียกเขาให้เดินตามเธอมาก่อนจะหันกลับแล้วเดินเข้าบ้านในทันที

“ชา เดี๋ยวก่อน อยู่ที่นี่ก่อน”

พิภพเรียกเธอไว้ก่อนจะลุกขึ้นจากชิงช้าแล้วเดินเข้ามาหาเธอ เลือดที่ไหลซึมออกมาจากฝ่ามือพิภพนั้นจู่ๆ ก็บังเกิดละอองสีทองจางๆ ลอยฟุ้งออกมาไม่หยุด ริชาตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยเมื่อละอองจางๆนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อยามที่เขาเดินเข้ามาใกล้เธอ

และแล้วที่ฝ่ามือของริชาก็เริ่มมีการตอบสนองบางอย่างเพราะความร้อนที่ร้อนขึ้นจนสามารถสัมผัสได้นั้นทำให้ความสนใจทั้งหมดของเธอมาอยู่ที่ฝ่ามือแทน ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปของพิภพที่บัดนี้นิ่งเฉยราวกับกำลังต้องมนตรา เขาเดินเข้าหาเธอช้าๆ โดยที่ริชาเองก็เหมือนดังว่าตนถูกตรึงให้อยู่กับที่

“รออยู่นี้นะภพ เดี๋ยวชาเข้าไปเอาผ้าพันแผลมาให้ เอาผ้าเช็ดหน้ากดเลือดไว้ก่อน”

เด็กสาวในชุดกระโปรงสีอ่อนพูดขึ้นก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว เขารับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมากดไว้ที่มือเพื่อเป็นการห้ามเลือด และไม่นานริชาก็ออกมาพร้อมกับชุดทำแผล

“เบาๆ เจ็บๆๆ” เขาโวยวายขึ้นก่อนที่ริชาจะรีบปิดแผลที่ใส่ยาได้อย่างเรียบร้อย

“เนี่ยแหละนะ บอกแล้วว่าให้ไกวเบาๆ ดีนะไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นได้ไปโรงพยาบาลแทนงานเคานต์ดาวน์แน่ๆ” สาวน้อยบ่นอุบก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่อง

“เด็กๆ ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวที่จอดรถใกล้ๆ จะเต็มเอา คุณย่าจะได้ไม่ต้องเดินไกล” แก้วขวัญภรรยาของวิษณุหรือแม่ของริชาพูดขึ้นก่อนทั้งสองจะรีบลุกขึ้นจากโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว

“ผ้าเช็ดหน้าแกเปื้อนเลือดฉัน เดี๋ยวเอาไปซักให้” พิภพพูดพลางจะเก็บเอาผ้าเช็ดหน้าไปซัก แต่ริชารีบคว้ากลับมาในทันที

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวแกทำของฉันหาย ฉันไปซักเองดีกว่า” ริชาพูดพลางเอามาถือไว้ในมือก่อนจะวิ่งตรงไปขึ้นรถทันที

ภาพความทรงจำของเด็กสาวในตอนนั้นซ้อนทับกับริชาที่อยู่ตรงหน้าพิภพในตอนนี้ ละอองสีทองลอยกระจัดกระจายทั่วบริเวณและฝ่ามือของริชาเรืองแสงสีแดงออกมา และความทรงจำในตอนที่อุบัติเหตุของโรงแรมก็ชัดเจนขึ้น

พิภพหยุดอยู่หน้าริชาครู่หนึ่ง แววตาของหญิงสาวที่ดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัดเป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเธอคงกำลังเห็นและรับรู้สิ่งเดียวกันกับเขาอยู่

“มันคืออะไรเหรอภพ” เธอถามเขาเสียงสั่น

“ภพก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรชา แต่ภพจะไม่ยอมให้ชาเป็นอะไรเด็ดขาด” พิภพพูดพลางเอื้อมมือไปจับมือของริชาเอาไว้แน่นก่อนที่แสงสว่างนั้นจะส่องสว่างเรืองรองไปทั่วบริเวณ

 

ชายแดนพิภพอสุรา

ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้นนั้น ท้องนภาที่เคยมืดมิดบัดนี้ถูกทาทับด้วยแสงสีแดงฉานของเปลวไฟจากอัญมณีที่ยอดปราสาท

พายะเฝ้ามองเหตุการณ์นั้นอย่างร้อนใจก่อนจะมองไปที่เปลวไฟที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากมณีอสุรกาลอย่างไรผู้ควบคุม

“เจ้าศิคินนะเจ้าศิคิน อยู่ที่ใด เจ้าต้องมาที่นี่บัดเดี๋ยวนี้” กระแสจิตตรงไปยังสหายที่บัดนี้พายะที่ร้อนใจอย่างถึงที่สุดแต่ยังไร้วี่แววของเทพอัคคี

“ทูลองค์พายะ บัดนี้ดารันแม่ทัพแห่งอสุราได้มาถึงแล้ว…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงรายงานของทหารแดนสวรรค์ เสียงสะเทือนกึกก้องก็ดังขึ้นในทันที ดวงไฟหลากสีนับสิบนับร้อยดวงพุ่งกระทบลงที่พื้นดินบริเวณเขตแดน ท่ามกลางฝุ่นตลบจากเศษดินแห้งแตกละเอียดนั้นจึงปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่บัดนี้ในมือนั้นกำลังถือหอกยาวที่ทั้งส่วนหัวและด้ามนั้นมีสีดำสนิททั้งหมดชี้ตรงมาที่พายะในทันที

“นี่มิใช่เวลาตรวจตรามิใช่หรือ องค์พายะดูท่าจะกระทำเกินหน้าที่เสียแล้วกระมัง” เสียงดังกังวานดังขึ้นก่อนเขาจะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

“มิใช่เวลาอย่างเจ้าพูดดารัน หากแต่เหตุไม่ปกตินั้น…” พายะพูดพลางชี้ไปที่ด้านบนท้องฟ้าเหนือแดนอสุราที่บัดนี้ส่องแสงสีแดงฉานออกมาอย่างน่ากลัว พายุที่หมุนวนเหนือยอดปราสาทนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“หาใช่กงการกระไรของแดนเทพ ยกพลของท่านกลับไปเสียองค์พายะ”

“ก็หาใช่กงการกระไรของแดนอสุราเช่นกัน”

สิ้นสุรเสียงขององค์วาโยพายะเพียงเท่านั้นก็บังเกิดลมพายุพัดผ่านดารันอย่างรุนแรง ด้วยความโกรธที่มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น เมื่อดารันต้องพายุขององค์พายะก็ตั้งท่าพุ่งหอกยาวมาที่องค์วาโยในทันที

พายะที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ปฏิเสธก่อนจะเรียกพระขรรค์ประจำตัวของตนออกมารับหอกของดารันไว้ในทันที

“ปกติเจ้าไม่โกรธาง่ายดายเพียงแค่ข้าสั่งให้เจ้ายกพลกลับไปดอกพายะ” ดารันพูดพลางออกแรงฟาดปลายหอกใส่พายะอย่างสุดแรง

“หุบปาก…” เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อมองรอยยิ้มของดารันที่ยังคงยิ้มอย่างผู้มีชัย

“เจ้ารู้ดีว่ามณีอสุรกาลทรงอัคคีเพราะเหตุใด”

เหมือนดังฟางเส้นสุดท้ายพายะที่ขาดสะบั้นลงในทันที เขาฟาดพระขรรค์ของตนลงที่หอกของดารันสุดแรงก่อนจะบังเกิดแสงสว่างสีทองแผ่กระจายไปทั่ว คลื่นพลังมหาศาลนั้นกระทบเข้ากับทหารทั้งสองฝั่งก่อนจะกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง

พายะที่เมื่อเห็นดารันล้มลงที่พื้นจึงรีบเหาะตามไปในทันที เขาใช้ฝ่าเท้าเหยียบไปที่หน้าอกของแม่ทัพอสุราผู้นั้นอย่างแรงก่อนโลหิตสีนิลจะไหลออกมาจากปากของดารันในทันที

“ได้ใจไปเถิดองค์วาโย ถือว่าเจ้าเกิดเป็นเทพอยากจะเหยียบย่ำอสุราอย่างเราอย่างไรก็ตามแต่เจ้าต้องการหรือ แต่อีกไม่นานนักดอกจะไม่มีวันเช่นนี้อีก” เขาพูดออกมาอย่างเดือดดาลขณะพยายามดิ้นให้หลุดจากฝ่าเท้านั้นของเทพพายะ

ด้วยไม่อาจควบคุมพลังเทพของตนให้สงบได้เพราะอารมณ์ที่อัดแน่นแต่เดิมอยู่ภายใน ตามร่างกายและแผ่นหลังของพายะก็ปรากฏร่องรอยอักขระสีทองที่ส่องสว่างขึ้นพร้อมกับรัศมีแห่งเทพวาโยนั้นส่งผลให้ดารันเหมือนดั่งหมดแรงลงในทันที

ครู่หนึ่งองค์พายะจึงได้สติ เมื่อเห็นดังนั้นพายะจึงค่อยๆ ยกเท้าออกจากกลางหน้าอกของดารันในทันที

“เกิดเป็นเทพแล้วอย่างไร อสุราแล้วอย่างไร พวกเจ้ามีสิทธิ์กระไรตัดสินว่าสามารถกระทำชั่วช้าอย่างใดก็ได้เช่นนั้นหรือ ที่ข้าและสหายต้องมาที่นี่นั้นไม่ใช่เพราะการกระทำของพวกเจ้าหรอกหรือดารัน” เขาสบถออกมาอย่างเดือดดาลพลางมองไปที่เหนือท้องฟ้าบนยอดปราสาท

“ข้านั้นสะกดกลั้นที่สุดแม้ในใจจะอยากสังหารพวกเจ้าเพียงใดก็ตาม หากแต่รู้แน่แล้วว่ากระทำเช่นนั้นไปก็ไม่สามารถทำให้ใครกลับมาได้เช่นกัน เจ้าจงตรองดู” แววตาฉายความเจ็บปวดนั้นเพียงครู่หนึ่งก่อนเชือกพระเวทสีทองจะมัดเข้าตามร่างกายของแม่ทัพอสูรในทันที

“ปล่อยข้า!” ดารันดิ้นทุรนทุรายในทันทีเมื่อร่างกายสัมผัสกับเชือกพระเวทของพายะก่อนจะมองไปที่เขาด้วยความแค้นเคือง

“เจ้าพูดถูก ข้ารู้ดีว่าเมื่อมณีอสุรกาลทรงอัคคีหมายความเช่นไร และข้าก็เชื่อว่าศิคินก็ต้องรู้แจ้งเช่นกันมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่รู้กระไรเลย”

ดารันที่เมื่อได้ยินดังนั้นจึงมองไปที่ท้องฟ้าเหนือยอดปราสาทอย่างรวดเร็ว ร่างของใครผู้หนึ่งก็กำลังลอยตัวอยู่เหนือยอดปราสาทเช่นกัน

รัศมีสีทองอำไพและเปลวไฟสีแดงฉานที่ขยายออกมาจากร่างกายของเทพอัคคีนั้นค่อยๆ แผ่ขยายใหญ่ขึ้นก่อนจะโอบล้อมมณีอสุรกาลเอาไว้ จากนั้นไม่นานเปลวไฟที่เคยลุกไหม้ก็สงบลงในทันทีพร้อมๆ กับพายุหมุนบนท้องฟ้าที่สงบลงเช่นกัน

“โอ๊ย!”

เสียงร้องเมื่อยามร่างแม่ทัพอสุรากระทบพื้นท้องพระโรงใหญ่ปราสาทอุสรกาล เขามองไปที่ศิคินที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ พายะก็ตระหนักได้ในทันทีว่าหลงกลให้กับสองสหายแม่ทัพแดนสวรรค์นี้เสียแล้ว ด้วยพายะนั้นรับหน้าที่ดึงความสนใจของดารันเพื่อให้ศิคินเหาะไปที่มณีอสุรกาลได้อย่างง่ายดาย

“องค์ยะษาของเจ้าอยู่ที่ใด” ศิคินถามขึ้นพลางมองไปที่บัลลังก์ด้านบนที่ว่างเปล่าแต่กลับไร้ซึ่งคำตอบจากแม่ทัพอสุรา

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร พวกเจ้าเก่งนักก็หาเอาเองเสีย”

ดารันพูดพลางทิ้งกายนอนอยู่เช่นนั้นด้วยความยียวน ศิคินและพายะทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น ไม่นานบานประตูที่หน้าท้องพระโรงก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับร่างกำยำของยะษาก็เดินเข้ามาในทันที

“พวกเทพมีกงการกระไรในวังนี้เช่นนั้นหรือ” ยะษาปรากฏกายขึ้นก่อนจะเดินเข้ามายังจุดที่เขาสามคนอยู่

“หากสายตาเจ้ายังดีอยู่ยะษา” พายะเริ่มต้นสะกดกลั้นอารมณ์ใหม่อีกครั้งเมื่อยามมองรอยยิ้มที่แสนเชิญชวนบาทาของเขา จนศิคินทำได้เพียงเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของสหายเบาๆ

เขาเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์อย่างวางมาดก่อนจะมองมาที่พายะและศิคินที่อยู่เบื้องล่าง

“ว่าอย่างไรองค์ศิคินกับองค์พายะ มีธุระใดกับข้าเช่นนั้นหรือ”

“เจ้าต้องรายงานแดนสวรรค์เรื่องสาเหตุอันทำให้มณีอสุกาลทรงอัคคีเช่นนี้” ศิคินพูดเสียงเย็นก่อนยะษาจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“ข้าไม่ได้มีหน้าที่รายงานต่อแดนสวรรค์ เรื่องสาเหตุนั้นดูแล้วควรเป็นหน้าที่ของแม่ทัพอย่างพวกเจ้าเสียมากกว่ามิใช่ดอกหรือ” เขาพยายามพูดเพื่อดึงความสนใจของศิคินแต่ดูท่าแล้วจะไม่เป็นผล

“ข้าไม่มีเวลาเล่นลิ้นกับพวกเจ้าแล้ว ยะษาอยู่ที่ใด” ศิคินยื่นคำขาดก่อนจะปรากฏเปลวเพลิงที่ฝ่ามือของเขาเพื่อเป็นสัญญาณเตือนอีกฝ่ายว่าให้คิดหาคำตอบให้ดีนั่นเอง

“ก็ข้าอย่างไร” เขายืนยันเสียงสั่น

“ยะษาอยู่ที่ใด” เสียงเย็นถามขึ้นอีกครั้งก่อนที่เปลวไฟของเทพอัคคีจะตรงไปที่ร่างจำแลงของยะษาที่นั่งอยู่เหนือบัลลังก์ในทันที ร่างจำแลงนั้นลุกท่วมไปด้วยเปลวอัคคีของเทพศิคินก่อนจะลงไปดิ้นทุรนทุรายที่พื้นจากนั้นพระเวทที่อาบร่างของมันก็คลายออกเผยให้เห็นร่างจริงของอสูรตนนั้น

“ข้าจะถามเจ้าดารัน ยะษาอยู่ที่ใด”

ยังไม่ทันที่ดารันจะได้ตอบ แต้มอัคคีที่ฝ่ามือของศิคินก็ร้อนขึ้นในทันที ศิคินที่รู้แน่แล้วว่าริชากำลังมีภัยจึงรีบใช้พระเวทหายองค์ไปหาริชาในทันที เมื่อพายะเห็นเช่นนั้นดังคำตอบที่ว่ายะษาอยู่ที่ใดก็แจ่มชัดขึ้น เขาจึงรีบตามศิคินไปเช่นกัน

 

ณ ต้นทองหลางใหญ่นั้นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังจับมือกันนิ่งโดยมีละอองแสงสีทองฟุ้งกระจายไปทั่วในอากาศ ริชาและพิภพที่กำลังจับมือกันอยู่นั้นจู่ๆ ก็ปรากฏภาพนิมิตบางอย่างขึ้น

ภายใต้ห้องโถงกว้างที่ด้านบนสุดทางนั้นยกสูงขึ้นเป็นรูปทรงคลายบัลลังก์ที่ทำจากศิลาแลงสีทอง อีกทั้งยังมีละอองสีทองลอยบางๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา บนบัลลังก์ศิลาทองนั้นมีร่างของชายผู้หนึ่งทรงอาภรณ์สีนิลสนิท ตามร่างกายและมัดกล้ามนั้นมีรอยสลักสีทองที่เหมือนดังมีผู้วาดไว้อย่างวิจิตร ใบหน้าคมเข้มผ่องประภัสสรเหมือนดังมีแสงสว่างเรืองรองออกมาจากร่าง

ริชามองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงในความงดงามของรูปร่างและใบหน้านั้น เขามองมาที่เธอด้วยแววตาที่เศร้าเกินบรรยาย ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วผายมือมาทางริชาที่อยู่เบื้องล่าง

“มากับข้า…”

สุรเสียงนั้นทรงอำนาจแต่ปะปนไปด้วยความโหยหายิ่ง พิภพมองไปยังริชาที่อยู่เบื้องล่างก่อนจะผายมือเพื่ออ้อนวอนให้เธอยอมจับมือของเขาไว้ ดั่งต้องมนตราริชาที่ได้ยินเสียงนั้นก็เดินขึ้นไปหาพิภพที่อยู่บนบัลลังก์ช้าๆ ก่อนจะยื่นมือของตนออกไปเช่นกัน

เธอวางมือลงบนฝ่ามือของเขาก่อนพิภพจะกุมมือนั้นไว้ แต่แล้วที่ฝ่ามือของริชาก็ค่อยๆ เปล่งแสงสีแดงสว่างออกมา แต้มอัคคีจึงสำแดงเดชสีแดงฉานและด้วยความร้อนแห่งอัคคีเทพนั้นพิภพจึงไม่สามารถที่จะจับมือของเธอไว้ได้

“ไม่!” เขาตะโกนสุดเสียงและพลังของอัคคีเทพนั้นก็เข้าปกป้องร่างของริชาเอาไว้

คลื่นพลังที่เกิดจากริชาและพิภพนั้นทำให้ยะษาและยะศิณาที่เดินทางมาถึงที่โลกมนุษย์รับรู้ได้ในทันทีและแล้วพวกเขาก็หาทั้งสองพบได้อย่างง่ายดาย ยะษาที่ไม่แม้แต่จะคิดไตร่ตรองสิ่งใดก็มุ่งตรงเข้าหาทั้งสองคนที่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

แต่แล้วเพียงสุดปลายนิ้วมือของยะษาที่จะสัมผัสร่างของทั้งสองนั้น ริชาและพิภพก็เกิดแรงผลักทั้งสองออกจากกันในทันทีพร้อมๆ กับพลังของแต้มอัคคีที่โอบอุ้มร่างกายของริชาเอาไว้

“ไม่!”

พิภพที่กลับมาตั้งหลักได้นั้นตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง เขามองไปที่พลังอัคคีที่ปกป้องหญิงสาวเอาไว้ ริชามองเห็นเหตุการณ์นั้นอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงหมดสติไปในทันทีทำให้อัคคีเทพที่เคยล้อมรอบร่างของริชาเอาไว้หายไปจนหมดสิ้น

ท่ามกลางความตกตะลึงของพิภพนั้น ยะษาจึงเร่งเหาะตรงเข้าไปหมายจะคว้าร่างของริชาเอาไว้…

ตูม!

เสียงระเบิดใหญ่ที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับพลังบางอย่างที่เข้าปะทะกัน ยะษาที่กระเด็นออกมาไกลจากร่างของริชาที่ในขณะนี้หมดสติอยู่ก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อคนที่เข้ามาขว้างเขาไว้นั้นคือพิภพที่กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เขาเองแสนคุ้นเคย

“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้!”

เขาตะโกนออกมาในทันทีที่เห็นแววตานั้น พิภพที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศอุ้มร่างของริชาไว้ในอ้อมแขนกำลังมองไปที่ยะษาด้วยความโกรธเกรี้ยว เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งก่อนแรงของพลังบางอย่างจะกดทับร่างของยะษาอย่างรุนแรงจนไม่สามารถขยับไปที่ใดได้

เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนหยาดโลหิตจะไหลซึมออกมาตามแรงกดของพลังนั้น และในขณะเดียวกันศิคินและพายะที่เร่งมาที่นี่ก็ได้เห็นภาพนั้นเข้าพอดี

“องค์ราพสูร!”

ยะศิณาที่มองดูเหตุการณ์อยู่ตะโกนขึ้นก่อนนางจะกระโจนเหาะขึ้นไปกลางอากาศเพื่อเข้าไปหาพิภพในทันที เมื่อเห็นดังนั้นศิคินจึงใช้อัคคีเทพของตนขวางหน้ายะษาและยะศิณาเอาไว้เพื่อไม่ให้เข้าถึงตัวพิภพและริชาได้

ทั้งสองเมื่อรับรู้การมาถึงของศิคินและพายะจึงรีบถอยไปตั้งหลัก พิภพที่เห็นเปลวไฟอยู่ตรงหน้าและสองคนที่มีท่าทีจะทำร้ายริชาจากไปแล้วนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนสติกำลังจะขาดห้วง เขาจึงรีบลอยตัวลงมาที่พื้นก่อนจะหมดสติลงไปเช่นกัน

ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงรีบใช้พระเวทรับทั้งสองไว้ไม่ให้ร่างกระแทกพื้นก่อนที่ตนจะรีบเข้าไปอุ้มริชาไว้ในอ้อมแขนทันที โดยมีพายะที่รีบเข้าไปดูอาการของพิภพที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น

“มนุษย์นี่สินะ อดีตชาติคือองค์ราพสูรที่ลงมาเวียนว่ายที่สังสารวัฏ (1” เขาพูดพลางมองไปที่ชายหนุ่มที่นอนอยู่ที่พื้นก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของศิคิน

พายะที่เพียงมองเห็นริชาเพียงครั้งแรกก็ดั่งว่าสายอัสนีผ่าลงที่กลางใจในทันที ลมหายใจที่อยู่ๆ ก็ติดขัดนี้ทำให้เขารีบเบือนหน้าหนีไปในทิศทางอื่น…ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองริชาอีกครั้ง

ดวงตาที่เคยส่อแววยียวนสดใสบัดนี้เริ่มแดงก่ำ ด้วยกำลังพยายามไม่ให้มีสิ่งใดหยดลงมาจากดวงตา ก่อนเขาจะมองไปที่ศิคินที่พยายามใช้พลังของตนเพื่อให้เพลิงอัคคีในกายของริชาสงบลงจนกระทั่งเธอมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ศิคินจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะโอบกอดริชาไว้แน่น

เชิงอรรถ : 

(1) วัฏจักรของชีวิต คือ การเวียนว่ายตายเกิด

 



Don`t copy text!