นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม

นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

เสียงร้องโหวกเหวกของชาวบ้านกำลังเดินริมทางพลางหลบให้กับโจรวิ่งราวที่ชนกับคนมาตามทางอย่างไม่สนใจใคร  สายตาหลายคู่ต่างมุ่งไปที่โจรหน้าตามอมแมมผู้กำถุงเงินในมือแน่นโดยมีฝรั่งหน้าตาคมผมสีน้ำตาลกำลังวิ่งตามไปติด ๆ  หากทว่าดูเหมือนยิ่งวิ่งตามผู้ร้ายก็จะห่างไปเรื่อย ๆ ชั่ววินาทีที่เกือบหมดแรงมิเชลจึงรวบรวมกำลังวิ่งให้เร็วขึ้นซึ่งดูเหมือนได้ผลเพราะเขาสามารถเอื้อมมือไปจับหัวไหล่ของอีกฝ่ายไว้ได้  ฝ่ายนั้นเสียหลักชะงักลงแต่ด้วยแรงกำลังที่มากกว่าคล้ายกับว่าเจ้าตัวทำงานใช้กำลังมาตลอดต่างจากมิเชลผู้ที่แม้แข็งแรงตามวัยหนุ่มแต่งานของเขาเพียงนั่งโต๊ะเขียนหนังสือ  เมื่อประมือกับผู้ใช้แรงเป็นนิจจึงมิอาจสู้ได้ กระนั้นเขาก็อาศัยความอึดยึดตัวอีกฝ่ายไว้และพยายามแย่งถุงเงินในมือคืนมาโดยมีชาวบ้านต่างยืนลุ้นอยู่นอกวงไกล ๆ หากก็มิมีใครเข้ามาช่วย

อีกฝ่ายอาศัยความว่องไวและกำลังที่มากกว่าใช้ศอกกระทุ้งไปที่หน้าท้องของมิเชล หนำซ้ำยังชกเข้าที่มุมปากของชายหนุ่มด้วย  ชายหนุ่มเสียหลักจนถุงเงินที่ต่างยื้อแย่งหลุดจากมือของเขา  ขณะที่มันกำลังจะก้มหยิบก็มีมือของใครคนหนึ่งยึดตัวไว้พร้อมกับจับมือไพล่หลังมิให้ดิ้นไปได้  มิเชลเงยหน้ามองก็พบคนที่เขาไม่คาดคิดหากก็ทำให้เขาดีใจมิใช่น้อยด้วยคุณหลวงผู้นี้เคยพบกันก่อนหน้านี้แล้ว  เขารู้สึกนับถือในท่าทางของอีกฝ่ายตั้งแต่ครานั้น

“คุณหลวง”  มิเชลเอ่ยออกมาเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนแม้ในขณะที่เจ้าตัวกำลังเหนื่อยหอบจากการต่อสู้

“มิเชล  มาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร  แล้วเป็นกระไรหรือไม่”  หลวงภูบดินทร์พิทักษ์ไถ่ถามพลางกวาดสายตามองชายต่างชาติตรงหน้า  หากก็สะดุดตากับถุงเงินที่อีกหยิบมาไว้ในมือเพราะดูคล้ายกับห่อเงินของชาวสยามมากกว่าจะเป็นของอีกฝ่าย  “แล้วถุงอัฐนั่นของผู้ใดกัน”

“ของคุณโชติน่ะขอรับ”  ชายหนุ่มเรียนรู้การพูดจาภาษาสยามได้รวดเร็วจนอีกฝ่ายแปลกใจ

“เช่นนั้นเอง  แล้วแม่โชติอยู่ที่ใดกัน”  เขาถามพลางมองหา

“อยู่ตรงด้านโน้นขอรับ  เธอน่าจะเจ็บเล็กน้อย  กระผมจะนำถุงเงินนี้ไปคืน”  เขาจัดเสื้อผ้าและลูบผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่  แม้ยังรู้สึกจุกอยู่แต่ก็พยายามฝืนยืนตรงเพื่อจะเดินไปหาหญิงสาว

“เช่นนั้นท่านก็รีบไปเถิด  ประเดี๋ยวฉันจะรอโปลิศมานำตัวไอ้ผู้นี้ไปรับโทษ”  เข้าจับแขนที่ไพล่หลังไว้ให้แน่นขึ้น  แม้อีกฝ่ายขืนตัวฝืนไว้ก็ทำได้ไม่ถนัดนักด้วยเพราะคุณหลวงมีแรงกำลังและรู้จักท่วงท่าการต่อสู้จากการฝึกฝนจากทหารที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ได้ทรงนำเข้ามาฝึกในพระราชวังบวร

“แล้วคุณโชติจะต้องทำเยี่ยงไรขอรับ”

“จับได้ซึ่งหน้าเช่นนี้แลมีพยานเห็นเต็มไปทั่วทั้งย่านมิใช่เรื่องซับซ้อนอันใด  เมื่อครู่คนสนิทของฉันไปแจ้งพวกโปลิศที่มาเดินลาดตระเวนแถวนี้แล้ว”  เขามองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังเริ่มฉงนกับบทสนาทนาที่ซับซ้อนมากขึ้นจึงเปลี่ยนไปสนทนาเป็นภาษาอังกฤษแทน  “ละแวกนี้มีอู่ต่อเรือแลมีเรือสัญจรไปมาจอดมากมายกัปตันเอมส์จึงจัดโปลิศมาตระเวนดูแต่ละย่านเป็นเวลาน่ะ  สยามมีเรือมากแลมักหายอยู่เนือง ๆ เรื่องขโมยเรือก็มิเว้นวัน”

“ขอรับ”  มิเชลพยักฟังอย่างตั้งใจ

“อีกประเดี๋ยวโปลิศคงมานำตัวไปโรงตำรวจ”  เขาหมายถึงโรงตำรวจหรือกองโปลิศแถวตลาดโรงกระทะอันเป็นย่านชุมชนคนจีนซึ่งถือเป็นแหล่งขโมยชุกชุมมากที่สุดย่านหนึ่งในพระนคร “คุณไปดูแม่โชติเถิด” เขาบอก

“เช่นนั้นกระผมขอตัว  หากมีโอกาสคงได้พบกันอีกนะขอรับ”

มิเชลกล่าวลาพร้อมรีบออกเดินแกมวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ  โชคดีที่กลุ่มคนเริ่มกระจายตัวออกไปแล้ว  แต่พวกมิสซิสเฮาส์อันรวมถึงหญิงสาวยังคงนั่งอยู่บริเวณนั้นโดยชาวบ้านต่างรู้ดีว่าหญิงสาวคือใคร  บางคนก็นำยาแก้ฟกช้ำแถมด้วยขนมมาเลี้ยงเด็กหญิงสองคนที่มาด้วยกัน  โชตินั่งพักสักครู่แล้วรู้สึกดีขึ้นจึงคิดว่าจะรีบพาพวกของตนไปพบคุณป้าให้สิ้นเรื่อง  วันนี้คงมิใช่ฤกษ์ดีหากแต่ตั้งใจออกมาแล้วก็ควรทำธุระให้จบไป  ระหว่างกำลังลุกขึ้นหญิงสาวได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของแม่พุดตานส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมากลางวงทันที

“โน่น  แม่กลอยดูเอาเสียสิว่าใครมา”

“คุณมิเชลมาจ้ะพี่โชติ”  กลอยรีบบอกพี่สาวคนสนิทที่กำลังลุกขึ้นยืนให้รู้ตัว

“นี่ของคุณ”  เขารีบยื่นถุงเงินที่อยู่ในสภาพยับย่นพอควรให้หญิงสาวอย่างรวดเร็วด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเดินหนีไปเสียก่อน  ใบหน้าที่ปกติขาวใสไร้ความหมองคล้ำบัดนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและมีรอยช้ำจาง ๆ ตรงมุมปากด้วย

“ขอบคุณมากค่ะ  คุณเป็นเยี่ยงไรบ้าง”  โชติถามออกไปแล้วก็ได้แต่คิดว่าไม่น่าเลยด้วยเห็นชัดเจนอยู่ว่าเขาคงลำบากมิใช่น้อยกว่าจะนำของมาคืนให้เธอได้  หัวใจที่อ่อนไหวของเธอกลับกลายเป็นเต็มตื้นในความอาทรที่เขามีให้จนลืมสิ้นถึงความเคืองขุ่นที่ผ่านมา

“ว่าแต่คนร้ายเล่ามิเชล  คุณทำเยี่ยงไรกับมัน”  มิสซิสเฮาส์ถามอย่างผู้รอบคอบ

“กระผมได้พบคุณหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ที่ผ่านมาช่วยพอดีขอรับ  ตอนนี้คุณหลวงให้คนไปตามโปลิศมาจับโจรแล้ว”

“ค่อยวางใจได้หน่อย  ฉันยังหวั่นว่ามันจะย้อนกลับมาเล่นงานพวกเราอีก”  แม่พุดตานเอามือทาบอกด้วยท่าทางเลียนแบบผู้ใหญ่ขณะพูดออกมาอย่างโล่งใจ

“หล่อนนี่นะแม่พุดตาน”  กลอยส่ายศีรษะมองเพื่อนวัยเดียวกันอย่างเอ็นดูในท่าทางแก่แดด

“กระไรฤาแม่กลอย”

“ก็ทำท่าทางราวสาว ๆ”  กลอยมีท่าทีนิ่งกว่าพุดตานแม้จะอยู่ในวัยเดียวกัน

“ฉันก็ใกล้โกนจุกแล้ว  หล่อนด้วยแม่กลอย  อีกมิช้าเราก็จักต้องมีผู้ชายมาเมียงมองแลต้องออกเรือน”

เด็กหญิงพูดออกมาเสียงดังฟังชัดอย่างใสซื่อทำเอาโชติและคนอื่น ๆ อดขำมิได้

“ช่างเจรจานักนะแม่พุดตาน”

โชติอดไม่ได้ที่จะขำออกมาทำให้บรรยากาศโดยรวมผ่อนคลายลง  จากนั้นมิสซิสเฮาส์จึงรีบบอกให้ทุกคนมุ่งตรงไปยังจุดหมายคือเรือนพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์โดยมีมิเชลติดตามไปด้วยอย่างมิได้ตั้งใจ

 

เรือนมิได้เงียบสงบเพราะคุณหญิงเพิ่งกลับจากการติดตามสามีจากกาญจนบุรี  บ่าวไพร่กำลังลำเลียงหีบข้าวของเครื่องใช้ขึ้นจากเรือ  โชติหันไปถามบ่าวคนหนึ่งซึ่งผ่านมาว่าคุณหญิงอยู่ที่ใดเมื่อได้ความแล้วจึงรีบตรงไปยังห้องนั้นทันที

สตรีกลางคนผู้มีวัยงามกำลังนั่งโบกพัดในมือเป็นจังหวะเพื่อคลายร้อนขณะที่สายตาก็กำลังตรวจสอบงานที่บรรดาบ่าวผู้หญิงตรงหน้าเร่งทำแข่งกับเวลาให้เสร็จสิ้นเพื่อจะได้มิต้องมีงานค้างคาข้ามวัน

“คุณป้าเจ้าคะ”  โชติคลายเข้ามากราบอีกฝ่ายใกล้ชิดด้วยครานี้ห่างไกลกันไปนาน

“แม่โชติเองหรือ  แหม  ทำราวกับรู้ล่วงหน้าว่าป้าจะกลับมาวันนี้”  อีกฝ่ายเอ่ยอย่างยิ้มแย้มแม้แววตาเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง

“ก็รู้น่ะสิคะ  วันนี้หลานพาครูมาพบคุณป้าค่ะ”

“ว่าอย่างไรมิสซิสเฮาส์”  คุณหญิงอ่วมทักทายอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย  ฝ่ายภรรยาหมอเฮาส์ก็ทักทายผู้อาวุโสกว่าอย่างสุภาพด้วยคุ้นเคยกันมานานหลายปี

“ฉันมีเรื่องอยากสนทนากับคุณหญิงนิดหน่อยค่ะ”  มิสซิสเฮาส์เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

“ได้สิ  ว่าแต่นั่นครูของเธอพาใครมาด้วยฤาแม่โชติ  หาใช่พวกมิชชันนารีด้วยกันสักหน่อย”  คุณหญิงมองไปยังมิเชลด้วยสายตาคมปลาบ  ฝรั่งผู้นี้ดูดีแม้ภายใต้หน้าตาเหน็ดเหนื่อยและเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยหากแววตาฉลาดเป็นประกายก็ฉายแสงออกมาโดดเด่น

“มิเชลเจ้าค่ะคุณป้า”  โชติเลือกเอ่ยแนะนำชื่ออีกฝ่ายโดยยังไม่ได้แนะนำว่าเขาคือใคร  ชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยนามรีบทำความเคารพคุณหญิงอย่างรวดเร็ว

“มิเชล”  คุณหญิงอ่วมทวนชื่ออย่างเริ่มรู้สึกสะดุดใจก่อนจะมองหน้าหลานสาวอย่างเค้นเอาคำตอบหากสิ่งที่ได้ยินกลับทำเอาเธอแทบลืมเรื่องที่ต้องสะสาง

“เมื่อครู่หลานถูกคนทำร้ายแลขโมยถุงอัฐเจ้าค่ะ  ดีที่มิเชลช่วยไว้ทันแลไปนำเงินจากโจรมาคืนให้”

“ว่าอย่างไรนะ  หลานโดนทำร้ายฤาแม่โชติ  ตายแล้ว  นี่เป็นเยี่ยงไรบ้าง”  คุณหญิงรีบสำรวจร่างกายหลานสาวอย่างเป็นห่วงเมื่อพบว่าไม่เป็นไรก็เบาใจ  “เอาละ ๆ ขอบใจพ่อมิเชลมากที่ช่วยหลานฉัน  ไปสู้กับโจรมาคงเหนื่อยมิใช่น้อย  กินน้ำกินท่าเสียก่อนสิ”  คุณหญิงรีบชวนอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ  อารามตกใจจนลืมสิ้นว่าจะต้องไถ่ถามที่มาของชายหนุ่มและเมื่อมิสซิสเฮาส์เข้าเรื่องที่ต้องการเจรจาก็ยิ่งทำให้เรื่องชายหนุ่มชื่อมิเชลในมโนสำนึกของคุณหญิงห่างออกไปไกลตัว

“เรื่องที่ฉันจะมาพบคุณหญิงในวันนี้ก็เรื่องเกี่ยวกับการตั้งโรงเรียนค่ะ”  มิสซิสเฮาส์เอ่ยออกมาในที่สุด

“โรงเรียนฤา  ครูหมายถึงสำหรับเด็กหญิงใช่ฤาไม่”  คุณหญิงเรียกอีกฝ่ายตามหลานสาวอย่างยกย่อง

“ใช่ค่ะ  พวกฉันคิดว่านอกจากโรงเรียนสำหรับเด็กชายแล้วควรมีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงด้วย”

“ฉันเห็นด้วยนะจ๊ะ  จะให้ช่วยสิ่งใดก็บอกมาได้เลย”  คุณหญิงเข้าใจว่ามิสซิสเฮาส์อาจต้องการให้ช่วยเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนซึ่งหากเธอสามารถช่วยได้เธอก็ยินดี

“มิได้ดอกค่ะคุณหญิง  พวกเรา  ฉันหมายถึงมิชชันนารีจะมีการนำเรื่องนี้ไปเสนอกับคณะใหญ่อีกครั้งจากนั้นจะทำการระดมทุนเพื่อกลับมาจัดตั้ง  ทั้งหมดนี้อาจใช้เวลาสักหน่อยแต่ก็คุ้มที่จะลองค่ะคุณหญิง  เพื่อการศึกษาของเด็กหญิงในสยาม”

“แล้วครูจะให้ฉันช่วยเรื่องใดกัน”  คุณหญิงฟังอย่างคล้อยตามหากก็ยังไม่เห็นว่ามิสซิสเฮาส์จะให้เธอช่วยเรื่องใด

“เรื่องคนสอนค่ะ”

“อย่างไรนะ  คนสอน  หมายถึงพวกครูใช่หรือไม่”

“ใช่ค่ะ  ฉันอยากให้แม่โชติมาช่วยงานเต็มตัว”

“ทุกวันนี้หลานฉันก็แทบจะมิได้ทำอันใดแล้ว  เพราะมัวแต่ช่วยงานของครูนะ”  คุณหญิงพูดพลางขมวดคิ้วอย่างระแวง  ด้วยกำลังคาดเดาว่าแม่หลานสาวตัวดีคงไปเล่าเรื่องใด ๆ ให้มิสซิสเฮาส์ฟังซึ่งเรื่องนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องการจับคู่เป็นแน่  “จะมาขอให้ช่วยเต็มตัวนี่มันจะต้องขนาดไหนกันเล่าจ๊ะ”  คุณหญิงถามเสียงเรียบหากแฝงนัยยะชัดเจน

“ขอประทานโทษค่ะคุณหญิง  ดิฉันมิได้มีเจตนาจะรั้งตัวแม่โชติไว้จนถึงขนาดต้องละเลยใส่ใจเรื่องในบ้าน  หากเพียงแต่เห็นว่าแม่โชติเป็นคนหัวไว  สิ่งที่ได้ถ่ายทอดให้นั้นแม่โชติคงจะสามารถนำมาช่วยสอนน้อง ๆ รุ่นต่อไปได้มากโขหากว่าตัวแม่โชติมุ่งมั่นจะมาช่วยเรื่องการเรียนของเด็กหญิงสยามค่ะ”

“คารมดีทั้งครูแลศิษย์  อันที่จริงฉันมิได้ห้ามปรามดอก  เพียงแต่เห็นว่าเมื่อเรียนจบครบถ้วนที่ครูได้สอนแล้วก็มิมีอันใดต้องเรียนแล้ว  นับแต่นี้ควรเตรียมตัวใส่ใจงานการเรือนที่ป้าจะถ่ายทอดให้บ้าง  ไหนจะการงานที่บ้านของแม่โชติที่ต้องช่วยแม่เจ้าสืบทอดกิจการอีก”  คุณหญิงหันไปกำชับหลานสาวอย่างเตือนสติ  “หากจะไปช่วยงานที่บ้านครูเป็นครั้งคราวก็เป็นเรื่องดี  แต่มิใช่ไปขลุกอยู่ราวกับว่าจะเข้ารีตเปลี่ยนศาสนา”

“โธ่  คุณป้าเจ้าคะ  หลานมิได้คิดจะเปลี่ยนศาสนาสักนิด”   หญิงสาวเริ่มโอดครวญเมื่อเห็นว่าคำพูดของครูที่มาขอร้องอาจไม่ทำให้คุณหญิงอ่วมใจอ่อนลงได้  “เพียงแค่อยากช่วยงานสอนเท่านั้น”

หญิงสาวยืนยันอย่างตั้งใจแม้รู้ดีว่าคุณหญิงอ่วมผู้เป็นป้าคงไม่เห็นด้วยนัก  ด้วยผู้อาวุโสคงรู้ทันผู้เป็นหลานอย่างเธอว่าเหตุใดจึงพามิสซิสเฮาส์มาด้วยเรื่องที่ดูแล้วไม่เป็นสาระนักเพราะทุกวันนี้หญิงสาวก็มีพฤติกรรมเช่นที่พูดมาอยู่แล้ว  การพาครูของหญิงสาวมาเพื่อเจรจาเป็นเรื่องเป็นราวอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  คุณป้าคงรู้ว่าเธอเพียงแค่อยากตอกย้ำว่าอย่างไรเสียก็จะยังมิคิดออกเรือนและการอ้างเรื่องการสอนเด็ก ๆ ก็ดูจะมีน้ำหนักและสมเหตุสมผลที่สุดแล้วในเวลานี้



Don`t copy text!