นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่

นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

โชติออกจากร้านเสื้อผ้ามาโดยเธอและคุณป้าได้หมวกและเสื้อคลุมเพิ่มมาคนละหนึ่งชิ้น  เมื่อมาถึงที่พักหญิงสาวและคุณป้าของเธอแยกย้ายกันเข้าห้องโดยที่คุณหญิงอ่วมเริ่มรู้สึกเพลียจากการเดินทางและรู้สึกอยากนอนพักผ่อน  โชติจึงเดินเข้าไปส่งในห้องของอีกฝ่ายโดยเรียกบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาสองคนให้เข้าไปช่วยดูแลคุณป้าของเธอ

“แม่โชติ  หากคุณลุงกลับมาแล้วก็ถามเรื่องที่เราจะต้องนำข้าวของต่าง ๆ ไปจัดเตรียมแสดงด้วยนะหลาน”

“ค่ะ  คุณป้า  คุณป้าพักเถิดค่ะ  เดี๋ยวหลานจะให้แม่อ่อนนั่งเฝ้าไว้นะคะ  ส่วนพี่บัวนั้นหลานจะขอให้ไปช่วยกันจัดเตรียมของฝากที่เรานำมามอบให้ทางคนจัดงานค่ะ”  หญิงสาวบอกขณะส่งยาหอมที่ชงร้อน ๆ ให้ผู้อาวุโส

“จริงสิ  ป้าลืมไปเลย  ขอบใจนะแม่โชติ”  ความอ่อนเพลียทำให้คุณหญิงหลงลืมเรื่องสำคัญยังดีที่พาหลานสาวมาด้วยจึงแบ่งเบางานไปได้เยอะทีเดียว

“เช่นนั้นคุณป้าพักเถิดค่ะ  หากคื่นแล้วหลานจะชงชามาให้”  โชติเดินออกจากห้องพักของคุณป้าและกลับไปยังห้องของตนเอง  แม้เรือนที่ทางฝรั่งเศสเตรียมไว้ต้อนรับอาจไม่ใหญ่โตหากก็พอดีกับจำนวนคนที่เดินทางมาไม่มากด้วยเกรงจะเดินทางลำบาก

โชติกลับมาที่ห้องนอนของตนเองที่พักอยู่คนเดียวเนื่องจากบ่าวทั้งสองที่ติดตามมานั้นนอนพักด้วยกันในห้องเล็กที่ติดกับห้องของเธอ  หญิงสาวหยิบหมวกกับเสื้อคลุมมาอวดพี่บัวบ่าวคนสนิทของคุณหญิง

“สวยไหมพี่บัว”  บัวอยู่กับคุณหญิงมาตั้งแต่เด็กและเห็นโชติตั้งแต่หญิงสาวเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ โชติจึงคุ้นเคยและเรียกอีกฝ่ายว่าพี่อย่างสนิทใจ

“งามมากเจ้าค่ะ  หากคุณโชติได้สวมคงยิ่งงามหาใครเทียมเป็นแน่”  อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาดูเสื้อคลุมใกล้ ๆ พลางเอ่ยชื่นชมผู้เป็นนาย

“มิถึงขนาดนั้นดอกพี่  วันนี้ฉันพบกับหญิงชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งงามนัก”

“ใครฤาเจ้าคะ”  อีกฝ่ายถามพลางช่วยนำเสื้อคลุมไปแขวนอย่างเรียบร้อย

“เห็นว่าเป็นลูกสาวของคนใหญ่คนโตในเมืองนี้  คงจะพวกขุนนางกระมัง”  โชติเอ่ยเรื่อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนักแม้จะยอมรับว่าอีกฝ่ายสวยเหมือนตุ๊กตาที่เธอซื้อมาจากห้างฝรั่งแถวถนนเจริญกรุง

“หญิงชาวสยามเยี่ยงเราก็งามมิแพ้กันนะเจ้าคะ”  อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่อวดฟันสีดำเงา

“ฟันดำเยี่ยงนี้ใครเขาจะว่างามเล่าพี่บัว”  โชติสัพยอกอย่างสนุกสนานเนื่องด้วยรู้ว่าชาวต่างชาติต่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนสยามมีฟันสีดำ

“พวกมิรู้อะไร  เยี่ยงนี้สิเจ้าคะ  งามนัก  คุณโชติน่ะอะไร ๆ ก็งามพร้อมเสียอย่างเดียวมิกินหมากขัดฟันให้เงาสวยเยี่ยงพี่”

“กระนั้นฤา”  โชติมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจด้วยเธอนั้นมิอาจทำใจให้สีฟันอันเป็นสีขาวธรรมชาติกลับกลายเป็นสีดำจากการกินหมากได้เลยแต่อย่างไรเธอก็มิได้คิดว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่หรือคนรุ่นแม่รุ่นป้าทำกันเรื่อยมานั้นเป็นสิ่งไม่ดีหรือไม่ถูก  เพียงแค่ตัวเธอที่ไม่อาจทำแบบนั้นได้เท่านั้นเอง

“จริงสิเจ้าคะ”

โชติไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่ายหากแต่เปลี่ยนเป็นเดินออกไปนอกห้องเพื่อให้บ่าวผู้ชายบางคนที่ติดตามคุณลุงมาพาลงไปดูสิ่งของที่จะนำไปแสดง  หญิงสาวหันไปเรียกบัวให้เดินไปด้วยกันก่อนจะใช้เวลาคัดแยกประเภทสินค้าทั้งเครื่องจักสานและผ้าทอลายสวยงามแยกไว้  ส่วนของที่ระลึกซึ่งจะมอบให้เหล่าบุคคลทั่วไปที่มาเยี่ยมชมกับบรรดาคนจัดงานที่มีลำดับความสำคัญลดหลั่นกันไปหญิงสาวก็ช่วยกันกับแม่

บัวแยกเอาไว้  มีทั้งเครื่องจักสานขนาดจิ๋วและเครื่องเงิน  ทั้งยังมีน้ำปรุงกลิ่นหอมที่คุณป้าขอให้ข้าหลวงในวังช่วยทำมาให้แต่ได้มาไม่มากนักเนื่องจากตอนนี้มีน้ำหอมฝรั่งเข้ามาแทนที่ชาววังจึงหันไปนิยมน้ำหอมของฝรั่งกัน  แต่คุณป้าของโชติเห็นว่าอย่างไรเสียงานน้ำอบน้ำปรุงของหญิงชาวสยามนั้นมีเอกลักษณ์และกลิ่นที่หอมต่างจากน้ำหอมฝรั่งที่กลิ่นฉุนกว่า

เมื่อจัดแจงแบ่งประเภทเสร็จเรียบร้อยโชติก็กลับไปที่ห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้หากว่าคุณลุงจะให้ไปสถานที่จัดแสดงงาน  จากนั้นเธอเดินไปที่ห้องของคุณป้าและให้บัวนำชาร้อนมาด้วยซึ่งเมื่อเข้าไปก็เห็นคุณป้าเพิ่งตื่นพอดี  หญิงสาวคิดว่าอาการผู้สูงวัยน่าจะดีขึ้นแล้วเพราะได้นอนพักหลังจากที่เมื่อครู่กินยาหอมเข้าไป  โชติจึงรายงานเรื่องจัดเตรียมข้าวของพร้อมสรรพสำหรับงานที่สยามได้รับเชิญจากพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งประเทศฝรั่งเศสมาจัดแสดงภูมิปัญญาชนชาติของเธอที่แม้เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยองค์ความรู้ที่แตกต่างจากประเทศเจ้าภาพ  โชติหวังว่าชาวเมืองในต่างแดนจะชื่นชมและมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งที่เธอกำลังจะได้พบเห็นในไม่ช้า

 

คุณหญิงอ่วมและหลานสาวพร้อมผู้ติดตามที่เดินทางมาจากสยามเดินตามผู้แทนของพระยามธุรานุรักษ์ผู้เป็นกงสุลสยามประจำฝรั่งเศส  ท่านเป็นชาวฝรั่งเศสชื่อว่าเมอซิเออร์เกรอัง  วันนี้ท่านปรึกษางานราชการกับคุณลุงจึงมิได้เดินทางมาด้วยแต่ให้ผู้แทนของท่านเกรอังพาคณะของภรรยาทูตสยามมายังสถานที่แสดงงานเอ็กซ์โปที่บริเวณช็องเดอมาร์สริมแม่น้ำแซน  หญิงสาวตื่นตะลึงกับอาคารอันใหญ่โตมโหฬารที่ใช้จัดแสดงงาน  สำหรับศาลาไทยสร้างแยกจากอาคารหลัก   โชติก้าวเข้าไปด้านในศาลาไทยที่ทางเจ้าภาพได้ให้คนมาเตรียมการสร้างไว้ก็พบว่าภายในนั้นประดับตกแต่งด้วยลวดลายไทยและมีตู้จัด

แสดงอาวุธกับงาช้าง  ผนังด้านหนึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงประดิษฐานไว้เพ่อให้ผู้เข้าชมได้รู้ว่านี่คือพระมหากษัตริย์ของสยาม

“ทำได้งดงามดี”  คุณหญิงปรารภกับหลานสาวอย่างชื่นชมผู้จัดงานที่ศึกษารายละเอียดของงานได้ดี

“เห็นว่าผู้สร้างได้ขอรายละเอียดจากภาพวาดและของใช้ที่สยามได้เคยมอบไว้เมื่อคราวที่แล้ว  และยังได้ขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากท่านกงสุลด้วยค่ะคุณป้า”  โชติอธิบายเมื่อได้สอบถามกับผู้ช่วยของท่านกงสุล

“มิน่าเล่า  ดีแท้ทีเดียว”  คุณหญิงชื่นชมพลางมองไปรอบห้องกว้างอย่างสำรวจ

“เช่นนี้เราจะต้องนำของที่เตรียมมามอบให้ผู้จัดงานโดยเร็วนะคะ”  โชติเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“เป็นเช่นนั้นแน่นอน  แต่วันนี้ให้พวกเราเร่งเอาของที่เตรียมมาวางให้สวยงามเถิด  บรรดาศาตรา วุธในตู้แลงาช้างอีกทั้งผ้าพระบถที่ได้จัดไว้แล้วโดยพวกผู้ชายนั้นเข้าที่แล้วเหลือแต่ของกระจุกกระจิกสวยงามพวกนี้”

เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ได้ยินมาจากทางเข้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งโชติหันไปมองพร้อมกับผู้ช่วยท่านกงสุลก็พบชายวัยกลางคนร่างใหญ่ไว้เคราดกดำมาหยุดยืนตรงหน้าและยิ้มให้หญิงสาวกับคุณหญิงอ่วมด้วยแววตาเป็นประกายอย่างมิตร

“บงชูร์มาดาม  บงชูร์มาดมัวแซล”  เขาก้มศีรษะให้คุณหญิงอ่วมและโชติแต่ไม่ได้เข้ามาใกล้เพื่อทักทายด้วยกิริยาอันเป็นธรรมเนียมของคนที่นั่น  มีเพียงแค่หญิงผู้เดินตามเขาเข้ามาที่ได้เดินเข้ามาสวมกอดและเอาแก้มแนบกับแก้มของโชติก่อนเอ่ยปากราวสนิทสนม

“คุณนั่นเอง  ถึงว่าที่เราได้เจอกันเมื่อวานนี้คุณช่างดูสวยโดดเด่นยิ่งนัก”  โชติจำสตรีตรงหน้าผู้มีนามว่าเฟลอร์ได้จึงเอ่ยทักทายออกไปบ้าง

“ฉันก็จำคุณได้ค่ะ  คุณสวยมาก” เฟลอร์เผยรอยยิ้มสวยงามราวกุหลาบแรกแย้มที่มีน้ำค้างแตะแต้มบนกลีบบาง

หญิงสาวทั้งสองทักทายด้วยไมตรีที่ดีต่อกันแม้เพิ่งได้พบกันเพียงครั้งที่สองก็ตาม  จากนั้นผู้ช่วยของพระยามธุรานุรักษ์แนะนำคุณหญิงอ่วมให้รู้จักกับบิดาของเฟลอร์

“คุณหญิงขอรับท่านนี้คือเมอร์สิเออร์เลอกร็องขอรับ“

“บงชูร์มาดาม  ผมชื่อปิแอร์  เลอร์กรองด์”  พ่อของเฟลอร์ก้มศีรษะให้คุณหญิงอ่วมอย่างสุภาพพร้อมกับหันไปแนะนำบุตรสาวคนเดียว

“ส่วนนี่มาดามเดอลาวาล  บุตรสาวของผมเองขอรับ”  ปิแอร์แตะแขนบุตรสาวผู้ยังคงงามเยี่ยงสาวรุ่นแม้อยู่ในฐานะมาดามม่ายแล้วก็ตาม

ผู้ช่วยของพระยามุรธานุรักษ์หันมาแปลความให้คุณหญิงอ่วมฟัง  ส่วนโชติฟังอย่างสนใจด้วยว่ารู้มาว่าชาวตะวันตกนั้นมีชื่อตระกูลอันเป็นการเรียกขานเพื่อจะได้รู้ว่าผู้ใดมาจากตระกูลไหนบ้าง  แต่เมื่อฟังแล้วจึงแน่ใจว่าเฟลอร์คงสมรสแล้ว

“ยินดีที่ได้รู้จักภรรยาของท่านราชทูตสยามอย่างเป็นทางการค่ะ”  เฟลอร์เข้ามาทักทายอย่างอ่อนหวาน

“ยินดีค่ะ” คุณหญิงตอบกลับผ่านล่ามอย่างใจดีพลางหันไปบอกโชติอย่างเร่งเร้า

“แม่โชติ  หลานนำของฝากมอบให้คุณปิแอร์กับลูกสาวเสียสิ  พวกเขาอุตสาห์มาถึงที่นี่แล้ว”

“ค่ะ  คุณป้า”

เฟลอร์มองกิริยาคล่องแคล่วภายใต้เสื้อคลุมตัวสวยที่ห่มทับอาภรณ์สีสวยงามลวดลายวิจิตรแปลกตาอย่างรู้สึกสนใจ  เมื่อโชติหันไปหยิบของที่วางอยู่ตรงโต๊ะไม้ด้านหลังแล้วส่งให้คุณหญิงภรรยาท่านทูตสยาม  เฟลอร์ยิ่งเผลอมองของในมือที่กำลังถูกส่งให้บิดาของเธออย่างสนใจไม่แพ้กันด้วยว่ากล่องเงินสี่เหลี่ยมใบย่อมที่มีลวดลายละเอียดแปลกตานั้นช่างสะดุดตายิ่งนักแม้หญิงสาวจะรู้จักงานถมเงินและเคยเห็นมากมายที่บ้านของสามีก็ตาม

“เครื่องถมเงินจากสยาม”  คุณหญิงกล่าวขณะส่งมอบกล่องเงินถมลายกนกให้กับบิดาของเฟลอร์โดยมีผู้ช่วยกงสุลกำลังแปลให้อีกฝ่ายฟัง

“ลวดลายสวยงามนัก  ขอบคุณมากครับ”  เขาตอบพร้อมรับมาถืออย่างยินดีพลางพิศกล่องในมืออย่างสนใจ

“ส่วนนี่เป็นน้ำปรุงของหญิงสยาม  หวังว่าจะชอบนะจ๊ะ”​ คุณหญิงส่งมอบขวดน้ำปรุงให้เฟลอร์ซึ่งหญิงสาวรับมาอย่างตืื่นเต้นพลางเปิดขวดออกเพื่อสูดกล่ินทันที

 

 

“กลิ่นช่างหอมเย็นดีแท้ค่ะ  ต่างจากน้ำหอมที่ฉันใช้”

“กล่ินดอกไม้ที่พวกเรานำมาปรุงเป็นดอกไม้หอมเย็น ๆ เหมาะสำหรับอากาศเมืองร้อน  ส่วนบ้านเมืองของคุณอากาศเย็นกว่าแลคงมีกรรมวิธีในการสกัดให้กลิ่นหอมอยู่ติดได้นาน  ใช่หรือไม่คะ”  โชติอธิบาย

“คงจะเป็นเช่นนั้นค่ะ  แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นกลิ่นแบบไหนสำหรับผู้หญิงอย่างเราย่อมชอบของแบบนี้เป็นธรรมดาค่ะ  ว่าแต่คุณรู้จักน้ำหอมของเมืองเราด้วยหรือคะ”  เฟลอร์ถามอย่างสนใจ

“รู้จักสิคะ  ในสยามมีพ่อค้ายุโรปไปเปิดห้างแลนำของไปขายมากมาย”

“ฟังดูบ้านเมืองของคุณคงสวยงามน่าอยู่ยิ่งนัก  มิหนาวเย็นตลอดปีเยี่ยงที่นี่  ไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนคนหนึ่งของฉันปักหลักอยู่ที่นั่นนานแล้ว”

“เพื่อนคุณอยู่ที่สยามหรือคะ”  โชติถามอีกฝ่ายอย่างสนใจ  แต่เมื่อเฟลอร์กำลังจะอธิบายก็ได้ยินเสียงกระแอมขัดจังหวะจากบิดา  หญิงสาวชะงักแล้วยุติการสนทนาโดยปริยาย

“เฟลอร์  พ่อว่าเราควรไปทักทายตัวแทนที่มาจัดงานจากเมืองจีน  ปล่อยให้คุณหญิงกับหลานสาวได้เตรียมการต่อเถิด”

“จริงสิคะ  ลูกลืมไปว่าทั้งสองท่านคงกำลังยุ่ง”  หญิงสาวเอ่ยกับบิดาพลางหันไปพูดกับโชติ  “เช่นนั้นวันนี้ฉันขอลานะคะ  แลถือโอกาสขออนุญาตมาพบคุณอีกจะได้หรือไม่คะ”

“ด้วยความยินดีค่ะ”  โชติตอบยิ้มแย้มขณะที่คุณหญิงอ่วมเอ่ยลาสองพ่อลูกเช่นกัน

เฟลอร์เดินจากศาลาแสดงสินค้าจากสยามมาด้วยจิตใจชื่นบาน  หญิงสาวรู้สึกคล้ายกับว่าที่นั่นมีบางสิ่งเชื่อมโยงกับชายหนุ่มที่เธอถวิลหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  เธออยากให้โชติเล่าเรื่องบ้านเมืองของอีกฝ่ายเพื่อจะได้รู้จักดินแดนที่มิเชลใช้เวลาอยู่นานเป็นปี  คงเป็นเมืองที่น่าอยู่และผู้คนน่าสนใจไม่น้อย  หญิงสาวคิดว่าหากเธอได้รู้จักสยามดีกว่านี้เธอคงมีหัวข้อสนทนากับมิเชลมากขึ้นเมื่อพบหน้าเขาอีกครั้ง  หลังจากไม่ได้พบกันนานหลายปี

นับแต่วันที่เธอทิ้งเขาเพื่อไปแต่งงานเลยทีเดียว

 



Don`t copy text!