นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง

นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

“พี่แสงแลคุณพี่รู้หรือไม่ว่าหล่อนพบปะกับชายผู้นั้น แม่โชติ” เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมมองหญิงสาวด้วยดวงตาคมปลาบราวกับจับผิดเมื่อเอ่ยถึงมารดาและบิดาของโชติ น้ำเสียงของหลวงภูบดินทร์พิทักษ์คล้ายเมื่อโชติยังเยาว์วัยไว้จุกแล้วเขาติดตามพี่สาวมาเยี่ยมเธอและมารดา แม้นเธอเรียกเขาว่าคุณน้าหากแต่การปฏิบัติตนที่เขาแสดงออกนั้นประหนึ่งพี่ชายคนโตที่ดูแลน้องสาวคนเล็กก็มิปาน

“แม่มิทราบดอกค่ะ แต่คุณพ่อรู้เพราะว่าฉันเคยสนทนากับท่านเรื่องกงสุลค่ะ” หญิงสาวเล่าเรื่องอย่างรวบรัดขณะที่เขาอาสาพามาส่งบ้าน ด้วยมิไว้ใจว่าชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสผู้นั้นว่าจะมิติดตามหล่อนมาหากปล่อยให้บ่าวชายบ้านคุณหญิงป้าของหล่อนไปส่ง

“หล่อนโตแล้ว หากไปที่ใดควรมีบ่าวผู้หญิงติดตามนะแม่โชติ” เขาเอ่ยเสียงเรียบทว่าหมายความเช่นนั้นจริงจังเพราะมิเพียงคำพูดเท่านั้นหากเขาคิดว่าจะบอกกล่าวแก่มารดาของหญิงสาวให้รับรู้ด้วย

“เจ้าค่ะคุณน้า เอ้อ…คุณหลวง บางครั้งคุณป้าก็ให้พี่บัวตามฉันไปไหนต่อไหนค่ะแต่ฉันมิใคร่ชอบนัก” กิริยาลอยหน้าลอยตาคล้ายยังเป็นเด็กหญิงที่มิได้โกนจุกหากเพียงครู่เดียวก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวจึงรีบปรับสีหน้าให้ขึงขังสมดังสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“เหตุใดจึงมิชอบ”

“รำคาญค่ะ บางครั้งจะไปเดินตลาดหรือนั่งเรือเล่นก็ห้ามเสียเรื่อย มิเหมือนพวกแดง ใหญ่ อ้น ที่ฉันชวนไปที่ใดก็มิขัดเลย”

“พวกนั้นมันเป็นเด็ก คงมิอาจหาเหตุอันใดมาห้ามปรามหล่อนได้ มีแต่สมใจเพราะได้เล่นสนุกไปด้วย”

“แหม คุณหลวงนี่ช่างรู้ทันนะเจ้าคะ” โชติจนมุมด้วยคำพูดของผู้อาวุโสกว่า

“เช่นนั้นสิ หากมิรู้ทันฉันคงมิอาสาพามาส่งที่บ้านดอก”

“ความจริงบ่าวบ้านคุณป้าก็มาส่งฉันเป็นประจำอยู่แล้ว มิได้ลำบากเลย” หญิงสาวออกตัวอย่างเกรงใจ แต่คิดว่าอย่างน้อยจะได้ถามอาการคุณน้าจันหรืออาจติดตามคุณหลวงไปเยี่ยมอีกสักครั้งก็จะดีไม่น้อย

“มิได้เกี่ยวกับความลำบากหรือสบาย แต่ฉันคิดว่าชายผู้นั้นอาจติดตามหล่อนไปถึงเรือน เช่นนั้นจะมิงามกับตัวหล่อนเอง”

“คิดว่าเรื่องใดกัน เขารู้จักบ้านของฉันแล้วแหละค่ะ คราวก่อนเขาให้คนพาไปวัดสามพระยาแล้วเดินลัดเลาะเรื่อยมาจนถึงบ้านฉัน” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงเอือม แววตาไม่ถูกใจนัก

“เช่นนั้นเอง เขาคงมิได้มีพิษมีภัยอันใด เพียงแต่บ้านเมืองเรานั้นมิได้เห็นว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองเป็นเรื่องชินตา”

หญิงสาวเจ้าของดวงตาคู่งามสบตากับหลวงภูบดินทร์พิทักษ์อย่างฉงน เพียงอึดใจริมฝีปากบางได้รูปก็มีรอยยิ้มปรากฏ

“ขำอันใด”

“มิได้เจ้าค่ะ” โชติเสมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าด้วยมิอยากให้ผู้ใหญ่เสียหน้า

“แม่โชติ”

“แหม คุณน้า เอ้อ คุณหลวงคะ เราสองคนมิได้เป็นชายหญิงหรือเจ้าคะ”

“มิเหมือนกัน ฉันนั้นเห็นหล่อนมาแต่เล็กแต่น้อย หล่อนก็เปรียบเป็นหลานของฉัน จักตักเตือนว่ากล่าวก็ด้วยคิดกังวลเรื่องคำติฉินที่จักมาถึงครอบครัวของหล่อนด้วย” เขาเอ่ยเสียงเรียบแววตาคมปลาบมองจ้องอีกฝ่ายราวคาดโทษ

“ฉันไหว้เถิดจ้ะหากทำให้คุณหลวงมิพอใจ” กิริยานอบน้อมของโชติและน้ำเสียงกังวลทำให้คิ้วยาวที่ขมวดอย่างเคร่งเครียดเมื่อครู่ของอีกฝ่ายคลายลง “แต่ฉันมิได้คิดดูถูกความตั้งใจของคุณหลวงแม้แต่น้อย เรื่องชายผู้นั้นมิใช่ว่ามิรู้ แต่จนใจว่าบังเอิญพบกันหลายครานัก เมื่อครู่ยังมีทีท่าพูดจาเลียบเคียงให้ฉันสอนภาษาไทยให้เขาด้วย ดีที่คุณหลวงอยู่ด้วยเขาจึงยังมิเอ่ยออกมาตรงๆ”

“แล้วหล่อนคิดเห็นเช่นใดเรื่องการสอนภาษาแก่เขาเล่า แม่โชติ”

“คงมิตกลงดอกค่ะ”

“จักวางใจได้เยี่ยงไรว่าเขามิคิดติดตามไปรอยังบ้านครูเฮาส์ของหล่อนเพื่อขอให้สอนภาษาไทย”

เขาเอ่ยเสียงเบาราวจะล่วงรู้ความนัยถึงคนต่างภาษาด้วยว่าเป็นบุรุษเฉกเช่นเดียวกัน กระนั้นเขาก็มิอาจทัดทานได้ด้วยว่าหญิงสาวตรงหน้ามีความคิดจิตใจเป็นของตนเองมาแต่เล็กแต่น้อย

“คงมิต้องพบเจอกันอีกดอกเจ้าค่ะ แต่หากมีเหตุต้องพบหน้าฉันจะพยายามเลี่ยง”

โชติยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแววตาเป็นประกายเจิดจ้า แม้หลวงภูบดินทร์พิทักษ์มิได้เอ่ยคำใดออกมายามที่เขามาถึงหน้าเรือนของหล่อน หากแต่ท่าทางมุ่งมั่นที่จะพบมารดาของโชติก็ทำให้เจ้าตัวรับรู้ได้ทันทีถึงความมุ่งหมายในใจของเขา

 

เรือนริมน้ำของมิชชันนารีสองสามีภรรยาคึกคักด้วยมีศิษย์รุ่นเล็กรุ่นใหญ่มาหลายคนในวันนี้ โชติเป็นหนึ่งในหญิงสาวผู้นับว่าตนเองเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ แม้ว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมามีเรื่องที่หญิงสาวต้องรับผิดชอบแทนคุณป้าหลายอย่างเพราะใกล้งานวันโกนจุกญาติสนิท แต่หลังจากหายหน้าไปสี่ห้าวันโชติก็กลับมาหาครูของตนอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง

เด็กหญิงหลายคนอยู่ในวัยกำลังโต บางคนยังไม่โกนจุก ส่วนคนที่เพิ่งโกนจุกก็ยังดูเป็นเด็ก โชติมองหลายคนแล้วสะท้อนใจเพราะได้รับรู้ว่าบิดามารดาของเด็กหญิงบางคนกำลังคิดจะขายใช้หนี้แทนค่าเช่าที่ทำสวน เมื่อถึงวาระนั้นหญิงสาวไม่อาจรู้ได้ที่ครูของเธอเพียรพยายามให้เด็กหญิงเหล่านี้มีวิชาความรู้ติดตัวนั้นเพื่ออะไร ร่องรอยหมองหม่นสะท้อนในแววตาเพียงครู่เดียวกลับแปรเปลี่ยนเป็นฉงนเมื่อไม่พบเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นที่สนิทสนมยิ่งกับหญิงสาว

“วันนี้แม่กลอยมิได้มาดอกหรือแม่พุดตาน” โชติถามเด็กหญิงอีกคนที่กำลังช่วยเพื่อนเย็บเสื้อ

“ไม่ได้มาค่ะคุณพี่” วาจาของเด็กหญิงคล่องนักสมกับที่ช่วยแม่ขายขนมอยู่แถวตลาดท้ายวังเพราะต้องพบเจอกับบรรดาคุณข้าหลวงที่มักออกมาเดินเล่นเลือกซื้อสินค้านานาชนิด เด็กหญิงจึงมีนิสัยช่างเจรจาและเลือกสรรคำให้ไพเราะเป็นที่ถูกใจผู้ฟังเสมอ “ฉันได้ยินว่าน้าฉ่ำแกจะพาไปขายวันมะรืนมะเรื่องนี้แล้ว ฉันก็รอคุณพี่เสียหลายวัน คิดว่าจักมิได้พบกันเสียแล้ว” เด็กหญิงทำหน้าม่อยขณะอธิบายเรื่องราวพร้อมกับพรรณนาความรู้สึกแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างคนคิดไม่ตก พลันมือที่กำลังจับเข็มก็ชะงักค้างเสียอย่างนั้น

“เหตุใดเป็นเช่นนั้นเล่า”

“ก็ที่ที่น้าฉ่ำแกทำสวนอยู่ตอนนี้น่ะสิคะ เขาว่ากันว่าแกได้เงินมาก็เข้าบ่อนเสียหมด มิได้จ่ายค่าเช่า ท่านขุนเจ้าของที่ก็ใจดียอมให้แกผัดผ่อนโดยเอาเพียงผักผลไม้ในสวนเท่านั้น แต่นานเข้าคุณนายแกมิยอมค่ะคุณพี่” เด็กหญิงวางเข็มในมือและผ้าพลางเขยิบตัวเข้ามาหาโชติแล้วจีบปากจีบคอกระซิบกระซาบอย่างเกรงใครจะได้ยิน “เขาว่าแกคงอยากจะหาเมียเด็กให้ผัวแก”

“ไอ้เขาที่ว่านี่ใครกันฤๅแม่พุดตาน” โชติมองหน้าเด็กหญิงพลางส่งเสียงกึ่งขำกึ่งคาดคั้นขณะเอื้อมมือไปจับแก้มยุ้ยอย่างมันเขี้ยว ด้วยความที่มารดาของเด็กหญิงขายขนมเด็กหญิงจึงค่อนข้างจะเจ้าเนื้อสักหน่อย ผิวพรรณที่เคยเข้มกรำจากแดดเริ่มขาวนวลตาเมื่อได้มาฝึกวิชาการเรือนที่บ้านมิสซิสเฮาส์

“แหม คุณพี่คะ ก็เขานั่นแหละค่ะ มิต้องสนใจดอก” พุดตานพูดพลางค้อนปะหลับปะเหลือก “ฉันว่าเพลานี้คุณพี่ควรหาทางไปช่วยพูดจากับน้าฉ่ำแกดีไหมคะ ฉันเกรงว่าชักช้าอาจไม่ทันการ” เด็กหญิงรวบรัดตัดความอย่างเร่งรีบและทำท่าจะลุกจากเก้าอี้

“ใจเย็นๆ แม่พุดตาน ลำพังตัวพี่จะช่วยได้เยี่ยงไร เราเอาเรื่องไปปรึกษาครูก่อนดีกว่า”

“ฉันก็พยายามจะบอกครูหลายวันแล้ว แต่ติดว่าภาษาปะกิตของฉันนั้นยังไม่กระดิกสักนิดจ้ะ ครั้นพอพูดจาภาษาของเราครูก็มิอาจเข้าใจทั้งหมด” เด็กหญิงเพิ่งเริ่มเรียนการสนทนากับมิสซิสเฮาส์จึงยังไม่สามารถสื่อสารได้คล่องแคล่ว แต่สำหรับงานเย็บปักสะดึงนั้นพุดตานทำได้ดีกว่าโชติเสียอีก

“เอาเถิด ขอพี่ไปพูดจากับครูก่อนว่าจะช่วยได้มากน้อยเพียงใด” โชติขยับตัวลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วเพราะหล่อนคิดเห็นไม่ต่างจากเด็กหญิงว่าเรื่องนี้ชักช้าไม่ได้เพราะหมายถึงชีวิตของเด็กหญิงอีกหนึ่งคนทีเดียว

ทางเดินเล็กๆ จากหน้าเรือนไปจนถึงสนามหญ้าร่มรื่นไม่ต่างจากทุกคราวที่หญิงสาวก้าวเข้ามา ครูของหล่อนนั่งอยู่ตรงที่เดิม มิสซิสเฮาส์ผู้หันหน้าเข้ามายังตัวบ้านกำลังสอนภาษาให้เด็กสาวผู้อ่อนวัยกว่าหล่อน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหันหลังและร่วมวงด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย ราวกับว่าเขาเป็นเพียงผู้สังเกตการเรียนและการฝึกอบรมเหล่าเด็กหญิงทั้งหลายเท่านั้น

“ครูคะ” โชติส่งเสียงเรียกอย่างร้อนรนพลันคิ้วดำเรียวยาวได้รูปก็ขมวดเข้าหากันอย่างประหลาดใจ “มิเชล” หญิงสาวเอ่ยชื่อบุรุษต่างชาติผู้หันมาพร้อมเผยรอยยิ้มสดใสให้อย่างยินดี

“ว่าอย่างไรแม่โชติ ครูหาโอกาสจะบอกตั้งแต่เมื่อครู่แล้วว่าหลายวันที่เธอมิได้มาที่นี่มีชายผู้นี้มารอเธอเกือบทุกวัน” มิสซิสเฮาส์ลอบมองสีหน้าชายหนุ่มอย่างมั่นใจในจุดมุ่งหมายแห่งการมาเยือนของเขาอย่างชัดแจ้ง มีเพียงฝ่ายหญิงผู้เป็นศิษย์เอกของเธอเท่านั้นที่มิสซิสเฮาส์ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ เพราะแม้สีหน้าและกิริยาของโชติยังคงสุภาพสมกับกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี แต่แววตาคู่งามที่ส่งประกายเจิดจ้าเป็นนิจของหญิงสยามผู้นี้ช่างห่างเหินและสงวนไมตรีต่อมิเชลยิ่งนัก

“มาพบฉันด้วยเหตุใดฤๅคะ แต่ขอเวลาสักครู่เถิดฉันมีเรื่องด่วนจำต้องหารือกับครู” หล่อยเอ่ยอย่างมีมารยาท พลันนึกถึงคำเตือนของหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ขึ้นมาได้ว่าแม่นนักราวกับหมอดู

ชายหนุ่มส่งยิ้มละมุนตาให้อีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปยังต้นไม้ใหญ่ริมน้ำในขณะที่มิสซิสเฮาส์เดินตามโชติกลับไปบนเรือน มิเชลเห็นท่าทางจริงจังของบุคคลทั้งสองก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้

เขายืนมองเด็กผู้หญิงหลายคนที่อยู่ตรงนอกชานและลานกว้างตรงหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมสตรีอเมริกันผู้นี้ยิ่งนัก การที่หญิงชาวต่างชาติให้ความสำคัญและใส่ใจกับการศึกษาของเด็กหญิงในดินแดนที่มิใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนหากมิใช่ด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์แล้วก็คงมิอาจทำได้มากมายเช่นนี้

มิเชลยิ่งทวีความมั่นใจในหญิงที่เขาสนใจว่าหล่อนต้องเป็นคนที่มีจิตใจงดงามไม่ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกด้วยต้องได้รับมุมมองต่างๆ มาจากครูของเธอเป็นแน่ และเขาแน่ใจว่าอีกไม่นานโชติคงเข้าใจในน้ำใจไมตรีที่เขามีให้ว่ามิได้มุ่งร้ายแก่เธอและดินแดนแห่งนี้ดังเช่นที่เธอเคยตั้งแง่อย่างแน่นอน

 

ทางเดินจากหน้าสวนไปยังเรือนไม้ใต้ถุนสูงซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังค่อนข้างเปรอะดินแต่โชติกลับเดินอย่างเร่งรีบโดยมิหวั่นเกรงว่าผ้านุ่งหรือส่วนใดบนร่างกายจะเปรอะเปื้อนสักนิด ผิดกับผู้เดินตามหลังหล่อนเพราะท่าทีกระตือรือร้นลดลง อาจด้วยความไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม ในตอนแรกมิสซิสเฮาส์และโชติตัดสินใจมาด้วยกัน แต่เมื่อมิเชลได้ฟังเรื่องราวจากมิชชันนารีชาวอเมริกันเขาจึงอาสามากับหญิงสาวแทนด้วยคิดว่าควรมีบุรุษมาช่วยแม้ไม่เข้าใจภาษาไทยแต่บิดาของหญิงสาวคงเกรงขามท่าทางอยู่บ้าง มิสซิสเฮาส์ตกลงโดยให้โชติพาคนสนิทของเธอมาด้วยหนึ่งคน

“ทางนี้แหละค่ะคุณโชติ เรือนนี้ของครอบครัวนายฉ่ำ ฉันเคยมาตามแม่กลอย” คนสนิทของมิสซิสเฮาส์เป็นหญิงเชื้อสายจีน มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านและติดตามเด็กหญิงบางคนเพื่อให้มาอบรมวิชาที่บ้านมิสซิสเฮาส์

“เหตุใดเงียบเชียบเช่นนี้” นางหลิวหรือที่มิสซิสเฮาส์ตั้งชื่อให้ใหม่ว่าลอรารำพึงออกมา

“นั่นสิจ๊ะ หรือว่าแม่กลอยมิอยู่เสียแล้ว”

“คงมิเป็นเช่นนั้นดอกค่ะคุณ แหม แต่พูดก็พูดเถิด หากแม่พุดตานกระซิบบอกฉันเสียก่อนฉันจะได้ช่วยบอกให้แหม่มพาคนมาเจรจากับพ่อแม่ของกลอย”

“ถึงอย่างไรก็ผ่านมาแล้วจ้ะพี่” โชติรู้ดีว่าหลิวหมายความเช่นนั้นจริง แต่พูดไปก็หามีประโยชน์ไม่เพราะเรื่องราวล่วงเลยมาแล้ว

“ทางนั้นมีคนมาแล้วคุณ” มิเชลเห็นความเคลื่อนไหวจากด้านหน้าเพราะเขาเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย “มีสามคน คงเป็นครอบครัวที่คุณมาพบแน่”

“นั่นใครฤๅ” หญิงคนหนึ่งซึ่งโชติมั่นใจว่าอ่อนวัยกว่านางแสงผู้เป็นมารดาของหล่อนมากนัก แต่ด้วยการทำงานหนักและกรำแดดทำให้ใบหน้าคมคายดูหมองคล้ำกว่าที่ควร

“ฉันเอง แม่ทองก้อน” หลิวรีบเดินมาหาอีกฝ่ายอย่างยินดีที่เจอสามคนพ่อแม่ลูกเสียที

“มาทำอันใดกันเล่า แล้วนี่ใคร” นางทองก้อนกระเดียดตะกร้าที่มีสายบัวเข้าสะเอวพลางยกผ้าเช็ดน้ำหมากหลังจากบ้วนลงพื้นอย่างเป็นปกติโดยมิสนใจแววตาของฝรั่งร่างสูงที่กำลังมองอย่างสนใจแกมฉงน

“นี่คุณโชติ เป็นลูกศิษย์ของครูแหม่มจ้ะ ส่วนพ่อคนนี้เขาชื่อมิเชล เป็นคนฝรั่งเศส” หลิวแนะนำอย่างรวบรัด

“แล้วมาด้วยเหตุใด” นายฉ่ำผู้ยืนนิ่งอยู่นานเอ่ยถามเสียงดุ เขาเหลือบมองบุตรสาวที่วิ่งเข้าไปหาหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มอย่างหมั่นไส้ นับแต่แม่กลอยได้ไปเรียนวิชาที่เขาไม่เห็นประโยชน์จากแหม่มชาวอเมริกันเขาคิดว่ามีข้อดีเพียงอย่างเดียวคือได้เงินมาให้เขาได้เข้าบ่อน แต่มันก็น้อยเกินไป เขาจึงคิดจะพากลอยไปขายให้บ้านท่านขุนเพื่อจะนำเงินมาต่อทุนให้เป็นเรื่องเป็นราว

“ฉันมาตามแม่กลอยไปเรียน” โชติเอ่ยเรียบๆ ไม่มีการขอร้องหากแต่เป็นการบอกกล่าวสิ่งที่ควรเป็น

“เรียนไปทำอันใดกันเล่าคุณ บ้านฉันมิมีคนช่วยงาน ดูสิมีแค่แม่ทองก้อนกับฉันเพียงแค่นี้ นังกลอยมันโตแล้วเอามาช่วยงานพ่อแม่เสียดีกว่า”

“แต่ก่อนนี้นายฉ่ำก็ให้กลอยไปเรียน เหตุใดเปลี่ยนใจเสียเล่า” โชติเสียงคาดคั้นขณะที่เด็กหญิงเริ่มตาแดงเมื่อเห็นพ่อยืนกรานความคิด

“ฉันมิเคยเปลี่ยนใจเพราะมิเคยอยากให้มันไปที่บ้านแหม่มมาแต่ต้นแล้ว เพียงแต่เห็นว่ามันได้อัฐมานิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่นังตัวดีก็ทำเป็นดัดจริตไม่อยากทำสวน บอกว่าอยากจะเขียนอ่านหนังสือ แหม ทำเป็นผู้ชาย รู้หรือไม่ว่าผู้หญิงน่ะมิต้องร่ำเรียนดอก เดี๋ยวก็มีผัวแล้ว” เขาหันไปมองหน้าบุตรสาวต้นเรื่องเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย

วาจาตรงไปตรงมามิได้มีถ้อยคำหยาบคายสักนิดแต่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของถ้อยคำนั้นไปกระทบใจผู้ฟังได้บาดลึกยิ่งนัก โชติเข้าใจว่าครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าผู้หญิงต้องออกไปทำงานเยี่ยงชายจึงกลายเป็นว่าไม่เห็นความสำคัญของการให้วิชาความรู้ติดตัว เพราะเมื่อโตมาก็ต้องคอยปรนนิบัติรับใช้คนในบ้านเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นแม่กลอยเด็กหญิงผู้เป็นลูกชาวบ้านเช่นนายฉ่ำหรือหญิงสาวผู้เป็นลูกสาวขุนนางเยี่ยงเธอก็ตาม เพียงแต่โชติโชคดีที่บิดามารดาของหล่อนให้โอกาสได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลกนี้ผ่านการศึกษา

“มิใช่ดอกค่ะคุณพี่” แม่กลอยที่ยืนนิ่งเงียบหากแต่ดวงตาดำเป็นมันวาววับด้วยหยาดน้ำตา “พ่อมิได้อยากให้ฉันทำงานดอก แต่จะเอาตัวฉันไปขายค่ะ”

กลอยพูดไม่ทันจบน้ำตาที่เอ่อคลอก็ไหลลงมาราวทำนบแตก นับเป็นช่วงเวลาที่ยากยิ่งต่อการตัดสินใจที่จะเอ่ยคำใดออกไปของใครหลายคน ณ ที่นั้น ความเงียบเข้าครอบครองบรรยากาศที่เริ่มคุกรุ่นโดยรอบ เฉพาะชายหนุ่มผู้มีมาจากแดนไกล แม้ว่ามิเข้าใจถ้อยคำโต้ตอบของคนตรงหน้า แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก และช่วงเวลานาทีนั้นเองที่เด็กหญิงคนเดียวสะบัดมือออกจากการเกาะกุมออกจากโชติแล้ววิ่งผ่านใต้ถุนเรือนไปยังด้านหลัง ท่ามกลางเสียงร้องระเบ็งเซ็งแซ่ของทุกคนโดยมีมิเชลยืนนิ่งอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำเช่นไร

แต่สุดท้ายเขาก็รีบสาวเท้าก้าวตามไปอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทัน ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเด็กหญิงตัวเล็กผู้น่าสงสารคนนั้น

 



Don`t copy text!