นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
นางแสงมองจดหมายในมือพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างปลาบปลื้มระคนไปด้วยความโล่งอกที่ได้รู้ข่าวคราวของบุตรสาวคนเดียวว่าเดินทางไปถึงเมืองสิงคโปร์และกำลังจะเปลี่ยนเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองฝรั่งเศส
“คุณนายอ่านไปกี่รอบแล้วฤาเจ้าคะ” กลอยเห็นสีหน้าของผู้ที่เคารพรักมีความสุขก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เด็กหญิงก็คิดถึงพี่โชติไม่แพ้กันจึงนั่งเกาะเข่านางแสงคอยชะเง้ออ่านจดหมายด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ก็อ่านไปหลายรอบพอ ๆ กันหรือมิใช่แม่กลอย” นางแสงสัพยอกเด็กหญิงอย่างอารมณ์ดี
“หากคุณพระกลับมาคงจะดีใจนะเจ้าคะที่พี่โชติส่งข่าวมาเร็วปานนี้”
“เร็วกระไร ฉันนับวันคอยจนมิรู้วันแล้ว” นางแสงบ่น
“แหม ปานนี้ก็เร็วออกนะเจ้าคะ หากมาจากเมืองฝรั่งเศสมิแคล้วจดหมายมาถึงพร้อมกันกับที่พี่โชติกลับบ้าน” กลอยพูดอย่างผู้ที่รู้เรื่องการเดินทางอยู่บ้างเพราะเห็นครูแหม่มของเธอส่งของรับของทางเรืออยู่เสมอ
“เห็นจะจริงอย่างที่หล่อนพูด เอาละ ๆ ไปไหนก็ไปเถิดจะลงไปดูเขาขายของหรือเล่นกับเจ้าแซมก็ได้ เดี๋ยวฉันของีบสักหน่อย ตื่นมาจะไปหาคุณจอม หล่อนเข้าวังไปด้วยกันนะแม่กลอย”
“จะดีหรือเจ้าคะ ฉันมิได้ไปเรือนครูหลายวันแล้วนับแต่พี่โชติไม่อยู่” กลอยเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเรื่องการไปเรียนบ้านมิสซิสเฮาส์เพราะเธอคิดถึงทุกคนที่นั่นรวมทั้งบรรยากาศการเรียนที่สนุกสนาน
“เถอะน่ะ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันจะให้คนพาไป ดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“ยามนี้ก็ติดตามฉันไปไหนต่อไหนบ้าง ให้แม่โชติเขาได้สบายใจว่าดูแลเอาใจใส่หล่อนไม่ให้ไกลหูไกลตา เดี๋ยวจะหาว่าดูแลไม่ดี” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นจากตั่งพลางเดินกลับไปยังห้องนอน ส่วนกลอยก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเป็นสุขที่อีกไม่นานจะได้เจอแม่พุดตานผู้เป็นเกลอคนสนิท กลอยมีเรื่องเล่าให้อีกฝ่ายฟังมากมายทีเดียว ทั้งเรื่องที่ได้ตามคุณนายแสงเข้าไปในวังหน้าและเรื่องการเดินทางของพี่โชติ คิด
แล้วเด็กหญิงก็ลุกไปนั่งเล่นกับเจ้าแซมที่คงเพิ่งกินข้าวคลุกปลาทูอิ่มแล้วเดินมานอนแผ่หราอยู่กลางเรือน จากนั้นมันก็นอนกระดิกหางอย่างสบายอารมณ์อย่างไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปมาเลย
บรรยากาศในรั้วพระบวรราชวังที่เสมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งซึ่งในสายตาเด็กหญิงช่างดูเนิบช้าและเงียบเชียบ กลอยคิดว่าก่อนหน้านี้ที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้นบรรยากาศคงตรงกันข้ามกับตอนนี้เป็นแน่ แต่เวลาที่เปลี่ยนไปเพียงไม่นานแม้ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปตามวงล้อแห่งกาลเวลา หากทว่าดูเหมือนผู้คนในนี้ไร้ชีวิตชีวาด้วยมองในตาแต่ละคนที่เดินผ่านเสมือนคนที่อยู่ภาวะสับสนและสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“กระไรแม่กลอย หยุดมองสิ่งใดกันมิเดินตามฉันมาเล่า” นางแสงส่งเสียงเอ็ดเด็กหญิงที่กำลังยืนมองเหล่าบรรดานางในที่เดินผ่านไปมาอยู่หน้าพระที่นั่งรังสรรค์จุฬาโลก
“คุณนายเจ้าขา ฉันว่าบรรดาคุณข้าหลวงเหล่านี้ล้วนมีใบหน้างดงามหากแต่ยิ่งพิศยิ่งดูหมองเศร้านะเจ้าคะ”
“จะมิให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าก็เจ้านายเสด็จสรรคจะมีใครมัวแต่ยิ้มแย้มอยู่ได้เล่า” นางแสงเอ่ยพลางแววตาก็หมองหม่นไปด้วย
“ฉันเห็นตั้งแต่ตอนที่ผ่านเขตพระราชฐานชั้นนอกเข้ามาแล้วว่าทหารเวรยามที่แต่งตัวอย่างพวกฝรั่งล้วนแต่ดูไร้ความกระตือรือร้น”
“อย่าได้เอ็ดอึงไปแม่กลอย แม้พระองค์เสด็ตสรรคตหากแต่พระโอรสคือพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศก็อาจได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรต่อไป พระราชวังคงมิไร้เจ้านายดอก”
“คุณนายทราบได้อย่างไรเจ้าคะ” กลอยกระซิบกระซาบตามเสียงคู่สนทนา
“มิรู้ดอก ฉันก็เดาเอาทั้งสิ้น”
นางแสงตัดบทพลางรีบจูงมือเด็กหญิงให้เร่งฝีเท้าเพื่อไปยังเรือนเจ้าจอมโดยเร็ว ความจริงนางบังเอิญได้ยินสามีสนทนากับคุณหลวงท่านหนึ่งเมื่อกลายวันก่อนเรื่องการที่สมเด็จช่วงสนับสนุนให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศเป็นวังหน้าองค์ต่อไปแต่ก็เป็นเพียงการสนทนาของขุนนางระดับสูงในวังหลวงยังมิได้มีการแต่งตั้งประกาศแต่อย่างใด ถึงกระนั้นนางก็จดจำคำสนทนาได้เป็นอย่างดีเพราะเป็นสิ่งที่คิดไว้อยู่เช่นเดียวกัน
“แหม กระไรกันเจ้าคะ เดาได้เยี่ยงไร”
“เลิกพูดได้แล้วแม่กลอย เมื่อแรกมาอยู่ด้วยกันมิเห็นพูดเจื้อยแจ้วเช่นนี้ สมคงจะติดนิสัยมาจากลูกพี่ของหล่อนเป็นแน่” นางแสงหมายถึงนิสัยของบุตรีที่ถ่ายทอดมายังเด็กหญิงไม่ผิดเพี้ยน ทั้งช่างสังเกต และช่างเจรจาเกินวัย
“เจ้าค่ะ ๆ” กลอยหัวเราะพลางเดินลิ่ว ๆ ตามแรงจูงของนางแสงอย่างอารมณ์ดี
เด็กหญิงสังเกตบรรยากาศโดยรอบไปพลางระหว่างเดินเข้าเขตพระราชฐานชั้นในอันเป็นที่พำนักของคุณจอมแล้วก็ได้แต่คิดว่าตนเองช่างมีวาสนานักที่ได้มาอยู่กับพี่โชติจึงได้เห็นสิ่งปลูกสร้างงดงามแปลกตาที่มิใช่บ้านเรือนตามสวนและท้องร่องเป็นถิ่นฐานเดิมของตน หลายเดือนมานี้กลอยเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจจนเกือบลืมความเจ็บปวดที่ผ่านมาด้วยปัจจุบันที่เกิดขึ้นในแต่ละวันช่วยเยียวยาจิตใจดวงเล็ก ๆ ของเด็กหญิงได้เป็นอย่างดี
ลมแรงที่ปะทะเข้ากับใบหน้าของหญิงสาวผู้มีผิวสองสีจากดินแดนตะวันออกยิ่งทำให้พวงแก้มที่มีผิวสองสีเริ่มระเรื่อขึ้นจากความเย็น แม้แต่มือที่หญิงสาวได้เตรียมถุงมืออันหยิบยืมจากครูเฮาส์ผู้ช่วยหล่อนตระเตรียมผ้าห่มสำหรับเมืองหนาว หากเมื่อถึงเวลาเผชิญสภาพอากาศเป็นครั้งแรกก็ทำเอาทั้งหล่อนและคุณป้าโอดครวญกับความหนาวเย็นจนแทบไม่อยากกระดิกตัว
“กระไรจะหนาวปานนี้” คุณหญิงอ่วมบ่นอุบในสภาพร่างกายที่ห่อหุ้มไปด้วยเสื้อคลุมตัวหนาที่สวมทับชุดผ้านุ่งและเสื้อแขนยาว
“นั่นสิเจ้าคะ เห็นทีจะมิต้องทำอันใดเพราะมัวแต่พะวงเรื่องความหนาวเหน็บนี่เอง”
“พ่อชายก็ช่างกระไร มิได้เตือนป้าเลยว่าจะหนาวแบบนี้” คุณหญิงบ่นถึงบุตรชายผู้เคยมาเยือนดินแดนนี้แล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้ากับคณะราชทูตสยาม
“หามิได้ค่ะคุณป้า หลานจำได้ว่าพ่อชายบอกว่าอากาศเย็นกว่าบ้านเรานักหากแต่น้องสวมเสื้อคลุมอย่างหนาแลข้างในสวมเสื้อสองชั้นด้วยกัน”
“นั่นสิ ป้าว่าเราหาผ้ามาห่มเพิ่มกันเถิดแม่โชติ” คุณหญิงเร่งให้หลานสาวหยิบเสื้อตัวในที่ตัดมาเฉพาะสำหรับสวมก่อนเสืื้อแขนยาวของตน
“ดีนะคะที่เรามิได้มาช่วงเดือนที่มีลาแนจ”
“หลานว่าอย่างไรนะ”
“ลาแนจค่ะคุณป้า”
“สิ่งนั้นแหละ คือสิ่งใดกัน” คุณหญิงมองหน้าหลานสาวอย่างสงสัย
“ก็คือน้ำแข็งเกล็ด ๆ ที่ตกมาจากฟ้าค่ะ” โชติอธิบายถึงธรรมชาติในฤดูหนาวของประเทศนี้
“อ้อ หมายถึงสโนว์น่ะหรือ”
“คุณป้ารู้ด้วยฤาคะ” หญิงสาวอุทานอย่างแปลกใจเพราะเธอคิดว่าคนในสยามคงไม่ใคร่รู้จักสิ่งที่เธอกล่าวถึงนัก แม้แต่ตัวเธอเองผู้กำลังอธิบายอยู่ก็หาเคยเห็นสิ่งที่พูดถึงด้วยตาตนเองไม่
“เหตุใดจะไม่รู้เล่า แค่ยังมิเคยเห็นด้วยตาเท่านั้น” คุณหญิงเอ่ยยิ้ม ๆ พลางเลือกผ้าตรงหน้าให้หญิงสาวสวมใส่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนาอีกครั้ง “วันพรุ่งป้าจะบอกคุณลุงของหลานให้คนพาไปห้างร้านสำหรับหาซื้อเสื้อมาคลุมสักตัวดีหรือไม่”
“ดียิ่งนักค่ะ หลานก็กำลังคิดอยู่ว่าควรหาผ้าผ่อนสำหรับที่พอดีกับอากาศและความทนของร่างกายเราได้มากกว่า ที่หยิบยืมมาเห็นทีจะไม่กันหนาวได้ตลอดดอกค่ะ”
“เช่นนั้นหลานก็จัดของต่อเถิด อย่าลืมตรวจดูบรรดาของที่ส่งตามมาจากเรือที่เราจะนำไปแสดงด้วยนะแม่โชติ”
“ค่ะ คุณลุงจะพาไปที่งานวันใดคะ”
“อีกไม่นานดอก คงรอให้เตรียมเรื่องเข้าเฝ้าเรียบร้อยเสียก่อน”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำพลางยกไหล่ขยับตัวเพื่อไล่ความหนาว แม้อยู่ในตึกที่มีผนังหนาแต่หญิงสาวกลับยิ่งรู้สึกว่าข้างในเย็นยะเยือก อาจเพราะเป็นคราแรกที่ได้มาต่างบ้านเมืองทั้งสภาพอากาศก็แตกต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังมือหญิงสาวจึงรู้สึกว่าภายในใจช่างเงียบเหงาไม่สดชื่นเช่นที่เธอหวังไว้ล่วงหน้าสักนิด
อากาศหนาวเย็นในความรู้สึกของชาวตะวันออกมิได้เกินความรู้สึกของโชิตมากนักเพราะเมื่อหญิงสาวมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่เดินอยู่นอกร้านเสื้อผ้าก็พบว่าสตรีที่แต่งกายแปลกตาล้วนมีผ้าคลุมห่มทับอย่างงดงาม
อีกชั้นกันถ้วนหน้า หญิงสาวเดินมองเสื้อผ้าที่ล้วนตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีซึ่งมีแต่สตรีชั้นสูงมาสั่งตัดในร้านนี้เนื่องจากวันนี้ภรรยาของเจ้าเมืองอาสาพาหล่อนและคุณป้ามาหาซื้อเสื้อผ้าที่ต้องการ
“มาดมัวแซลอยากลองแต่งกายแบบชาวเราฤาไม่” มาดามถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นโชติยืนมองชุดที่ตัดเสร็จซึ่งแขวนอยู่ในร้านอย่างสนใจ
โชติมองชุดกระโปรงยาวแขนยาวช่วงบนพองเล็กนอยและมีระบายตรงข้อมือ ตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีไข่นกการเวกเนื้อดี ส่วนที่แปลกตาคือตั้งแต่ช่วงเอวลงมาบานเป็นชั้นซ้อนกันซึ่งหญิงสาวรู้สึกว่ามีการดันด้านหลังให้ยกขึ้นและหากมองระยะไกลท่อนล่างก็จะรู้สึกเหมือนทรงระฆัง ทั้งช่วงบนและช่วงล่างของชุดประดับตกแต่งตามจุดต่าง ๆ ด้วยผ้าตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ สีกลีบบัวที่ผูกเป็นห่วงทิ้งชายสองข้างลงมายิ่งเสริมให้ดูหรูหราจนหญิงสาวนึกอยากเห็นผู้เป็นเจ้าของขึ้นมาครามครัน
“งดงามมากเจ้าค่ะหากแต่ดิฉันรู้สึกว่าอาจจะสวมใส่ยากสักหน่อย ดูเหมือนจะหนักมากนะเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยช้า ๆ เนื่องจากต้องค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เธอเพิ่งได้ใช้จริง ๆ เป็นครั้งแรก
ภรรยาเจ้าเมืองมองหญิงสาวผู้สนทนาภาษาของเธออย่างเอ็นดู ใบหน้างดงามโดดเด่นอันแตกต่างจากความงามที่เธอคุ้นตานี้หากได้แต่งกายเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ชาวฝรั่งเศสคงจะงดงามยิ่งกว่าภาพเขียนใดที่จิตรกรเคยรังสรรค์เอาไว้ทีเดียว
“หากอยากลองแต่งตัวเยี่ยงนี้เมื่อใดอย่ารีรอที่จะมาตามฉันได้นะจ๊ะ ฉันยินดีพามาเลือกชมหรือจะให้ทางร้านเขาวัดตัวเพื่อจะได้ตัดไว้ก่อน ดีหรือไม่” ท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่ายทำเอาคุณหญิงอ่วมอดไม่ได้ที่จะถามจากโชติ เมื่อหญิงสาวอธิบายให้ผู้เป็นป้าฟังอีกฝ่ายก็พยักหน้าเข้าใจพลางเอ่ยออกมาอย่างชวนคิด
“หากหลานอยากลองตัดชุดแลแต่งกายแบบหญิงฝรั่งเศสย่อมลองดูได้นะแม่โชติ แต่วันที่เราต้องไปที่งานแสดงสินค้านั้นควรจักแต่งกายแบบสยามเพื่อให้เขาเห็นว่าบ้านเมืองเรามีทั้งผ้าผ่อนแลวิธีนุ่งห่มงดงามมิแพ้ใคร”
“จริงหรือคะคุณป้า หลานลองสวมชุดเยี่ยงนี้ได้จริงหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นผู้อาวุโสพยักหน้าเป้นเชิงอนุญาต โชติจึงหันไปบอกภรรยาเจ้าเมืองว่าอยากลองวัดตัวเพื่อตัดชุดสักชุด
“โอ้ ยินดียิ่งนักมาดมัวแซล เช่นนั้นฉันจะเรียกให้ช่างมาวัดตัวนะ” ภรรยาเจ้าเมืองหันไปทางสาวใช้และบอกให้ไปตามเจ้าของร้านมาวัดตัว จากนั้นโชติและคุณป้าก็หันไปเลือกชมหมวกที่ทางร้านตัดเย็บไว้เพื่อขายให้ลูกค้าด้วย เพียงไม่นานเจ้าของร้านก็เดินออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะตรงเข้ามาทักทายภรรยาเจ้าเมืองอย่างสนิมสนมทั้งยังมองเลยมายังโชติด้วยสายตาชื่นชม
หากแต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเอ่ยแนะนำตัวและทักทายกันพลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เสียงจังหวะก้าวเดินใกล้เข้ามา โชติหันไปมองผู้เข้ามาเยือนและพบว่าสตรีผู้มีใบหน้างดงามราวภาพเขียนกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าที่มองมาทำเอาโชติถึงกับเผลอกะพริบตาด้วยความตื่นตาในความงดงามลงตัว เรือนผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำที่เจ้าตัวเพิ่งปลดเชือกใต้คางและดึงหมวกออกมาช่างรับกับดวงตาคู่นั้น ริมฝีปากคู่บางที่คงจะเติมแต่งด้วยสีผึ้งสีแดงก่ำเมื่อมีผิวขาวราวแก้วกระเบื้องเคลือบที่เธอมักไปเลือกซื้อที่ห้างบนถนนเจริญกรุงเป็นพื้นหลังก็ยิ่งเสริมให้ใบหน้าของสตรีผู้นี้ดูโดดเด่นยิ่งนัก
เจ้าของใบหน้างดงามมองมายังสตรีสองคนที่แต่งกายแปลกตาแล้วก้มศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย
“บงชูร์มาดาม” หญิงสาวรายนั้นเดินเข้ามาสวมกอดและเอ่ยทักทายภรรยาเจ้าเมือง รอยยิ้มของเธอราวกับจุดไฟในห้องให้สว่างไสวขึ้นมาในพริบตา
“อ้อ เฟลอร์ที่รัก มาตัดชุดหรือจ๊ะ” โชติได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยนามผู้มาเยือนก็นึกได้ว่าทั้งสองคงสนิทสนมคุ้นเคยกันมากและชื่อของหญิงสาวผู้นี้ก็สมตัวยิ่งเพราะเธอช่างงดงามราวกับดอกไม้จริง ๆ
“หามิได้ค่ะ ฉันมารับชุดที่สั่งตัดไว้” เฟลอร์ตอบยิ้ม ๆ พลางทอดสายตาไปยังชุดที่แขวนอยู่
โชติมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างสนใจใคร่รู้ว่าหญิงผู้มีนามว่าเฟลอร์นี้คงเป็นบุคคลชั้นสูงในสังคมปารีสเป็นแน่ด้วยว่าแม้จะยังอยู่ในวัยสาวซึ่งอาจมีวัยใกล้เคียงกับเธอหรืออาจมากกว่าเพียงไม่กี่ปีแต่ท่าทางองอาจแลเด็ดขาดในแววตาทำให้เมื่อมองไปทางใดโชติก็เห็นว่าแต่ละคนมีท่าทางเกรงใจเฟลอร์อยู่ในที เริ่มจากเจ้าของร้านที่ดูพินอบพิเนากว่าคนอื่นเมื่อเฟลอร์มองไปยังหล่อนและรีบไปหยิบชุดมาให้เฟลอร์ได้ชมใกล้ ๆ อย่างเอาใจ
แม้ว่าเจ้าภรรยาเจ้าเมืองผู้เพิ่งสั่งให้มาวัดตัวโชติเมื่อครู่นี้ก็มิอาจจัดอยู่ในผู้ที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรกได้
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ