นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
“พี่โชติจ๊ะ” กลอยส่งเสียงเรียกหญิงสาวที่กำลังสำรวจเครื่องแต่งกายให้รัดกุมเพื่อเตรียมตัวออกไปยังเรือนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ วันนี้เธอให้บ่าวไปส่งจดหมายที่เรือนมิสซิสเฮาส์แต่เช้าตรู่ว่าอาจไปถึงช่วงบ่ายเพราะต้องไปทำธุระเรื่องนายเทิดแทนคุณพ่อซึ่งถูกเรียกเข้าวังไปตั้งแต่เมื่อเช้ามืด ส่วนแม่ก็ต้องกำกับดูแลบ่าวให้จัดใบลานตามที่มีลูกค้าสั่งไว้ให้ครบจำนวน
“ว่าอย่างไรหรือกลอย”
“เมื่อครู่ฉันลงไปดูคุณท่านกำลังให้พี่ ๆ ในเรือนจัดใบลานก็พอดีมีคนมาพบพี่จ้ะ”
“พบพี่ ใครกันฤา” หญิงสาวถามขณะกำลังหยิบต่างหูทองลงยามาสวม
“คุณมิเชลจ้ะ” กลอยจำได้ว่าเขาเป็นผู้กระโดดน้ำลงไปช่วยเธอขึ้นมา แต่เด็กหญิงไม่รู้จุดประสงค์ที่เขามาหาพี่โชติที่เรือนในวันนี้
“มาหาเรื่องอันใด” หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัย “คงเป็นเรื่องสอนภาษากระมัง” โชติกล่าวกับตนเองเมื่อทบทวนเรื่องราวได้ว่าเธอรับปากเรื่องการสอนภาษากับมิเชลไปก่อนหน้านี้ หากแต่มีเรื่องที่เรือนเสียก่อนจึงทำให้การนัดหมายวันนี้ไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้
“พี่รู้จักเขาเมื่อใดกันจ๊ะ” เมื่อวานนี้เด็กหญิงไม่มีเวลาได้สอบถามอีกฝ่ายว่าเหตุใดฝรั่งหน้าตางดงามผู้นี้จึงติดตามโชติไปถึงเรือนพ่อแม่ของเธอได้
“รู้จักฤา คราแรกเรียกว่าบังเอิญได้พบกันมากกว่า หากเพลาต่อมาได้พบกันจึงคนแนะนำให้รู้จักเขา เขาเป็นผู้ติดตามท่านกงสุลฝรั่งเศสมาจ้ะแต่มิได้ทำงานให้พระเจ้านโปเลียน เขาเป็นนักเขียน”
“นักเขียนหรือจ๊ะ เป็นคนที่เขียนหนังสือจำพวกอ่านเล่นที่ครูเอามาให้พวกเราอ่าน แลเขียนแล้วได้เงินด้วยใช่ไหมจ๊ะ”
“เช่นนั้นแหละ”
“บ้านเมืองเรามิใคร่มีคนทำงานเยี่ยงนี้ แปลกแลน่าสนใจยิ่งนะจ๊ะ” กลอยเอ่ยด้วยนำ้เสียงสดใส
“พี่ก็เห็นเช่นนั้น บ้านเมืองของเขาให้อิสระเสรีแก่ผู้คนในเรื่องความคิดจึงมีคนทำงานนี้กันมาก”
“พี่โชติรีบลงไปพบเขาเถิดจ้ะ อีกเดี๋ยวเราจะต้องไปบ้านสามเสน จะไม่มีเวลาเอานะจ๊ะ”
“นั่นสินะ ไปกันเถิด พี่จะได้บอกคุณมิเชลให้กลับไปรอที่บ้านครูเสียก่อน”
หญิงสาวในชุดสไบสีเขียวตองซึ่งห่มทับเสื้อสีดอกจำปาหันไปสำรวจใบหน้าและผมในกระจกบนเล็กตรงโต๊ะแต่งตัวแบบนั่งพื้น ดวงตากลมโตเป็นประกายที่ส่องสะท้อนมาเป็นประกายสุกใส โชติขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนโดยมีกลอยเดินตามติดไปอย่างใกล้ชิด
มิเชลนั่งรอหญิงสาวตรงศาลาใกล้กับเรือนเล็กหน้าบ้านอันเป็นที่สำหรับวางขายใบลาน ชายหนุ่มสังเกตว่ามีคนเข้ามาเป็นระยะมิได้ขาด ส่วนใหญ่มารับของที่สั่งไว้จากนั้นก็นำใบลานที่ผู้ขายเตรียมไว้ลงเรือ
กิจการบ้านหญิงสาวคงดีมิใช่น้อยเพราะละแวกนี้เป็นแหล่งขายใบลานแต่มีบ้านของโชติเท่านั้นที่มีโรงอบ นั่นหมายความว่าบ้านอื่น ๆ ต้องนำสินค้าจากบ้านเธอไปวางขายต่อนั่นเอง
“คุณมาพบฉันเรื่องสอนภาษาใช่หรือไม่คะ” เสียงใสกังวานก้องมาจากด้านหลังชายหนุ่มหากแต่สิ่งที่มาถึงตัวก่อนนำ้เสียงเสนาะหูนั้นคือกรุ่นกลิ่นเครื่องหอมอันเป็นลักษณะเฉพาะของหญิงสาวชาวสยามซึ่งแตกต่างกับน้ำหอมในเขตเมืองหนาวเช่นบ้านเมืองของเขา
“ครับ มิสซิสเฮาส์บอกว่าคุณจะไปถึงบ้านของเธอตอนบ่ายเพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ”
“ใช่ค่ะ มีเรื่องต้องจัดการแทนคุณพ่อของฉันที่ถูกเรียกตัวเข้าวังตั้งแต่เช้ามืด” หยิงสาวเอ่ยเสียงกังวลเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าเรื่องที่พระนรินทรราชเสนาเข้าวังหลวงคือเรื่องใดกัน
“เช่นนั้นผมจะรอที่นี่เพื่อจะได้กลับไปบ้านมิสซิสเฮาส์พร้อมกับคุณ”
“อย่าเลยค่ะ คุณกลับไปก่อนหรือวันนี้จะยกเลิกการสอนเสียก็ได้นะคะ” หญิงสาวไม่แน่ใจว่าต้องอยู่ที่เรือนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์นานเท่าใด “ธุระของฉันอาจนานจนทำคุณเสียเวลา”
“มิเป็นไร ผมรอได้” เขาบอกอย่างใจเย็น “หากมิเป็นการรบกวนคุณจะให้ผมไปด้วยกับคุณก็ได้นะครับ”
“ไปด้วยกันกับฉันที่เรือนคุณหลวงน่ะหรือคะ” หญิงสาวเล่าเรื่องราวเมื่อคืนคร่าว ๆ ให้ชายหนุ่มฟัง
“เช่นนั้นผมมิขัดข้องหากจะไปด้วย คุณเห็นว่าเป็นอย่างไร”
เขาเอ่ยน้ำเสียงกระตือรือร้นแสดงกิริยาเตรียมพร้อมช่วยเหลือโชติอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นเขาและโชติพร้อมกับกลอยก็ลงเรือโดยมีบ่าวผู้ชายพายเรือ ส่วนนายเทิดมีบ่าวผู้ชายกำลับลงเรือมาอีกลำหนึ่งตามกันมาใกล้ชิด
ลมเย็น ๆ พัดพาเอาความสบายมาสู่เรือนหลังใหญ่ของหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ เสียงเด็กเล็กที่ดังเจื้อยแจ้วมาจากบนเรือนพาให้บรรยากาศผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น โชติหันไปบอกมิเชลให้คอยอยู่ด้านล่าง โดยให้บ่าวผู้ชายที่พานายเทิดมารออยู่ด้วยกัน ก่อนที่ตนเองจะเดินขึ้นเรือนไปพร้อมกับกลอย
“แม่โชติเองหรือนั่น” เสียงอ่อนหวานของหญิงผู้กำลังนั่งเล่นกับบุตรสาวที่เริ่มเดินคล่องจนต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบติดตามเพิ่มขึ้นทุกฝีก้าว
“ฉันเองแหละค่ะคุณน้า” โชติยกมือไหว้จันพร้อมทั้งหันมาแนะนำกลอยอย่างรวดเร็ว “นี่แม่กลอย เป็นเด็กที่ฉันเพิ่งพามาอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้เรียนหนังสือด้วยกันที่บ้านครูเลยได้รู้จักกัน ที่บ้านกลอยมีปัญหาฉันก็เลยตกลงรับมาอยู่ด้วยกันค่ะ”
“ไหว้พระเถิดจ้ะ อยู่กับแม่โชติท่าทางจะสนุกนะ” เจ้าของบ้านผู้มีผิวพรรณละเอียดงามตาเอ่ยอย่างใจดีจนทำให้กลอยรู้สึกผ่อนคลาย
“ค่ะ” เด็กหญิงรับคำพลางหันไปมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมจุกที่กำลังมองตรงมายังกลอยตาแป๋ว ก่อนจะร้องเรียกโชติออกมาอย่างจำได้
“พี่โชติ พี่โชติเจ้าขา”
“ตายแล้ว มิได้มาไม่นาน แม่เพ็ญพูดชัดแล้วนะคะคุณน้า ช่างผิดกับเด็กวัยเดียวกันนัก”
โชติเอ่ยอย่างตื่นเต้นพลางอ้าแขนรับเมื่ออีกฝ่ายทำท่าวิ่งถลามาหาอย่างรื่นเริง
“คงเป็นเพราะคุณพ่อของเขาน่ะ หากกลับมาจากงานราชการเมื่อใดก็มักขลุกอยู่กับแม่เพ็ญ นี่ขนาดมิได้กลับมาที่บ้านทุกวันแม่เพ็ญยังช่างเจรจาขนาดนี้” จันเอ่ยถึงผู้เป็นสามีอย่างภูมิใจ ยิ่งเห็นบุตรสาวร่าเริงและเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเธอก็ยิ่งสบายใจ “ว่าแต่วันนี้มาเยี่ยมแม่เพ็ญเพียงเท่านี้หรือแม่โชติ น้าเห็นมีบ่าวมาเสียหลายคนด้านล่าง”
“หามิได้ค่ะ เมื่อคืนเกิดเรื่องแถวบ้านฉัน พอดีมีชายคนหนึ่งมาตามหาญาติแต่มาบ้านลานแลเข้าไปที่วัดจนคนคิดว่าเป็นขโมย กว่าจะไต่ถามจนได้ความก็เกือบรุ่งสาง สรุปว่าเขาจะมาตามหาญาติที่เป็นคนญวนอยู่แถวสามเสน ฉันเลยพามาที่นี่” โชติหยุดพูดแล้วมองลงไปด้านล่างของเรือนก่อนบรรยายต่อไปให้เจ้าของบ้านฟัง “เขามาจากปากแพรกค่ะ ตระกูลอพยพมาแต่เป็นคนพุทธเลยไปอยู่ที่นั่น”
“พาเขาขึ้นมาเถิดแม่โชติ จะได้ถามไถ่ให้รู้แจ้ง” จันมีสีหน้าจริงจังเมื่อได้ทราบวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย
โชติได้ยินดังนั้นจึงขยับลุกพลางส่งเด็กหญิงตัวเล็กให้กับพี่เลี้ยง แต่แม่เพ็ญไม่ยอมเพราะเด็กหญิงจ้องตาแป๋วไปยังกลอย โชติมองหน้ามารดาของเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพนักหน้าเชิงอนุญาตจึงส่งเพ็ญให้กลอย จากนั้นหญิงสาวจึงลงไปตามเทิดให้ขึ้นมาบนเรือน
เทิดเดินขึ้นเรือนมาด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อยด้วยชั่วเวลาคืนเดียวเขาต้องเข้าพบผู้คนในบ้านเรือนใหญ่โตถึงสองบ้านด้วยกัน ต่างจากชีวิตที่เมืองกาญจน์ที่เขาจากมา เพราะที่นั่นเขาเป็นเพียงพ่อค้าที่ทำมาค้าขายเพื่อเลี้ยงชีพมิได้มีเหลือกินเหลือใช้และมีบ่าวไพร่ในเรือนเช่นขุนนาง ชีวิตประจำวันจึงมิได้คลุกคลีกับเจ้าใหญ่นายโตมากนักยกเว้นเพียงการเข้าไปในบ้านพระยาผู้เป็นเจ้าเมืองเป็นบางคราวเท่านั้น
“นี่พ่อเทิดค่ะคุณน้า พ่อเทิด นี่คุณจันภรรยาหลวงภูบดินทร์พิทักษ์เจ้าของเรือนนี้” โชติแนะนำสองฝ่ายแก่กันโดยที่เทิดเป็นฝ่ายยกมือขึ้นทำความเคารพจันอย่างนอบน้อมแม้ว่าประเมินด้วยสายตาเขาน่าจะมีอายุมากกว่าอีกฝ่ายหลายปีอยู่ก็ตาม
“ได้ยินว่ามาตามหาญาติใช่ไหมจ๊ะ” จันเอ่ยเสียงอ่อนหวานพลางส่งยิ้มอย่างใจดี
“ขอรับคุณจัน กระผมมีญาติเป็นพวกที่เข้ารีต พ่อแม่บอกว่าอยู่ละแวกนี้จึงมาตามหาขอรับ”
“ตามหาไปไย ต่างคนก็ต่างตั้งรกรากอยู่ต่างถิ่นแล้ว” โชติสงสัยตั้งแต่เมื่อคืนจึงเอ่ยออกมาอย่างอยากรู้
“คือว่า” เทิดอึกอักอย่างไม่คาดคิดว่าหญิงสาวชื่อโชติผู้นี้จะถามเรื่องที่เขาไม่อยากพูดออกมาในที่สุด “คือกระผมเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา ๆ แต่ดันไปรู้เห็นเรื่องไม่ดีของท่านเจ้าเมืองเข้าก็เลยโดนตามล่าตัวขอรับ ตอนนี้จึงคิดว่าหลบมาอยู่เสียที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่า”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้เชียว ที่ว่าเรื่องไม่ดีนั้นเรื่องอะไรหรือ” โชติขมวดคิ้วเคร่งเครียดโดยพลัน เทิดมีสีหน้าอึดอัดใจ เขาไม่กล้าเล่าเรื่องให้ผู้หญิงสองคนนี้ฟัง ความจริงเขาคิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อของหญิงสาวที่ชื่อโชติได้รับรู้เพราะฝ่ายนั้นดูเป็นขุนนางผู้เปี่ยมไปด้วยความใจดีและเขาคิดว่าเรื่องราวที่เขาได้รู้มาอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
“คงยังไม่อยากบอกใช่ไหมจ๊ะ น้าว่าแม่โชติให้บ่าวพานายเทิดไปพักก่อนเถิด เรื่องตามหาญาติคงได้พบกันแน่กระมัง ส่วนเรื่องอื่นรอให้สามีฉันกลับมาก่อนได้หรือไม่” จันออกความเห็นเพื่อยุติบรรยากาศที่เร่ิมอึดอัด
“ความจริงกระผมก็มิได้อยากปิดบังอันใด แต่บังเอิญว่าเมื่อคืนคุณหลวงท่านบอกจะฟังเรื่องที่กระผมจะเล่าขอรับ” เขาหมายถึงบิดาของโชติผู้ที่เขาไถ่ถามบ่าวในบ้านได้ความว่าเป็นขุนนางในวังหลวงและทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
“อยากรอคุณพ่อดอกหรือ เช่นนั้นเธอเขียนหนังสือได้หรือไม่เล่า” โชติถามอย่างใจกว้าง
“พอได้ขอรับ กระผมเรียนที่วัดกับหลวงพ่อ”
จันบอกบ่าวนำกระดาษและปากกามาส่งให้เทิด ก่อนที่โชติจะเอ่ยออกมาให้อีกฝ่ายสบายใจคลายกังวล
“มิต้องห่วงนะ ฉันจะนำหนังสือของเธอไปให้ถึงมือคุณพ่อเอง แลสัญญาจะไม่เปิดอ่านก่อนแน่นอน”
“กระผมมิได้ไม่ไว้ใจคุณโชตินะขอรับ หากแต่เกรงว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง” เขาเอ่ยอย่างรอบคอบด้วยมิอาจแน่ใจได้ว่าใครเป็นใครในเรือนนี้
“ฉันเข้าใจ” โชติพยักหน้าอย่างเข้าใจจริง ๆ
ความเงียบเข้าครอบงำขณะเทิดเริ่มจรดปากกาลงบนกระดาษ เสียงฝีเท้าย่ำอยู่ใต้ถุนเรือนดังราวกับเตือนว่ายังมีใครบางคนที่มิใช่บ่าวอยู่อีกคน
“เอ๊ะ เสียงรองเท้าใคร มิได้มีแต่พวกบ่าวดอกหรือแม่โชติ”
โชตินึกได้ว่าปล่อยให้มิเชลรออยู่ด้านล่างนานแล้ว แววตาเคร่งเครียดจริงจังเปลี่ยนเป็นตกใจพลางชันเข่าเตรียมลุกขึ้นพร้อมกับรีบอธิบายให้จันฟังไปด้วย
“ตายแล้ว ฉันลืมว่าพาคุณมิเชลมาด้วยค่ะคุณน้า เขาเป็นคนฝรั่งเศสที่จะมาเรียนภาษาไทยกับฉันที่บ้านครูเฮาส์ค่ะ ส่วนเขาจะสอนภาษาฝรั่งเศสให้ฉันด้วย”
“จริงหรือ นี่หล่อนถึงกับสอนภาษาได้เชียวหรือแม่โชติ ช่างเก่งหาตัวจับยากจริง” จันหัวเราะพลางคลี่พัดโบกสะบัดไปมา “ไปพาเขาขึ้นเรือนมากินน้ำกินท่าเสียสิจ๊ะ ปล่อยให้รออยู่นานคงหิวน้ำแย่แล้ว”
“ค่ะ ๆ “ โชติรีบเดินลงบันไดลงไปด้านล่างแล้วเรียกชายหนุ่มที่ยืนรอสีหน้าสงบด้านล่าง แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะรู้สึกกระวนกระวายที่ถูกทิ้งอยู่ลำพัง เมื่อขึ้นไปบนเรือนมิเชลสังเกตเห็นสีหน้าค่อนข้างอิดโรยของเจ้าของบ้าน แม้แววตายินดีต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือนก็ตาม
“บงชูร์ เมอร์ซิเออร์” จันกล่าวต้อนรับอีกฝ่ายด้วยภาษาฝรั่งเศสอย่างชัดเจนด้วยเธอเรียนกับบาทหลวงชาวฝรั่งเศสมาตั้งแต่เล็กเพียงแค่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวันแล้วเท่านั้น
“บงชูร์ มาดาม” มิเชลก้มศีรษะทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
“คุณน้าพูดภาษาฝรั่งเศสคล่องแคล่วยิ่งนัก ฉันลืมไปว่าคุณน้าต้องเรียนกับพวกบาทหลวง ใช่ไหมคะ” โชติหมายถึงบาทหลวงในโบสถ์คริสต์วัดนักบุญฟรังซิสซาเวียร์ที่สอนเด็ก ๆ ในชุมชนญวนที่นับถือคริสต์ซึ่งเด็ก ๆ สามารถพูดได้ทั้งภาษาของตนเอง ภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส
“ใช่จ้ะ เรียนมาตั้งแต่เล็ก หากแต่มิใคร่ได้พูดกับใครเท่าใดดอก”
“เช่นนั้นฉันมิจำเป็นต้องเรียนกับชายผู้นี้ มาเรียนกับคุณน้าก็ได้” หญิงสาวบอกเจ้าของบ้านจากนั้นจึงหันไปบอกชายหนุ่ม มิเชลมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพาลวิตกกังวลครู่หนึ่ง กระทั่งเสียงอ่อนหวานของเจ้าของบ้านเอ่ยอย่างใจดีเมื่อแย้มยิ้มส่งมายังชายหนุ่ม
“ฉันคงมิมีเวลามาสอนแม่โชติเป็นแน่ คุณมิต้องกังวลไปดอกมิเชล”
ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาได้อย่างหายกังวลโดยที่หญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงยังนั่งงงว่าเจ้าของบ้านสนทนาเรื่องใดกับชายหนุ่ม หากเธอก็พอเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายแวววาวยามจ้องมานั้นทำเอาหญิงสาวต้องเสไปร้องเรียกแม่หนูเพ็ญให้มานั่งใกล้ ๆ เพียงเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกพึงใจที่กำลังก่อตัวเงียบ ๆ อย่างลึกล้ำในความรู้สึก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ