ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
“ชาใกล้ถึงแล้วไหม เดี๋ยวเราลงไปรับ”
เสียงสดใสที่ปลายสายของริชาทำให้ชายหนุ่มที่ตั้งตารอตั้งแต่เช้าถึงกับยิ้มไม่หุบ พิภพหน้าตาดูอิดโรยกว่าปกติ แต่เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นเพื่อนก็ทำให้วันหม่นๆ ของเขาสดใสขึ้นมาบ้าง
ภายในลิฟต์ที่เงียบสงัด พิภพกำลังคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าตนกลับไปที่ห้องพักได้อย่างไรทั้งๆ ที่ความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้นั้นคือสนามหญ้าที่บ้านของริชา อีกทั้งฝันประหลาดก่อนตื่นนั้นเขายังคงจำได้เป็นอย่างดี
ภูเขาใหญ่สูงตระหง่านเทียมฟ้าท่ามกลางท้องทะเลที่คลื่นทะเลนั้นดั่งว่ากำลังร้องคำรามเสียงดังสนั่น เสียงผู้คนมากมายกำลังกระทำบางสิ่ง แต่ก่อนที่จะทันได้สังเกตนั้นเขาเองก็มาอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นเสียแล้วอีกทั้งในมือทั้งสองข้างนั้นยังฉุดกระชากบางสิ่งไปมาอีกด้วย
“เชือกเหรอ…”
เขาพึมพำหากแต่มันกลับอ่อนนุ่มเกินกว่าจะเป็นเชือกได้ ยังไม่ทันจะได้คิดว่าสิ่งนั้นคืออะไรเสียงร้องก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับแสงสีดำที่สว่างจ้า พิภพตกใจจนเผลอปล่อยมือออกก่อนร่างของเขาจะจมดิ่งลงไปที่พื้นน้ำในทันที
เขาที่พยายามว่ายตะเกียกตะกายไปที่ฝั่งก่อนจะพบว่าที่บริเวณตามร่างกายของตนนั้นมีไฟสีดำกำลังลุกไหม้อยู่ ด้วยสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดนั้นพิภพจึงรีบวิ่งเพื่อจะกลับลงไปที่น้ำหากแต่มีชายผู้หนึ่งมาขวางหน้าเขาเอาไว้
ผู้ที่มาขวางหน้าเขาไว้คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่พิภพไม่เคยเห็นเขามาก่อน วงพักตร์ผุดผาดดั่งทองทาเช่นเดียวกับท่อนบนที่เปลือยเปล่านั้นเผยให้เห็นมัดกล้ามของร่างกาย ผ้านุ่งสีแดงแกมด้วยดิ้นสีทองดั่งมีรัศมีบางอย่างส่องแสงออกมาอยู่ตลอดเวลาจากผ้านุ่งและผ้าพาดที่ไหล่ซ้ายสีเดียวกัน
พิภพมองพินิจไปยังชายหนุ่มแต่หาใช่คนเดียวกับที่เขาเคยฝันถึงเมื่อไม่นานมานี้ หากแต่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันอยู่ไม่น้อย
เขายกมือขึ้นก่อนละอองสีแดงที่ออกมาจากฝ่ามือนั้นจะตรงมาที่เขา ไฟสีดำที่เคยลุกไหม้ตามร่างกายก็ดับลงในทันที
“คุณเป็นใคร…” พิภพถามขึ้น
“ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญ ที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ กลับไปเถิด”
เพียงสิ้นคำของชายผู้นั้น ดั่งมีแรงกระชากบางอย่างอย่างรุนแรง สรรพสิ่งรอบกายที่เคยแจ่มชัดก็ดับมืดลงในทันที พิภพที่ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นนั้นก็พบว่าตนกลับมาอยู่ที่ห้องพักของตนแล้ว
ติ๊ง!
เสียงของประตูลิฟต์ที่ดังขึ้นเรียกให้สติที่เตลิดออกไปไกลของพิภพกลับมาในทันที เมื่อประตูเปิดออกและก้าวเท้าออกจากลิฟต์นั้นเป็นจังหวะเดียวกันที่เพื่อนของเขาเข้ามาภายในโรงแรมพอดิบพอดี
รอยยิ้มของริชาที่ส่งมาให้เขาทันทีที่เห็นหน้าทำให้พิภพถึงกับยิ้มตามไปด้วย เขาเดินตรงไปหาริชาและชมแพรที่ล็อบบีโรงแรมก่อนจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินตามหลังสองสาวมานั้น ทันทีที่พิภพเห็นใบหน้าของเขาจู่ๆ ก็รู้สึกตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะถึงแม้รูปลักษณ์ของคนตรงหน้าจะแตกต่างไปจากคนที่เขาเห็นในฝันแต่ใบหน้านั้นพิภพจำได้อย่างแม่นยำ
‘เห็นทีว่าพระเวทเราจะใช้กับพิภพและริชาไม่ได้เสียแล้ว’
ศิคินคิดในใจเมื่อเห็นอากัปกิริยาของพิภพ ด้วยเมื่อคืนนั้นเขาเป็นผู้เข้าไปในนิมิตเพื่อปิดผนึกพลังของราพสูรที่ตื่นขึ้นภายในกายของพิภพนั่นเอง
“ทางนี้ศิคิน!” ชมแพรเรียกเขาพลางกวักมือเรียก
ศิคินที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาพลางในมือก็กำลังถือกระเป๋าสะพายและอุปกรณ์การทำงานของริชาไว้ เขาเดินเข้ามาก่อนจะหยุดยืนข้างๆ ริชาแล้วกล่าวทักทายพิภพ
“สวัสดีครับ ผมชื่อศิคินเป็นญาติของชมแพร ต่อไปนี้จะมาดูแลริชาครับ” น้ำเสียงนุ่มทักทายขึ้นก่อนคนกำลังจะถูกดูแลได้แต่มองค้อนตาเขียวไปทางชายหนุ่ม
“ดูแล ริชา…” พิภพทวนประโยคก่อนจะมองไปยังศิคินอย่างไม่สบอารมณ์
“ผมหมายถึงเป็นผู้ช่วยครับ ในช่วงที่แพรจะกลับไปดูแลคุณแม่ที่จะผ่าตัด”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมพิภพเป็นเพื่อนสนิทของแพร…แล้วก็ชา” พิภพที่พูดเน้นเสียงคำว่า ชา ก่อนจะมองไปที่ศิคินแล้วยิ้มให้เขาเล็กๆ เพราะการที่เขาเรียกชื่อเล่นของริชาได้นั้นหมายความถึงความสนิทสนมที่มีมากกว่า
ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครยอมใครเสียจนชมแพรที่ดูแล้วว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนักเลยต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“เริ่มงานกันเลยไหม เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกันหน่อย”
“เริ่มเลยก็ได้นะ คุณหิวไหม…ถ้าหิวคุณพักเที่ยงก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันกับแพรลุยก่อน” ริชาหันไปถามศิคินเพื่อลดความตึงเครียด เพราะประเมินคร่าวๆ จากสายตาแล้วว่าเขากับพิภพดูไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าใด
“ไม่เป็นไรครับ…เริ่มงานได้เลยมีอะไรผมจะได้เรียนรู้การทำงานของคุณสองคนด้วย” ศิคินเสริมขึ้น
“งั้นเริ่มกันเลยนะ งานนี้จะจัดที่สวนกลางแจ้ง…อันนี้เป็นเอกสารที่ฉันกับแพรร่างไว้คร่าวๆ จะเป็นโซนต่างๆ วันนี้เราจะวัดขนาดแล้วก็มาร์กจุดต่างๆ ค่ะ” ริชาพูดพลางหยิบกระดาษในแฟ้มขึ้นมาก่อนจะยื่นให้ศิคินและพิภพคนละชุด
“งั้นเดี๋ยวแกกับฉันแบ่งกันนะ แกเอาโซนฝั่งนี้เดี๋ยวฉันจัดการที่เหลือ” ชมแพรแบ่งงานกับริชาในทันทีก่อนจะมองไปที่ศิคิน “งั้นศิคินไปอยู่กับชาก็ได้ ยังไงเดี๋ยวก็ต้องทำงานด้วยกันช่วงฉันไม่อยู่ ส่วนแกไอ้คุณบอส มีอะไรก็ไปทำซะ ไม่ใช่เวลามาคิ้วขมวด แยกๆ”
พูดจบชมแพรก็แยกไปทำงานของตัวเองในทันที ทิ้งให้สามคนที่เหลือยืนประจันหน้ากันเป็นสามเหลี่ยมก่อนริชาที่ทนอึดอัดไม่ไหวจะเดินแยกไปทำงานในส่วนของตนในทันที ตามด้วยศิคินที่ตอนนี้เดินตามริชาไปติดๆ แต่ไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากให้พิภพครั้งหนึ่งด้วยท่าทีของความเป็นมิตร…
พิภพที่มองตามทั้งคู่แต่ก็ยังคงมองไปที่ศิคินเพราะใบหน้าของคนที่เขาเห็นในฝันดันละม้ายคล้ายกับศิคินอย่างน่าประหลาด แต่ก็ดูจะประหลาดกว่าเดิมหากเขาถามใครก็ตามว่าทำไมคุณถึงหน้าเหมือนคนในฝัน ฟังดูแล้วขนลุกพิกล
แม้จะเป็นช่วงที่ลมหนาวพัดมาเยือนหากแต่แสงแดดในช่วงบ่ายที่ต้องทำงานกลางแจ้งนั้นก็ทำให้รู้สึกร้อนได้กว่าปกติ ริชาที่ก้มกับเงยสลับกันไปมาจู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืดเล็กๆ ด้วยตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง
หญิงสาวนั่งลงกับพื้นหญ้าสีเขียวสดเพื่อตั้งหลักก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะสัมผัสไปที่พื้น ดังว่าริชาสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของบางอย่างเมื่อยามฝ่ามือสัมผัสกับใบหญ้านั้น
“ขอโทษนะที่ฉันเหยียบบนตัวพวกเธอ แต่ขอทำงานอีกแป๊บเดียวนะ…” เธอพึมพำเบาๆ ก่อนจะลูบไปที่พื้นหญ้าอย่างเบามือเพื่อขออนุญาต
แผ่วเบาราวเสียงกระซิบจากเหล่าต้นหญ้าต้นน้อยคล้ายกำลังจะตอบกลับเธอว่า…ไม่เป็นอะไร
ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงบรรจงสวมหมวกใบหนึ่งลงที่ศีรษะของริชา ด้วยไม่ทันตั้งตัวริชาเงยหน้าขึ้นมองไปยังศิคินที่ไม่รู้ว่าเดินมาใกล้เธอตั้งแต่เมื่อใด และจะเห็นหรือไม่ว่าเธอกำลังพูดกับต้นหญ้าเขาต้องว่าเธอสติไม่ดีแน่ๆ
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ริชาเปลี่ยนเรื่องในทันทีก่อนจะรับตลับเมตรจากศิคิน
“คุณไปพักก่อนได้นะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้ร้อนขนาดนั้นจะได้พักรอบเดียวเลย” ริชาพูดพลางดึงตลับเมตรออกมาวัดแต่ไม่ให้มันสัมผัสพื้นหญ้าโดยตรง เมื่อเห็นดังนั้นศิคินจึงเข้าไปช่วยจับอีกแรงเพื่อไม่ให้เธอต้องเกร็งฝ่ามือจนเกินไป
“ขอบคุณนะคะ” ริชาพูดพลางชำเลืองตามองศิคินเล็กๆ ก่อนจะรีบหลบสายตาของสายหนุ่มทันทีเมื่อเขามองตอบ
เมื่อเห็นดังนั้นศิคินจึงอดยิ้มตามเป็นไม่ได้ “คุณคงรักต้นไม้มากเลยนะครับ ขนาดตลับเมตรยังพยายามไม่ให้โดนพื้นหญ้าเลย”
“ก็คงใช่ค่ะ พืชทุกอย่างมีเวลาในการเติบโตของมัน…ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้สวยๆ หรือต้นหญ้าต้นเล็กๆ” ริชานิ่งไปครู่หนึ่งด้วยนึกขึ้นได้ถึงดอกไม้สวยๆ ในร้านที่เธอกับชมแพรเก็บรักษาเป็นอย่างดี
“เพียงเพราะเกิดมาเป็นต้นไม้ จะถูกกระทำยังไงก็ไม่มีปากมีเสียงเหมือนสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น คนถึงชอบเด็ดดอกไม้ทิ้งๆ ขว้างๆ…สองเมตรห้าสิบเซ็น” ริชาพูดไปพลางจดขนาดต่างๆ ที่วัดไปพลาง
“แต่คุณเชื่อไหมว่าไม่มีใครคิดเลยว่ากว่าพวกมันจะโตมาได้ก็ต้องต่อสู้เหมือนกัน ทั้งศัตรูพืชต่างๆ ไหนจะมนุษย์อย่างเราอีก พวกมันเลือกเกิดเองไม่ได้แต่สามารถเจริญงอกงาม…ฉันกับแพรก็เลยอยากดูแลแล้วก็ใช้ทุกการเติบโตมาอย่างดีนี้ให้คุ้มค่าที่สุด”
ศิคินเมื่อได้ยินที่ริชาพูดก็หยุดนิ่งไปก่อนจะมองไปที่หญิงสาว ด้วยคำพูดนั้นช่างฟังคุ้นหูเสียจนเขาอดนึกถึงเจ้าของประโยคนี้เมื่อนานมาแล้วเป็นไม่ได้
“ศิคิน…สรรพสิ่งเลือกเกิดไม่ได้นั้นแน่แท้ในจักรวาล…หากแต่เลือกที่จะเป็นในสิ่งที่อยากเป็นได้ เจ้าจุติเป็นเทพบนวิมานนี้นั้นนับว่าประเสริฐยิ่ง หากจะเลือกกระทำแต่ในสิ่งที่ถูกครรลองครองธรรมด้วยแล้วไซร้ ยิ่งนับว่าประเสริฐยิ่งกว่าจุติเป็นเทพเสียอีก”
คำพูดองค์อมรินทร์ที่เปรียบดั่งผู้สั่งสอนวิชาและพระเวทต่างๆ ให้กับเขาตั้งแต่จุติเป็นเทพนั้นดังก้องขึ้นมาภายในความคิดทันที ริชากำลังจะย้ายที่ก่อนจะสังเกตเห็นว่าศิคินนั้นจู่ๆ ก็นิ่งไปชั่วขณะ หญิงสาวโบกมือให้เขาสองสามครั้งจึงกลับมาได้สติ
“นึกอะไรไปเรื่อยน่ะครับ ทำงานกันต่อเถอะครับ อีกนิดเดียวเองเดี๋ยวคุณจะได้ไปพัก”
หลังจากคำพูดนั้นของริชา ใบหน้าที่เงียบขรึมของศิคินที่ตั้งแต่พบเขานั้นมักมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่บนใบหน้านั้นเสมอ บัดนี้ในเวลาที่ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยดังว่าเขานั้นกำลังขบคิดบางสิ่งเพราะคิ้วเข้มทั้งสองข้างที่ขมวดเข้าหากันแทบจะตลอดเวลาจนริชาอดมองดูเขาไม่ได้
ดวงหน้าคมเข้มที่ผิวพรรณช่างแสนละเอียดลออกว่าผู้ชายทั่วไปที่ริชาเคยพบ ผมรองทรงตัดสั้นสีดำสนิทช่างดูต่างออกไปกับชายในฝันของริชาอย่างสิ้นเชิง ชายในฝันที่ผมยาวดำขลับถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อยปักด้วยปิ่นสีทองที่มีอัญมณีสีแดง
ภูษาทรงสีขาวนวลที่มีผ้าพาดสีแดงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าสีครีมและเสื้อยืดสีน้ำตาลอมแดง ทั้งสองคนแตกต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือแม้แต่เสื้อผ้าทรงผม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ริชาจำได้อย่างขึ้นใจเมื่อยามที่ชายในฝันหันมานั้นคือใบหน้าที่เหมือนราวกับคนคนเดียวกันและสายตาของคนทั้งสองนั้นเมื่อยามจ้องมองมาที่เธอ
ศิคินรับรู้ได้ทันทีว่าริชากำลังมองมาที่ตน แต่เพราะในตอนที่กำลังเดินทางมาที่โรงแรมนั้นตนได้แอบใช้พระเวทป้องกันไม่ให้ได้ยินความคิดของริชา แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเองก็กลับอยากรู้เช่นกันว่าเธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดังนั้นเมื่อตอนที่สวมหมวกเขาจึงแอบคลายพระเวทออกชั่วคราว
“จ้องผมอีกแล้วนะครับ” ศิคินรีบพูดขึ้นเพราะเขาเองก็กำลังจะอดขำไม่ได้เพราะริชากำลังชมเขาอยู่ในใจ
“ก็คุณจับตลับเมตรอยู่ จะให้ฉันมองไปที่ไหนล่ะคะ” ริชาอ้างขึ้นก่อนจะชี้ไปที่ตลับเมตรในมือศิคิน เขายักไหล่เบาๆ ก่อนริชาที่เห็นดังนั้นจะเผลอถอนหายใจออกมา
“ถามมาเถอะครับ เหมือนคุณมีคำถามจะถามผม”
“คุณไม่เคยมาที่ร้านดอกไม้จริงๆ เหรอคะเมื่อวันก่อน” เธอนิ่งไปเพื่อรอคำตอบ
ศิคินมองไปที่ดวงตาของริชาก่อนจะพยักหน้าเล็กๆ “มาครับ…ผมสั่งช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง วันนั้นชมแพรเป็นคนรับออร์เดอร์แล้วคุณก็เอามาส่งให้ผมที่โต๊ะรับแขกของร้าน เสร็จแล้วผมก็กลับ คุณจำไม่ได้เหรอครับ”
ริชาฟังศิคินตอบหน้าตายด้วยสายตาที่มองมาที่เธอไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนบางอย่างจะไม่ปะติดปะต่อเอาเสียเลย
“วันนั้นหลังจากรับดอกไม้มาคุณเหมือนจะเป็นลม ชมแพรเลยมาช่วยดูแลคุณ แต่เพราะผมมีธุระด่วนจริงๆ เลยต้องรีบออกไปจากร้านก่อนคุณตื่นก็เท่านั้นเอง”
“แต่จากที่ฉันจำได้!” ริชาที่สวนขึ้นมาในทันที ด้วยในตอนนั้นเธอจำได้ดีว่าตนเองไม่ได้มีอาการคล้ายคนจะเป็นลมแต่อย่างใด
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันขอโทษที่เสียงดังใส่คุณ…”
สายตาของศิคินยืนยันหนักแน่นและริชาเองก็หาเหตุผลมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ริชาทนสายตาที่จ้องมาไม่ไหวเช่นกันจึงหลบตาในทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะเดินจากไป ศิคินรู้ดีว่าเธอกำลังสับสนจึงคว้ามือของริชาเอาไว้แน่น
ริชาที่เห็นดังนั้นทำท่าจะสะบัดมือออกในทันที แต่ความรู้สึกบางอย่างเหมือนกำลังบอกเธอไม่ให้ทำเช่นนั้น
“ขอมือฉันคืนเถอะค่ะ ถ้าคุณยังทำแบบนี้ฉันคงทำงานกับคุณไม่ได้แน่ๆ ถ้าแพรไม่อยู่” เธอพูดกับเขาตรงๆ ก่อนศิคินเองจะปล่อยมือเขาออกจากเธอช้าๆ
“ผมขอโทษครับ…”
แผ่นหลังของริชาที่เดินจากไปนั้นศิคินเองรับรู้ได้ถึงความในใจของริชาได้ทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกว่าเขานั้นช่างทำตัวแสนแปลกประหลาดไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งพบเจอกันจนบางครั้งทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นที่จะต้องอยู่ใกล้ๆ เขา
“เจ้าต้องอย่าลืมว่านางมิใช่ทิพย์สุคนธาของเจ้าอีกต่อไปแล้วศิคิน…นางไม่แม้แต่จะจดจำข้าหรือเจ้าได้ นางคือริชาในชาติภพนี้เท่านั้น”
คำพูดของพายะที่พูดกับเขาก่อนจะกลับไปนั้นแจ่มชัดขึ้นในจิตใจ เขาใช้ความเคยชินที่มองว่าการกระทำนั้นปกติสำหรับเขา แต่ไม่ได้มองในมุมมองของริชาเลยว่าเธอจะรู้สึกเช่นไรที่อยู่ดีๆ คนที่เห็นในฝันก็ปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเช่นนี้
แต่เขาก็ไม่อาจหักใจอยู่ห่างเธอได้เช่นกัน นับจากเหตุการณ์ที่ทิพยอสุราทั้งสองนั้นเกือบเข้าถึงทั้งริชาและพิภพได้ในคราวเดียวกัน หากพลังขององค์ราพสูรไม่ตื่นขึ้นแล้วทั้งสองทิพยอสุราได้ตัวทั้งคู่ไปพวกเขาเองก็ไม่อาจกล้าจินตนาการความรู้สึกที่จะตามมาได้เลยว่าจะรู้สึกเช่นไร
หลังจากเดินแยกออกมาจากศิคินนั้น ในหัวของริชาก็ยังคงคิดวนเวียนอยู่กับความฝันต่างๆ และความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้าก็รีบเรียกสติทันทีที่เกศราผู้ช่วยของพิภพเดินมาพร้อมกับแฟ้มรายละเอียดของงานต่างๆ
“ชาไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ” สีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของริชาทำให้เกศราอดถามขึ้นไม่ได้
“ไม่เป็นอะไรค่ะพี่เกศ เดี๋ยวรายละเอียดนี้บอกคุณลุงคุณป้าได้เลยนะคะว่าชาจะพยายามหาให้ได้ตามแบบมากที่สุด รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ วันงานจะออกมาสวยอลังการแน่ๆ” ริชาพูดไปพลางเปิดหน้าเอกสารไปพลาง
“เรื่องงานของแพรกับชาเนี่ยพี่ไม่กังวลอะไรเลย แต่อย่าลืมสุขภาพจนป่วยล่ะ”
“ยกตัวอย่างเช่น กินข้าวให้ตรงเวลาก่อนเลย!” เสียงของพิภพที่ดังขึ้นด้านหลังสองสาวก่อนริชาและเกศราจะหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกัน
“คุณภพจะให้พี่เตรียมที่ห้องอาหารไหมคะ หรือจะไปทานที่อื่น”
“รบกวนพี่เกศด้วยนะครับ น่าจะทานที่ห้องอาหารเราเลย ผมยังมีเอกสารของพี่อีกเป็นภูเขา แต่ส่วนของช่วงเช้าผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะครับ เข้าไปเอาที่โต๊ะได้เลย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะยิ้มอย่างภูมิใจให้กับผู้ช่วยของเขา
“ถ้าอย่างนั้นเชิญทั้งสองคนตามสบายนะคะ ที่จริงเอกสารที่เร่งด่วนคือเอกสารช่วงเช้า ถ้าคุณภพเซ็นหมดแล้วพี่คิดว่าวันนี้ก็ตามสบายได้เลยนะคะ ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการให้” เกศราพูดอย่างรู้ใจเจ้านายของตนก่อนจะเห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของพิภพที่มองไปที่ริชา
ศิคินที่เดินเข้ามานั้นมองไปยังทั้งสองคนที่กำลังยืนพูดคุยกันอยู่ ด้วยสายตาที่พิภพจ้องมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านั้นถึงแม้จะไม่ใช่เทพอัคคีอย่างเช่นเขาก็สามารถบอกได้ในทันทีว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
เมื่อพิภพสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของริชาที่กำลังเดินมานั้น สายตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันทีพลางในใจก็คิดคัดสรรคำพูดที่เหมาะสม
“เดี๋ยวคนของผมกำลังไปเตรียมอาหารให้นะครับ เชิญคุณศิคินด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ…” ศิคินกล่าวอย่างสุภาพ
ถึงแม้จะไม่ชอบขี้หน้าของศิคินเท่าใดนัก แต่นั่นคงจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าใดหากมาพูดจาไม่ดีใส่คนที่เพิ่งรู้จักกัน อีกทั้งริชาในตอนนี้ที่กำลังเหนื่อยและท้องเริ่มหิวนั้นก็ไม่ใช่คนที่เขาควรจะทำให้โมโหเช่นกัน
เมื่อเดินเข้ามาในโรงแรมผ่านส่วนของล็อบบีตรงทะลุมายังห้องอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก พนักงานโรงแรมคนหนึ่งก็ตรงมายังพวกเขาสามคนในทันทีแล้วพาไปที่โต๊ะด้านนอกติดริมแม่น้ำที่ในขณะนี้ชมแพรก็นั่งรออยู่แล้วกำลังกวักมือเรียกพวกเขามาแต่ไกล
“ไวเชียวนะเรื่องแบบนี้” ริชาที่เห็นขวดไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพูดขึ้นก่อนชมแพรจะยักไหล่เป็นคำตอบ
“พอดีเจอพี่เกศที่สวนบอกว่าไอ้คุณบอสให้เตรียมจัดโต๊ะ ฉันก็เลยถือโอกาสเปิดไวน์รอพวกแกซะเลยจะได้พักไวน์ไปด้วยในตัว” ชมแพรพูดพลางใช้ฝ่ามือตบที่เก้าอี้ข้างตนเพื่อบอกว่าให้ริชามานั่งข้างๆ ส่วนของสองหนุ่มหันหน้ามาสบตากันอย่างพร้อมเพรียงแต่ดูเหมือนพิภพจะช้ากว่าศิคินหนึ่งก้าวเสมอ เพราะยังไม่ทันจะขยับตัวศิคินก็ลงไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับริชาเรียบร้อยแล้ว พิภพคิ้วขมวดเป็นปมเข้าหากันในทันทีจึงทำได้เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เหลืออยู่เท่านั้น
“ตามสบายเลยนะครับ คุณ ศิ คิน” พิภพพูดพลางยิ้มให้เขาเล็กๆ แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นเหมือนกับมีคำพูดคำว่า ‘ฝากเอาไว้ก่อน’ ดังออกมาเสียอย่างนั้น
“พวกคุณดื่มกันเลยครับ ผมไม่ดื่มเดี๋ยวต้องขับรถกลับ” ศิคินพูดขึ้นก่อนชมแพรที่กำลังจะรินไวน์ลงแก้วถึงกับหยุดชะงัก
“ฉันด้วยนะไอ้แพร แกกับชาดื่มกันเลย” พิภพเสริมขึ้น ครั้งนี้ชมแพรและริชาหันไปมองพิภพพร้อมๆ กัน เหมือนกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยิน
“ไม่ดื่ม ศิคินฉันยังพอเข้าใจได้เพราะยังไงต้องขับรถ แต่แกเนี่ย…” ชมแพรพูดพลางเอามือของตนไปอังที่หน้าผากของผู้เป็นเพื่อนทันที
“สบายดีจ้า! แค่ช่วงนี้ไม่อยากดื่ม”
“เอาน่ะๆ แกก็อย่าไปแกล้งภพมันนักเลย เดี๋ยวฉันจิบๆเป็นเพื่อนแกเอง” ริชาที่ทนฟังเสียงจอแจอีกไม่ได้แล้วจึงรีบห้ามทัพในทันทีก่อนจะตักอาหารเข้าปากชมแพรไปหนึ่งคำ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยและส่งชมแพรกลับบ้าน พิภพเดินคู่กับริชาเพื่อมาส่งเธอที่รถโดยมีศิคินที่เดินตามมาอยู่ไม่ห่าง
“แกแน่ใจนะว่าจะไม่ให้ฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรจริงๆ แกขึ้นไปจัดการเอกสารที่เหลือให้พี่เกศเถอะ…ไม่งั้นกว่าจะไปกว่าจะกลับก็ดึกพอดี”
“แต่ฉันไม่ไว้ใจ…” พิภพพูดพลางปรายหางตามองไปที่ด้านหลังของเขาก่อนริชาจะฟาดฝ่ามือบนไหล่ของเขาเบาๆ
“กลับบ้านกับผมปลอดภัยแน่นอนครับ คุณไม่ต้องห่วง” ยังไม่ทันที่พิภพจะพูดจบศิคินที่อยู่ด้านหลังก็พูดสวนขึ้นมาในทันที
“งั้นถ้าถึงบ้านเดี๋ยวฉันโทรหานะภพ”
“วันนี้ขอบคุณมากนะชาแล้วไว้เจอกัน คุณด้วยนะครับคุณศิคิน…” พิภพเปิดประตูรถให้ริชาก่อนจะบรรจงปิดอย่างเบามือ จากนั้นรถจึงค่อยๆ แล่นออกไป
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยและพิภพที่ยังคงยืนรอส่งจนรถยนต์แล่นออกไปจนลับสายตา ศิคินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในลำคอเบาๆ เพราะสายตาที่พิภพมองมาที่รถนั้นราวกับว่าอยากกระโจนขึ้นมาขับแทนเขาก็ไม่ปาน
“คุณหลับได้เลยนะถ้าง่วง ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” ศิคินพูดพลางยิ้มกว้างด้วยตอนนี้ใบหน้าที่แดงระเรื่อของริชาที่เกิดจากฤทธิ์ของไวน์แดงที่จิบเข้าไปหลายแก้วนั้นคงกำลังทำให้เธอปั่นป่วนอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันแทบไม่เมาเลย” ริชารีบปฏิเสธ
“ผมไม่ได้บอกว่าคุณเมาสักคำ แต่ผมกลัวคุณเหนื่อย”
ริชาที่วันนี้ได้ฟังเสียงกวนประสาทของศิคินแทบจะทั้งวัน ด้วยเขานั้นสามารถพูดจากวนประสาทเธอได้แทบจะทุกประโยคที่เขาและเธอสนทนากัน หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะเปิดเพลงร็อกจังหวะสุดเร้าใจเสียงดังเสียจนศิคินอดยิ้มไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าริชาสุดจะทนที่จะเถียงกับเขาแล้ว
เขาชำเลืองมองไปที่หญิงสาวที่โยกตามจังหวะเพลงน้อยๆ ทั้งที่บอกว่าไม่ได้มีอาการเมาแต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่อย่างที่เธอบอกเป็นแน่
หลังจากกลับถึงบ้านและเตรียมตัวที่จะเข้านอน ริชากำลังนั่งรับลมอยู่ที่สวนหน้าบ้าน ลมเย็นในฤดูหนาวที่พัดมาอย่างเย็นกายทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้นอยู่ไม่น้อย ด้วยเหมือนดั่งว่าความวุ่นวายต่างๆ สงบเงียบลงไปชั่วขณะหนึ่ง
หนังสือในมือตอนนี้นั้นริชาแทบจะจับใจความไม่ได้แม้แต่น้อย ด้วยในใจกำลังนึกถึงคำพูดของสารถีขับรถให้เธอในวันนี้
“พรุ่งนี้ให้ผมมารับกี่โมงครับ” ริชาที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถก่อนจะหยุดชะงักแล้วคิดอยู่ครู่ใหญ่
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันขับไปเอง”
“ไม่ได้หรอกครับ ชมแพรกำชับไว้ว่าช่วงนี้คุณไม่ค่อยสบาย ผมจะมารับตอนแปดโมงเช้านะ”
“แต่ว่า…” ริชายังคงยืนยันหากแต่ศิคินดูจะรู้ทันความคิดของเธอไปเสียหมด
“แล้วพรุ่งนี้เจอกัน ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ศิคินพูดตัดบทในทันทีก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มแสนหวานที่เมื่อริชาเห็นก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะโมโห
‘เขายิ้มอะไรของเขานักหนา’ ริชาคิดในใจเสียงดังไปหน่อยก่อนจะหน้าบอกบุญไม่รับลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
ริชานั่งนึกทบทวนเหตุการณ์ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอเห็นศิคินที่ห้องรับแขกที่บ้านแล้วตรงเข้าไปใช้สองมือจับใบหน้าของเขาไว้ หรือแม้แต่ที่เขาเอาฝ่ามือมาสัมผัสหน้าผากของเธอบนรถ คิดไปคิดมาก็รู้สึกโมโหตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะมุดหน้าลงไปที่หนังสือในทันทีแล้วส่งเสียงอู้อี้โวยวายอยู่พักใหญ่
“เนี่ยเจ้ากุหลาบ คนสวยของแกชอบทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ละ” เสียงของผู้หญิงดังขึ้นข้างๆ ริชาก่อนเธอจะรีบเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วต้องตะลึงงันตาค้าง
หญิงสาวในชุดไทยอย่างที่เห็นในละครหลังข่าวนุ่งโจงกระเบนห่มผ้าสไบสีชมพูกลีบบัว หน้าตาสวยงามหมดจด ผมยาวถูกรวบไว้เป็นมวยที่ด้านหลังกำลังถือดอกกุหลาบสีขาวเอาไว้ในมือก่อนจะจ้องมาที่ริชาด้วยสายตาอ่อนโยน
“คุณ…เป็นใครคะ…” น้ำเสียงถามขึ้นอย่างตะกุกตะกักก่อนริชาจะชี้นิ้วไปที่หญิงสาวปริศนาที่เธอกำลังถือดอกกุหลาบสีขาวดอกเมื่อวานที่เธอหยิบติดมือกลับมาจากที่ร้าน
“เป็นนางไม้จ้ะ ว่าแต่หนูกลับมามองเห็นฉันแล้วเหรอจ๊ะ” ริชาพูดยังไม่ทันจบประโยค หญิงสาวในชุดห่มสไบก็พูดสวนขึ้นมาด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งเข้ามากอดริชาเอาไว้แน่น
“ให้ตายเถอะ ฉันจิบไปนิดเดียวเองนะ” ริชาที่กำลังตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าถึงกับไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้เพียงมองหญิงสาวห่มสไบคนนั้นกอดรัดเธอไปมา
“เบาๆ หน่อยเถอะแม่ทองหลาง กลีบฉันจะร่วงหมดแล้ว” กุหลาบสีขาวในมือของหญิงสาวห่มสไบที่ถูกเรียกว่าแม่ทองหลางพูดขึ้นก่อนเธอจะหยุดดีใจแล้วนั่งลงข้างๆ ริชา
“ขอโทษนะหนูริชาฉันดีใจไปหน่อย เอานี่ดอกกุกลาบของหนู…เมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายเยอะไปหมด ฉันเองก็ไม่กล้าออกมา มีแต่คนน่ากลัวทั้งนั้น”
ริชาที่มัวแต่อึ้งอยู่เพราะตอนนี้ตนเองกำลังพูดอยู่กับนางไม้ และเจ้าดอกกุหลาบพูดได้ที่เธอลืมไปเสียสนิทก็เพิ่งจะพูดไปเมื่อสักครู่นี้เอง แต่เมื่อได้ยินประโยคที่ว่าเรื่องวุ่นวายเมื่อวานริชาก็ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะคุยกับนางไม้ไปเลยให้มันรู้แล้วรู้รอด เพราะคงไม่มีอะไรจะแปลกประหลาดไปกว่าตัวเธอเองแล้ว ณ ตอนนี้
“แสดงว่าเมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ สินะคะ แม่ทองหลางช่วยเล่าให้ฉันฟังได้ไหม…”
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ