ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 16 : หลบเลี่ยง

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 16 : หลบเลี่ยง

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

แดนอสุรา ณ เวลาปัจจุบัน

“เราบอกให้เปิด!”

เสียงหวานของอิสตรีที่บัดนี้เจือไปด้วยความโกรธ เมื่อยามมองลอดผ่านซี่กำแพงของผนังห้องที่ด้านในมีร่างของมนุษย์สามคนกำลังนอนหมดสติอยู่

“เปิด…ไม่เช่นนั้นข้าจะพังมันเสีย ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

ยะศิณาเน้นเสียงด้วยใบหน้าที่กำลังบอกเหล่าทหารที่เฝ้าประตูว่านางไม่ได้กำลังพูดเล่น

“แต่องค์ยะษา…”

ยังไม่ทันที่นายประตูจะพูดจบ ร่างบางของยะศิณาก็เรืองแสงสีทองออกมา มือเรียวสะบัดน้อยๆ ไปด้านหน้าก่อนร่างของนายประตูทั้งสองที่เฝ้าอยู่กระเด็นออกไป รวมถึงประตูและผนังกั้นของคุกที่คุมขังจะทลายออกไม่มีชิ้นดี

ยะศิณารีบเดินเข้าไปในทันทีโดยไม่สนใจสิ่งใด ก่อนจะมองไปยังร่างของมนุษย์ทั้งสามที่นอนอยู่บนพื้นหินเปียกชื้นด้านหน้า

ดวงตาแดงก่ำแต่จำต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ นางร่ายพระเวทอยู่ครู่หนึ่งก่อนร่างของทั้งสามคนอันได้แก่ พิภพ วิษณุ และชมแพรจะเรืองแสงสีขาวออกมาบางๆ บาดแผลที่เคยเป็นแผลฉกรรจ์ก็หายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อนเหลือเพียงเลือดแห้งกรังเท่านั้น

ยะศิณาเข้าไปดูอาการของทั้งสามคนในทันที โดยเธอใช้ฝ่ามือเรียวสัมผัสที่ใบหน้าของพิภพอย่างอ่อนโยน ในใจปวดร้าวอยู่ไม่น้อยเพียงเพราะนางไม่คิดว่าพี่ชายของตนจะโหดร้ายกับผู้คนเหล่านี้ถึงเพียงนี้

“มันมิตายดอกยะศิณา”

น้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนถูกเรียกถึงกับหยุดชะงักลง ก่อนจะหันไปมองคนเป็นพี่ด้วยสายตาตั้งคำถาม

“ท่านบอกจะไม่ทำร้ายพวกเขา…”

“ก็ถ้าศิคินมันไม่มาขวาง ป่านนี้องค์ราพสูรของเจ้าก็จุติกลับมาแล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจก่อนจะเดินเข้ามาใกล้น้องสาว

“แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมีสภาพยับเยินเพียงนี้” ยะศิณาถามขึ้นพลางชี้ไปยังพวกเขาทั้งสามที่ยังคงไม่ได้สติที่พื้น “แผลพวกนั้น คุกบ้าๆ นี่ ที่แห่งนี้หรือจัดไว้สำหรับพวกเขา”

“เลิกพล่ามเสียทียะศิณา แทนที่จะเอาเวลามาโมโหข้า…เจ้าไม่มาช่วยกันคิดหาหนทางว่าทำอย่างไรจะได้ตัวปาริชาตดอกนั้นมาไม่ดีกว่าหรือ”

ยะษาพูดพลางทำท่าจะเดินจากไป แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากไปนั้นก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาเพื่อกำชับยะศิณาอีกครั้ง

“เจ้าไม่ใช่คนเขลายะศิณา มีเพียงนำนางผู้นั้นกลับมาที่พิภพอสุรา ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าองค์ราพสูรของเจ้าจักฟื้นคืน รีบติดต่อไปยังสหายคนนั้นของเจ้าเสีย ส่วนมนุษย์พวกนั้นจะให้พวกมันอยู่ที่ใดหรือเจ้าจะดูแลพวกมันอย่างไรก็สุดแท้แต่เจ้า…”

พูดจบเจ้าพิภพคนปัจจุบันก็เดินออกไปในทันที ยะศิณาพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้หยดลงที่แก้มนวลนั้นแต่ก็ไม่อาจทำได้

ความกดดันมากมายที่ถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน…นางมองร่างของมนุษย์ทั้งสามนั้นพลางนึกสับสนในใจว่าขณะนี้ตนนั้นกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ มือเรียวร่ายพระเวทอีกครั้งก่อนทั้งหมดจะหายไปจากบริเวณที่คุมขังในทันที

 

แดนสวรรค์ (อดีตกาล)

อันลานหินกว้างที่อยู่กึ่งกลางวิมานของจตุรเทพทั้งสี่องค์นั้น เสียงโลหะกระทบกันที่ดังสนั่นไปทั่วบริเวณกับเสียงกระทบพื้นของใครผู้หนึ่งที่บัดนี้โดนพลังสีเงินกระแทกร่างเสียจนลงไปนอนแน่นิ่ง

“เหตุใดไม่หลบ!” พายะตะโกนขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งเข้าไปดูศิคิน

เสียงฝีเท้าของสหายขณะที่เข้ามาดูเทพอัคคีอย่างรวดเร็ว พลางผู้ที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นนั้นหาได้สิ้นสติแต่อย่างใด แต่ดวงตากลับเหม่อมองไปยังท้องนภาด้านบนที่เรืองแสงสีทองอมส้มเหมือนอย่างแสงของตะวันที่ลาลับฟ้าในยามอาทิตย์ตก

“เป็นอย่างไร!”

เสียงของสมุทราที่ดังฟังชัดหากแต่คนถูกถามในยามนี้ใจหาได้อยู่ที่ตัวไม่ มีเพียงภาพของใครผู้หนึ่งที่กำลังมองเขาด้วยแววตาที่หวาดหวั่นและร่างกายที่สั่นเทาจนสัมผัสได้

“เราไม่เป็นไร…” ศิคินตอบเสียงนิ่ง

“นิ่งไปเช่นนั้น เป็นกระไรไปศิคิน วันนี้ดูเจ้าไม่มีสมาธิเอาเสียเลย”

พายะยื่นมือไปให้สหายตรงหน้าก่อนศิคินจะจับไว้แล้วออกแรงดึงตัวก่อนจะลุกขึ้นยืน เขามองไปที่สหายอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าเตรียมซ้อมอีกครั้ง

“พอแล้ว ไปนั่งคุยกัน…”

สมุทรากล่าวขึ้นก่อนทั้งหมดที่อยู่ในลานหินจะเก็บพระขรรค์ประจำกายของตนแล้วจึงเดินเข้าไปนั่งที่อาสนะด้านในศาลา

“มหิธร มณีดาราเป็นอย่างไรบ้าง” ศิคินที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรจึงเอ่ยถามเทพพสุธาผู้นำร่างไร้สติขององค์มณีดารากลับวิมานเมื่อหลายวันก่อน

“ดีขึ้นมากแล้ว แต่พอข้าถามว่าเหตุใดจึงหมดสติไปนางก็บอกว่าจำความมิได้เลย”

“เช่นนั้นหรือ”

สีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของศิคินเสียจนเป็นที่สังเกตได้นั้น ทำให้เหล่าบรรดาสหายที่อยู่ร่วมกันมาแสนนานเพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้ทันที

“ท่าทีวันนั้นของเจ้าทิพย์สุคนธาหรือที่ทำให้เจ้าคิดมากอยู่เช่นนี้” พายะถามขึ้นพลางศิคินก็ถอนหายใจ

“ข้ากับนางมิลงรอยกันเท่าใดนัก หากแต่มิเคยมีครั้งใดที่นางมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นมาก่อน พายะเจ้าน่าจะสนิทสนมกับนางที่สุด…”

“จะได้อย่างไรไม่ใช่เจ้าไม่รู้…ทิพย์สุคนธานั้นหนาหากไม่พูดคือไม่พูด จะไปถามนางอย่างไรจะเริ่มอย่างไร ข้าไม่อยากโดนนางเอ็ด!” พายะรีบปัดในทันทีด้วยรู้ดีว่าทิพย์สุคนธานิสัยเป็นอย่างไร

“เอาเถิดศิคิน อาจจะไม่มีกระไรก็ได้ อีกไม่นานเจ้าต้องไปสอนพระเวทนางมิใช่หรือ เช่นนั้นได้จังหวะก็ลองถามดู” พายะกล่าวพลางมองไปที่สหายด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ

“พระเวท…พระเวทกระไร มีเพียงสอนใช้ศาสตราเทพทั่วไปเท่านั้น เรื่องสอนพระเวทเป็นของเจ้ามิใช่ดอกหรือ”

ศิคินขมวดคิ้วถามพลาง พายะลืมเลือนไปเสียสนิทเรื่องที่ตนรับปากรับคำทิพย์สุคนธาเอาไว้ หากแต่ไม่ได้แจ้งแก่ศิคิน

“ลืมไปเสียสนิทว่าจักแจ้งแก่เจ้า เรารับปากนางไปว่าหากนางยินยอมไปเชิญมณีดาราที่วิมานให้จักให้เจ้าสอนพระเวทที่สามารถชมดาราดับสูญแบบใกล้ชิดได้…”

“องค์พายะ!”

เสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกันของสามเทพที่เหลือนั้น ก็ทราบได้ทันทีว่าถึงคราวโดนเอ็ดเป็นแน่

“รับปากกระไรเหตุใดไม่ถามเรา เจ้าก็รู้ว่าส่งดาราดับสูญครานี้ต้องใช้อัคคีเทพมากเพียงใด หากมีเพียงเราที่ยืนอยู่บนลานดารานั้นได้”

“เจ้าก็รู้ว่าหากไม่ใช่วิธีนี้นางจะยอมทำหรือ แล้วเจ้าก็ด้วยมหิธรจะไปรับมณีดาราที่วิมานมิบอกใครเลยเสียสักคำ แล้วไม่มีวิธีเลยหรือศิคิน”

เทพอัคคีทำได้เพียงกุมขมับ ด้วยทราบดีอยู่แก่ใจว่ามีวิธีการอยู่ หากแต่ร่างเดิมของทิพย์สุคนธานั้นไม่เหมือนกับเทพองค์อื่น นางเปราะบางเหลือเกินหากต้องเผชิญกับอัคคีดังนั้นเขาจึงอดห่วงไม่ได้

“มีวิธีแต่เรา…” คำว่าเป็นห่วงถูกกลืนลงคอแทบจะในทันที ด้วยเขาเองนั้นก็ทราบดีว่าพายะคิดอย่างไร

“เช่นนั้นก็มีวิธี พวกเจ้าก็รู้ดีว่าดาราดับสูญครานี้นั้นมากมายพอๆ กับในวันที่ศิคินถือกำเนิดเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เพียงแต่งดงามจนไม่อาจบรรยายเท่านั้น หากแต่เหมือนดังได้รับคำอวยพรด้วยมิใช่หรือเพราะดินแดนเบื้องล่างเองก็ชอบอธิษฐานขอพร”

“เราหมดคำจะพูดกับเจ้าแล้ว…”

ศิคินถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกลับวิมานของตนในทันทีรวมถึงสมุทราและมหิธรเช่นกัน ทิ้งไว้เพียงคนต้นเรื่องที่ได้แต่หันไปเรียกสหายแต่ก็ไม่มีผู้ใดหันกลับมาด้วยรู้สึกเหนื่อยใจอยู่ไม่เบา

 

หลายวันที่ผันผ่านไปนั้น ภายใต้เงางดงามในคันฉ่องที่ทิพย์สุคนธากำลังนั่งพินิจมองใบหน้าตนอยู่นั้น นางนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่มณีดาราเอ่ยคำพยากรณ์ซึ่งยังคงดังก้องในใจ ทำให้เมื่อถึงยามที่ต้องพบเทพอัคคีด้วยยังคงหวาดหวั่น นางจึงเลี่ยงไม่พบหน้าเขาทุกวิถีทาง

“องค์ทิพย์สุคนธาเจ้าขา องค์แก้วสุวรรณแลองค์เนตรธารารออยู่ที่ศาลาแล้วหนาเจ้าคะ”

“เดี๋ยวเราตามไป…”

มาลัยแก้วสังเกตว่าหลายวันมานี้ทิพย์สุคนธาดูไม่ร่าเริงสดใสอย่างที่ผ่านมา อีกทั้งบางครั้งกำลังกระทำบางสิ่งอยู่หากแต่ในใจกลับคิดอีกเรื่องอยู่ทำให้เหม่อลอยอยู่บ้าง แต่กระนั้นเพราะนางอยู่ข้างกายทิพย์สุคนธาแทบจะตลอดเวลาจึงสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก

“ไม่สบายหรือเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นให้นางอัปสรไปร้อยมาลัยกับทั้งสององค์ก็ได้นะเจ้าคะ”

“เราไม่อยากอยู่ในห้องเท่าใดนัก ออกไปเปิดหูเปิดตาเจ้าว่าดีกว่าหรือไม่”

ด้วยรู้แน่แล้วว่ามาลัยแก้วจับสังเกตได้ ทิพย์สุคนธาจึงยิ้มออกมาอย่างสดใสหากแววตายังยากจะปิดบัง แต่กระนั้นก็ไม่อยากให้มาลัยแก้วรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน

ขณะที่กำลังร้อยมาลัยอยู่นั้น ใบหน้าที่ไม่สดใสเท่าใดนักของทิพย์สุคนธาชัดเสียจนสองธิดาของเจ้านภาและเจ้าบาดาลสังเกตเห็นได้เช่นกัน เนตรธารามองไปยังแก้วสุวรรณพลางส่งสัญญาณให้กันจนทิพย์สุคนธาที่เห็นดังนั้นอดยิ้มเป็นไม่ได้

“มีกระไรจะพูดกับพี่ เร่งว่าไป…” นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาระคนด้วยความเอ็นดู ก่อนจะวางมาลัยลงแล้วยิ้มให้ทั้งสอง

“อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นวันประสูติขององค์แม่เจ้าค่ะ มีสารจากองค์พ่อมาว่าให้ทูลเชิญองค์พี่ทิพย์สุคนธาเจ้าค่ะ” แก้วสุวรรณพูดพลางยื่นแผ่นทองใบหนึ่งให้ทิพย์สุคนธา

เจ้าดอกปาริชาตมองแผ่นทองพลางอ่านอักษรด้านในก่อนจะส่งคืนให้แก้วสุวรรณแล้วจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ ด้วยต้องการหลีกหนีจากบรรยากาศต่างๆ รอบกาย อีกทั้งยังเป็นคำเชิญจากผู้ที่เอ็นดูนางเหมือนหลานสาว จะปฏิเสธไม่ไปร่วมงานก็ดูจะแปลกพิกลอยู่

“ไปฉิมพลีครานี้ไม่ใช่เพียงร่วมอวยพรแม่เจ้า จะได้ไปเยี่ยมเยือนสุวรรณเรศพี่สาวเจ้าด้วยดียิ่งนัก”

ทิพย์สุคนธากล่าวพลางยิ้มอย่างพอใจก่อนจะส่งแผ่นทองคืนให้แก้วสุวรรณ

“ถ้าหากแก้วสุวรรณและพี่ทิพย์สุคนธาไปร่วมงานที่วิมานฉิมพลีแล้ว กระนั้นข้าขออนุญาตกลับบาดาลนะเจ้าค่ะ”

“เป็นตามนั้น แล้วพี่จะให้มาลัยแก้วตามไปส่งเจ้าด้วยเนตรธารา”

“แล้วใครจะติดตามดูแลองค์ทิพย์สุคนธาเล่าเจ้าค่ะ” มาลัยแก้วแย้ง

“เราหมายความให้เจ้าไปส่งเนตรธาราแล้วค่อยตามเรามาที่ฉิมพลี…เห็นเราเป็นเทพธิดาแรกจุติหรืออย่างไรมาลัยแก้ว”

เสียงกลั้นหัวเราะในลำคอของทิพย์สุคนธาที่พยายามไม่หัวเราะออกมา เพราะด้วยแต่ไหนแต่ไรนางก็ยังดูเป็นเทพธิดาแรกจุติในสายตาของมาลัยแก้วอยู่วันยังค่ำ

ใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าดอกปาริชาตนั้นกับเสียงหัวเราะอย่างสุขใจ ทำให้คนที่ลอบถอดจิตเทพมาสังเกตการณ์อย่างเทพอัคคีนั้นเบาใจได้ไม่น้อย

ศิคินที่มองไปยังทิพย์สุคนธาที่อยู่ที่ศาลากลางสวนนั้น เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของนางจึงทำให้ใจที่หนักอึ้งเมื่อก่อนมาที่วิมานไวกูณฐ์นั้นเบาบางลงได้บ้าง เมื่อวางใจได้แล้วร่างจิตของเทพอัคคีจึงกลับคืนสู่ร่างของตนที่วิมาน แต่ทันทีที่ลืมตาตื่นนั้นจึงพบสหายที่แสนคุ้นเคยยืนอยู่ต่อหน้า

“ไปที่ใดมา เหตุใดต้องถอดจิตเทพ!”

“เข้ามาได้อย่างไรพายะ เจ้านี่นะ…”

เขาพึมพำพลางลุกขึ้นจากแท่นอาสนะด้วยภายในห้องพิธีของวิมานนั้นไม่ใช่ที่ที่จะเข้ามาได้บ่อยครั้งนัก พายะกำลังสงสัยว่าศิคินไปที่ใดมา หากแต่หยุดมองไปยังแท่นผนึกอัคคีที่กลางห้องที่บัดนี้นั้นเป็นเพียงอัญมณีสีแดงเพลิงที่ไร้แสงสว่างใดๆ

“ไปกันเถิด จวนจะได้เวลาเข้าเฝ้าองค์อมรินทร์แล้วมิใช่หรือ”

“คิดถึงวันที่แท่นอัคคีของเจ้าลุกโชนเสียจริง ยามนั้นหนาข้าที่จุติเป็นองค์ที่สามยังมิเคยได้เห็นว่าเทพจุติอย่างไร เมื่อฟ้าสนั่นและแสงสีแดงฉานของอัญมณีบังเกิดก็รุดมาที่นี่ในทันทีพร้อมๆ กับองค์นารายณ์และองค์อมรินทร์…”

พายะพูดพลางนึกถึงครั้งอดีตในวันที่ศิคินจุติเป็นเทพอัคคีบนแท่นอัคคีนั้น เทพอัคคีก่อนดับขันธ์หรือต้องการละวางจากตำแหน่งจะต้องทิ้งพลังอัคคีของตนไว้ที่แท่นอัคคีหรืออัญมณีสีแดงฉานนี้เพื่อไม่ให้สมดุลของจักรวาลอันประกอบด้วยดินน้ำลมไฟพังทลายลง เช่นเดียวกับเทพผู้ปกปักธาตุต่างๆ ด้วยเช่นกันที่ต้องกระทำเช่นนี้

เมื่อยามที่มีผู้มีบุญมาจุติแทนนั้น ก็จักดึงเอาพลังทั้งหมดที่อยู่ในอัญมณีแล้วจุติเป็นเทพปกปักธาตุต่างๆ นั้นตามแต่ถูกลิขิตมานั่นเอง

“ที่ห้องพิธีวิมานเจ้าไม่มีหรืออย่างไรพายะ ไปได้แล้ว!” ศิคินหันมาเร่งเสียงดังก่อนพายะจะรีบเดินออกมาจากห้องพิธี

“ก็ที่วิมานข้ามันมีแท่นสีแดงหรืออย่างไรเล่า…”

 

พิภพอสุรา (อดีตกาล)

ท้องพระโรงที่แสนเงียบสงัด บัดนี้บัลลังก์ทองที่แต่ก่อนกาลนั้นในยามที่องค์ทิพย์อสุราราพสูรนั่งลงที่บัลลังก์นั้นเรืองแสงสีทองรัศมีแผ่ออกไปทั่วแดนพิภพอสุรา มณียอดปราสาทนามว่ามณีอสุรกาลกลับปรากฏแสงสว่างเจิดจ้ากว่าทุกครั้งทำให้พิภพอสุราสว่างไสวด้วยทิพยรัศมี

แต่ในทางกลับกันนั้น ภาพในจินตนาการของเจ้าผู้ขึ้นนั่งบัลลังก์องค์นี้นั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาได้คิดไว้แม้แต่น้อย

“เหตุใดเจ้าจึงไม่เปิดรับข้า…”

ยะษาพึมพำยามมองขึ้นไปบนมณียอดปราสาทที่บัดนี้ค่อยๆ ดับแสงลงเหลือเพียงแสงอ่อนๆ ที่ใกล้ดับลงเต็มที เขามองแหวนที่บัดนี้อัญมณีเปลี่ยนเป็นสีนิลที่อยู่บนนิ้วมือของตนพลางส่งพลังไปยังมณีอสุรกาลหากแต่เสียแรงโดยเปล่าเมื่อมันไม่มีปฏิกิริยาใดแม้แต่น้อย

หากแต่ความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างก็ต้องเป็นอันจบลงเพียงเท่านั้น เมื่อการมาเยือนของใครผู้หนึ่งมาถึง

“ได้ความอย่างไรยะศิณา…”

หญิงสาวงดงามในชุดอาภรณ์สีเข้มที่แต่ละย่างก้าวนั้นน่ามองด้วยท่วงท่าที่สง่างามกว่าสตรีทั่วไป ใบหน้างดงามแต่ดุดันจริงจังนั้นยามที่หยุดยืนอยู่ต่อหน้าของผู้เป็นพี่ชาย

“พบแล้วพี่ท่าน องค์ราพสูรที่ลงไปเวียนว่ายในแดนมนุษย์”

“พาตัวมาหรือไม่…”

ยะษาถามขึ้นอย่างร้อนใจก่อนจะได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่แสนงดงามของยะศิณา

“ข้าผู้นี้เคยทำให้ท่านผิดหวังด้วยเช่นนั้นหรือ…”

เพียงจบประโยคของสุรเสียงหวานนั้นของยะศิณา ก็ปรากฏร่างของใครผู้หนึ่งภายใต้ผ้าคลุมยาวปกปิดใบหน้าและร่างกายอย่างมิดชิดจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นผู้ใดเดินตรงเข้ามายังด้านหน้าของบัลลังก์ทอง

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็คงเหลือเพียงปาริชาตดอกแรกที่จุติด้วยพลังของทิพยเทพอสุราราพสูรสินะ”

 

 



Don`t copy text!