ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 17 : หมื่นดวงดารามิอาจเทียบเทียม

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 17 : หมื่นดวงดารามิอาจเทียบเทียม

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

ณ สุดเขตแดนเขาพระสุเมรุ พลับพลาทองที่บัดนี้แม่ทัพแดนสวรรค์ทั้งสี่องค์กำลังรั้งรอดูท่าทีของแดนอสุราอยู่นั้น เหตุอันเกิดด้วยแดนอสุราที่เพิ่มกำลังพลขึ้นอย่างมากมายที่ชายแดน และยังไม่กำกับควบคุมเหล่าบรรดาทหารชั้นเลวที่เที่ยวสำแดงเดชรุกล้ำเข้าไปในเขตของชาวป่าหิมพานต์

จนร้อนถึงองค์อมรินทร์ที่วิมานไพชยนต์ ณ แดนดาวดึงส์ที่ต้องมีบัญชาให้เหล่าแม่ทัพแดนเทพลงมาพินิจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยแดนอสุราเองไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวมานานนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงเจ้าเหนือหัว

“ที่ทหารเรารายงานมา มีเพียงเข้าไปก่อกวนที่แนวป่าของหิมพานต์เท่านั้น แต่ยังมิมีตนใดรุกล้ำเข้ามาที่แดนเรา พวกมันต้องการสิ่งใดกันแน่…” สมุทราที่คิดวนไปวนมาแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ

“แดนอสุราไม่เคลื่อนไหวมานานหลังจากเปลี่ยนผ่านเจ้าเหนือหัว ที่องค์ราพสูรไปเวียนว่ายในสังสารวัฏจักต้องมีเหตุผล ข้าจักไปสืบดูที่เขตชายแดนด้านป่าหิมพานต์ที่ติดกับชายแดนอสุราเอง”

“เจ้าจะไปอย่างไรศิคิน พิธีส่งดาราดับสูญครานี้นั้นต้องใช้อัคคีเทพของเจ้ามากมายเพียงใด เกรงว่าหลังเสร็จพิธียังต้องพักอีกหลายวัน ให้ข้ากับมหิธรจัดการเถิด…”

“เช่นนั้นเอาตามนี้ ข้ากับพายะจะไปสืบข่าวที่ชายแดนหิมพานต์ ส่วนสมุทราดูเชิงแดนอสุราที่นี่เผื่อมีเหตุใดเกิดขึ้นจะได้ตัดสินใจทันที และศิคินเจ้าไปเตรียมตัวที่ลานพิธีเถิด” พูดจบพายะและมหิธรก็แยกย้ายกันไปในทันที

“เช่นนั้นฝากที่นี่ด้วยสมุทรา เราไปเตรียมพิธีก่อนแล้วจะรีบกลับมา”

“ไปเถิด ถ้าหลังเสร็จพิธีเจ้าไม่ไหว…เราก็ไม่ว่ากระไรหากจะพักเอาแรงเสียหน่อย”

“เจ้าเนี่ยหนา ห่วงเราได้สมกับเป็นองค์สมุทราเสียจริง”

พูดจบร่างของเทพอัคคีก็หายวับในทันที เหลือเพียงรอยยิ้มอย่างผู้มีชัยอย่างองค์ธาราสมุทราที่มีความสุขอย่างเหลือล้นที่เทพอัคคีไม่ต่อปากต่อคำกับเขาแม้แต่น้อย

เพียงชั่วอึดใจนั้นร่างของเทพหนุ่มก็ปรากฏขึ้นที่ ณ สถานที่ไม่คุ้นตาแห่งหนึ่ง ที่เมื่อพินิจดูแล้วนั้นเหมือนดั่งเช่นว่าเขากำลังอยู่บนวิมานที่อยู่บนต้นงิ้วขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นวิมานทองคำเต็มไปด้วยอาณาบริเวณของตำหนักน้อยใหญ่ที่บัดนี้ถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้ทิพย์นานาพันธุ์กำลังชูช่อส่งละอองเกสรสีสันต่างๆ มากมายลอยละล่องในอากาศ

ภายในสวนกว้างของตำหนักหนึ่งนั้น มีร่างของใครผู้หนึ่งที่กำลังชมดอกไม้อยู่ ปลายจมูกงามนั้นก้มลงดอมดมกลีบผกาอย่างทะนุถนอมก่อนจะเหมือนดังว่ารับรู้ได้ถึงการมาของใครผู้หนึ่ง…

“ผู้ใดมาทำลับๆ ล่อๆ ที่ตำหนักรับรองของเรากัน…”

ศิคินที่ได้ฟังเช่นนั้นก็พลันนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าแท้จริงแล้วตนนั้นกำลังจะกลับไปที่ลานดารา หากแต่หวนนึกถึงคำพูดของพายะที่ว่าด้วยเรื่องที่เขาตกปากรับคำทิพย์สุคนธาไว้ แต่เหตุใดเขาจึงมาปรากฏในที่ที่นางอยู่ได้

“ยิ้มกระไรเจ้าค่ะ ท่านยังไม่ตอบข้าเลยว่าเหตุใดจึงมาที่ฉิมพลีนี้ได้”

ทิพย์สุคนธาค่อยๆ เงยหน้าจากดอกไม้งามก่อนจะมองมาทางที่เทพอัคคีปรากฏกายขึ้น ศิคินที่อึกอักไม่รู้จะตอบเช่นไรจึงทำได้เพียงเดินเข้ามาหานางที่ยืนห่างไปไม่ไกล

“เรากำลังจะไปที่ลานดารา”

“แต่ที่นี่วิมานฉิมพลีนะ…เจ้าค่ะ”

ทิพย์สุคนธาที่พยายามหุบยิ้มเพราะคำตอบนั้นชวนฉงนยิ่งนัก หากแต่เหมือนดังว่าตนจะลืมไปเสียชั่วขณะเรื่องคำทำนายของมณีดารา เมื่อคิดได้เช่นนั้นใบหน้าของทิพย์สุคนธาก็ถอดสีอีกครั้ง

“คงเหมือนเจ้าที่ชอบมาปรากฏที่หน้าวิมานเรากระมัง”

เทพอัคคีเมื่อสังเกตเห็นท่าทางสบายใจของผู้เป็นน้องที่หลบเลี่ยงที่จะพบเขาอยู่นานก็เบาใจอย่างที่สุดก่อนจะพูดหยอกล้อนางตามปกติ

“เช่น…นั้น ท่านกระทำกิจธุระของท่านเถิด”

ทิพย์สุคนธาพูดพลางหันหลังกลับตำหนักรับรอง แต่เพราะคำพูดที่ขาดห้วงไปนั้นและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้ศิคินทราบได้ในทันทีว่าทิพย์สุคนธาต้องมีเรื่องบางอย่างในใจเป็นแน่

“เดี๋ยวก่อน…”

เป็นครั้งแรกที่เขารั้งนางไว้ก่อนที่คนถูกเรียกจะหยุดชะงักในทันที แต่ก็ยังคงไม่กล้าหันหลังกลับไป

“เจ้าค่ะ…”

ทิพย์สุคนธาตอบทั้งๆ ที่ไม่แม้จะหันหลังกลับไปมองศิคิน ด้วยพักหลังมานี้นางหลบเลี่ยงเขาอยู่ตลอดและดูเหมือนว่าเทพอัคคีเองก็ทราบเช่นกัน

“เจ้ามีกระไรในใจหรือทิพย์สุคนธา หากเราจักมิได้สนิทสนมกับเจ้าอย่างเช่นพายะแต่พวกเราก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์อึดอัดเช่นนี้”

คนถูกถามตกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าเทพอัคคีจะกล้าถามนางมาโดยตรง ด้วยปกตินั้นหากไม่พูดคุยกันจนหัวเราะลั่นก็คงเป็นเขาเองที่ปั่นประสาทเสียจนนางอดถอนหายใจใส่เขาเป็นไม่ได้

ในสภาวะปกตินั้นเหล่าจตุรเทพสามารถเข้าออกวิมานไวกูณฐ์ได้อย่างอิสระ ด้วยได้รับอนุญาตจากองค์พระนารายณ์และพระนางลักษมีที่จะคอยมาสั่งสอนวิชาต่างๆ ให้กับทิพย์สุคนธานั่นเอง ยังไม่รวมถึงกิจธุระอีกมากมายที่จักต้องปรึกษาหารือกับเจ้าแห่งวังไวกูณฐ์

“ไม่รู้จักตอบอย่างไรเจ้าค่ะ…” ทิพย์สุคนธาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เขาจางๆ

ศิคินเห็นดังนั้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาทิพย์สุคนธาในทันที นางเผลอผงะเล็กๆ ด้วยความตกใจก่อนจะก้าวเท้าถอยหนีเขาก้าวหนึ่ง

‘ต้องมีอะไรเป็นแน่ในวันนั้น’ ศิคินคิดในใจพลางมองไปยังทิพย์สุคนธา ก่อนเขาจะหยุดชะงักฝีเท้าลง

“กลัวเราหรือ…”

น้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนทิพย์สุคนธาที่ได้ฟังจะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ด้วยตนนั้นก็ไม่ควรแสดงออกเช่นนั้นกับศิคินที่ยังไม่ได้ทำอันตรายใดแก่ตนเลย นางจึงส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ

“เช่นนั้นเราไปที่แห่งหนึ่งกัน…”

พูดจบเทพอัคคีก็คว้ามือของทิพย์สุคนธาในทันที ก่อนร่างของทั้งสองจะหายไปจากสวนหน้าตำหนักอย่างไรร่องรอย โดยมีแก้วสุวรรณที่เป็นพยานเฝ้ามองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเอาใจช่วยทั้งสององค์

ในยามที่แสงจันทร์ยามราตรีสาดส่องไปทั่วท้องนภากว้างเวลากลางวันและกลางคืนในแดนสวรรค์นั้นหาได้แบ่งแยกด้วยแสงสว่างไม่ เหตุเพราะในแดนฟ้านี้สว่างไสวด้วยแสงแห่งรัศมีเทพจากเทพทุกพระองค์ อีกทั้งของวิเศษล่ำค่ามากมายหากจะสามารถแยกได้คงเป็นในยามที่สังเกตสีของท้องนภาที่หม่นลงเพียงเล็กน้อยและแสงจากจันทราและดวงสุริยาเท่านั้น

บนลานหินกว้างจึงปรากฏเงาร่างของชายหญิงทั้งสองกำลังจับมือกันอยู่ และละอองสีแดงที่คละคลุ้งในอากาศนั้นก็เมื่อยามที่ใช้พระเวทย้ายร่างของทั้งสองจากวิมานฉิมพลีมาที่ลานดารา ณ ดาวดึงส์ได้โดยใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ

ทิพย์สุคนธาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองไปรอบตัวจึงทราบว่าตนกำลังอยู่ ณ สถานที่ใด นางมองไปยังมือของเทพอัคคีที่ยังคงเกาะกุมมือบางไว้แน่น ก่อนเขาจะรู้ตัวว่ากระทำสิ่งใดจึงรีบปล่อยมือในทันที

“เจ้าอยากดูพิธีส่งดวงดาราใกล้ๆ มิใช่หรือ…”

เขาพึมพำก่อนจะมองไปทางอื่น หากแต่เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นด้วยศิคินไม่อยากให้คนตรงหน้าเดินหนีเขาเข้าไปในตำหนักโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลังให้ดี รู้ตัวอีกทีเขาก็จับมือของทิพย์สุคนธาไว้แน่นเสียแล้ว

“เจ้าค่ะ แต่เมื่อครานั้นท่านเคยเอ่ยห้ามไว้เลยมิกล้าขออีกเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นลงอย่างมากของทิพย์สุคนธา ก่อนจะเดินตามศิคินไปที่บริเวณกึ่งกลางของลานหินนั้น

“เป็นตามที่เราได้บอกเจ้าไป หากแต่ด้วยเจ้านั้นจิตเทพเดิมเป็นดอกปาริชาตเราจึงเป็นกังวล”

“กังวลอย่างไรเจ้าคะ…” นางถามขึ้นอย่างสงสัย ด้วยไม่เข้าใจคำพูดของศิคินเท่าใดนัก

“บนจักรวาลนี้มีสิ่งที่ล้วนส่งเสริมแลหักล้างกันทิพย์สุคนธา หากแต่ว่าอัคคีนั้นเผาผลาญทุกสิ่ง…”

เพียงคำพูดไม่กี่คำของศิคินนั้น ทิพย์สุคนธาก็สามารถเข้าใจความหมายได้ทั้งหมด นางจึงมิอาจดื้อดึงต่อไป

“ข้าเข้าใจที่ท่านจักสื่อแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากลับไปที่ฉิมพลีนะเจ้าคะ”

ขณะที่ทิพย์สุคนธากำลังจะร่ายพระเวทเพื่อกลับไปยังวิมานฉิมพลี ความคิดของเทพอัคคีที่ยังคงปะทะตีกันไปมานั้นก็หยุดลง

“เดี๋ยว!”

ศิคินกล่าวเสียงนิ่งพลางฝ่ามือบางของทิพย์สุคนธาก็หยุดลง “ข้าใคร่ถามเจ้าข้อหนึ่ง เหตุใดจักต้องอยากชมดาราดับสูญนี้เสียให้ได้…”

แววตาหวาดหวั่นของหญิงสาวตรงหน้านั้นเมื่อยามได้ฟังคำถามจากศิคิน ฉายชัดออกมาบนใบหน้างดงามของทิพย์สุคนธาเสียจนคนถามได้แต่รู้สึกผิด

“อย่างที่ท่านทราบ ข้านั้นถือกำเนิดบนวิมานไวกูณฐ์ หากแต่ได้รับความเมตตาจากองค์แม่ศิริลักษมีและองค์พ่อนารายณ์เจ้าค่ะ เหล่าเทพและนางอัปสรต่างยกยอถึงวาสนาและเกียรติยศนั้น หากแต่…”

ทิพย์สุคนธาถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหิน เมื่อเห็นดังนั้นศิคินจึงนั่งลงที่ข้างๆ นางเช่นกัน

“องค์พ่อและองค์แม่ข้านั้นเดิมทีต้องเข้าฌานบำเพ็ญอยู่ตลอด หากแต่ในบางคราที่มีกิจสำคัญจึงจะละจากฌานเจ้าค่ะ บางคราในวิมานกว้างที่เต็มไปด้วยนางอัปสรมากมายหากแต่ข้ากลับรู้สึกโดดเดี่ยว”

ศิคินที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับมองไปยังทิพย์สุคนธาอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ดวงหน้าและแววตาที่ส่องสะท้อนความว่างเปล่านั้นก็สามารถตอบคำถามในใจของเขาได้เป็นอย่างดี

“ข้ามิได้กล่าวโทษทั้งสององค์หนาเจ้าคะ”

ทิพย์สุคนธารีบแก้ต่างเป็นพัลวัน ก่อนศิคินจะอดยิ้มตามท่าทางที่นางแสดงออกมาไม่ได้

“ข้าเข้าใจทุกสิ่งเป็นอย่างดี หากแต่ในวันที่ข้าจุติทั้งสององค์เล่าว่ามีดาราดับสูญสีแดงฉานมากมายเต็มฟากฟ้าเป็นคำพูดแรกที่ข้าได้ฟังเมื่อแรกจุติเจ้าค่ะ…ดังนั้นเมื่อยามเห็นแสงดาราดับสูญบนท้องฟ้าจึงเหมือนดั่งกำลังพร้อมหน้าฟังทั้งสององค์บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทำให้ข้าไม่รู้สึกถึงความกว้างใหญ่ของวิมานไวกูณฐ์…”

ศิคินฟังนางพูดตอบคำถามเขาอย่างยืดยาวด้วยสีหน้าและแววตาที่ต่างออกไปจากหลายวันก็บังเกิดความปีติยิ่ง เมื่อจวนจะได้เวลาทำพิธีแล้วนั้นแววตาที่แสดงถึงความลังเลของศิคินยังคงแสดงออกมาให้เห็นอยู่บ้าง หากแต่เขานั้นก็ตัดสินใจแล้วเช่นกัน

“จวนจะได้เวลาแล้วทิพย์สุคนธา หากว่าแท้จริงแล้วหาได้มีพระเวทเช่นนั้นดอก ข้าเพียงบอกปัดพายะไปเท่านั้นด้วยวิธีการที่แท้จริงนั้น…” ด้วยกำลังคิดหาคำพูดว่าจะบอกทิพย์สุคนธาอย่างไรตนจึงทำได้เพียงหลบตาลงต่ำเท่านั้น

“อย่างไรเจ้าคะ”

ดวงตาเป็นประกายงดงามของทิพย์สุคนธานั้นแม้ดวงดารามากมายก็ยังมิอาจเทียบได้ ศิคินที่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

“เจ้ายืนขึ้น…”

ทิพย์สุคนธาที่ได้ฟังเช่นนั้นถึงจะยังคงนึกสงสัยหากแต่ทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งสองยืนขึ้นพร้อมๆ กันโดยศิคินนั้นค่อยๆ เดินอ้อมไปที่ด้านหลังของทิพย์สุคนธาพลางร่างของทั้งสองก็แนบชิดกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“เราขออภัยเจ้าด้วยทิพย์สุคนธา…แต่มีเพียงอยู่ในอ้อมแขนของข้าเท่านั้นจึงจะป้องกันอัคคีเทพนี้ได้…”

เมื่อสัมผัสได้ถึงแผ่นอกกว้างของศิคินที่แนบชิดกับแผ่นหลังของทิพย์สุคนธาจนสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นเบาๆ ของหัวใจของศิคินที่อยู่ด้านหลัง ด้วยความเขินอายนั้นทำให้หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะขยับหรือแม้แต่หันกลับไปมองเทพอัคคีที่อยู่เบื้องหลัง แต่เพียงสัมผัสถึงเขาเท่านั้น

กลิ่นกายที่หอมหวานของทิพย์สุคนธานั้น ด้วยความแนบชิดที่มากกว่าปกติทำให้ครานี้แม้แต่การควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตนก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง

แขนแกร่งของศิคินที่ค่อยๆ ยกขึ้นนั้นโดยมีร่างบางๆ ของทิพย์สุคนธาอยู่ด้านหน้าทำให้นางมองเห็นแสงสีทองระเรือที่เรืองแสงออกมาตามรอยสลักตามร่างกายนั้นได้อย่างชัดเจน

บัดนี้ได้เวลาของพิธีแล้ว ศิคินเพ่งสมาธิไปยังดวงดารามากมายที่หมดอายุขัยบนฟากฟ้า แสงสีเหลืองนวลของดวงจันทร์ที่บัดนี้ส่องสว่างบนท้องนภาสีครามเข้มและแสงระยับของดวงดารานับหมื่นนับพันนั้นเหมือนดั่งแก้วมณีหลากสีสันที่ประดับบนฟ้ายามราตรี ถูกแทนที่ด้วยดวงดาราสีฉานมากมายที่ต่างถูกเผาผลาญด้วยอัคคีเทพ

ภาพท้องนภาที่อยู่ตรงหน้างดงามเสียจนคนได้มองใกล้ๆ เป็นคราแรกถึงกับอ้าปากค้างจนมิอาจละสายตา ทิพย์สุคนธาเผลอเงยหน้าขึ้นเล็กๆ ก่อนส่วนศีรษะของนางจะสัมผัสเบาๆ ที่ปลายคางและแผ่นอกของศิคิน ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ หากแต่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของเทพอัคคี

“ไม่ตั้งสมาธิหรือเจ้าคะ…” น้ำเสียงนั้นนิ่งเฉยหากแต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อไปหมด

“ข้าตั้งใจมองอยู่…หมายถึงดวงดารา”

เสียงหัวเราะเบาๆ ของคนในอ้อมแขนก็ดังขึ้นก่อนรัศมีเทพบนร่างของเทพอัคคีจะส่องแสงสว่างเรืองรองไปทั่วอีกครั้ง

“ต่อแต่นี้เมื่อยามเจ้าทุกข์ใจทิพย์สุคนธา เจ้าจงตั้งจิตมองขึ้นไปบนท้องนภา แล้วดวงดาราเหล่านี้จะคอยปลอบประโลมเจ้า”

เมื่อได้ยินดังนั้นร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของเทพอัคคีจึงค่อยๆ หันหน้าไปด้านหลังก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างงดงาม ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงสุขใจยิ่งนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งใดที่พิธีส่งดวงดาราที่แสนเหน็ดเหนื่อยนี้จะเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขใจอย่างเช่นในครั้งนี้มาก่อน

หลังจากเสร็จพิธีแล้วนั้น เทพอัคคีจึงมาส่งเจ้าดอกปาริชาตที่ตำหนักรับรองที่วิมานฉิมพลีอย่างเช่นเดิม มาลัยแก้วที่รับรู้ได้ถึงการมาของทั้งสองและทราบเรื่องแล้วจากแก้วสุวรรณจึงทำได้เพียงแอบดูอยู่ห่างๆ กับธิดาแห่งองค์สุบรรณเท่านั้น

“ข้าไปนะเจ้าคะ” ทิพย์สุคนธาพูดพลางหันหลังกลับก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตำหนัก

“หากเสร็จกิจธุระที่ชายแดนแล้วนั้น เราจักมาคุ้มกันเจ้ากลับไวกูณฐ์เอง!”

ศิคินกล่าวไล่หลังไปนั้นก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ด้วยหัวใจที่พองโต ยามมองร่างของทิพย์สุคนธาที่วิ่งกลับเข้าไปในตำหนักด้วยความเขินอาย พลันเทพอัคคีก็ใช้พระเวทเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตนที่ชายแดนอสุราเช่นกัน

มาลัยแก้วและแก้วสุวรรณที่เห็นดังนั้นจึงหันมายิ้มให้กันในทันที เมื่อละอองสีแดงฉานของเทพอัคคีหายวับไปพวกนางจึงค่อยๆ เผยกายออกจากที่ซ่อน

“มิใช่องค์วาโยพายะหรือที่องค์พ่อข้าเคยพูดให้ฟังว่าเป็นคู่หมายขององค์พี่ทิพย์สุคนธา”

“ไว้องค์แก้วสุวรรณเติบใหญ่กว่านี้ก็จักรู้คำตอบเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้หาบังคับเข็ญใจกันได้ไม่”

 

กลิ่นของอากาศที่ไม่สดชื่นเท่าใดนักภายในห้องที่ปิดทึบไร้ซึ่งแสงใดส่องถึงร่างร่างหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมยาวจรดพื้น รวมถึงใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้นั้นกำลังยืนรอพบเจ้าผู้ปกครองแดนอสุราและพระขนิษฐาอยู่

ภายในใจที่ร้อนดังไฟสุมในขณะเดียวกันนั้นภาพของพิธี ณ ลานดาราก็ปรากฏ รอยยิ้มของเทพทั้งสองที่มองกันด้วยแววตาหวานซึ้งและใบหน้าเปี่ยมสุขของเทพอัคคีที่ต่างออกไปจากเมื่อไม่กี่วันราวฟ้ากับหุบเหวลึกเพียงคิดเท่านั้นผู้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมก็เผลอกำมือแน่น

“มาแล้วรึ…”

เสียงที่แสนมีความสุขขององค์ยะษาที่เดินเข้ามาพร้อมๆ กับยะศิณากล่าวทักทาย

“เจ้าไม่มีที่ที่ดีกว่านี้หรืออย่างไร ห้องนี้ทั้งเหม็นทั้งชื้น…”

“เช่นนั้นเป็นที่ท้องพระโรงเลยดีหรือไม่ ไม่ก็บนลานสวนกว้างจะได้รู้กันไปทั้งแดน…”

ยะศิณาจับไปที่แขนของพี่ชายเบาๆ เหมือนกำลังห้ามปรามไม่ให้พูดแดกดันคนผู้นั้น

“ข้ามีเรื่องมาแจ้งแก่พวกเจ้า อีกสามวันทิพย์สุคนธาจะกลับไวกูณฐ์แล้ว จะทำกระไรก็เร่งเข้า เวลาไม่คอยท่า”

“เจ้าจะให้ข้ารบกับพญาสุบรรณเช่นนั้นรึ ฆ่าตัวตายชัดๆ” ยะษากล่าว พลางคนผู้อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นก็แสดงท่าทางไม่พอใจน้อยๆ

“แดนอสุราจะไม่กระทำสิ่งใดเลยหรืออย่างไร ข้าอุตส่าห์ออกอุบายให้นางออกจากวิมานไวกูณฐ์มาที่ฉิมพลีแล้วหนา พวกเจ้าก็ยังนิ่งเฉย”

“จะบอกว่าไม่ทำก็มิได้ดอก ข้าทั้งระดมพลอีกทั้งยังเสี่ยงรบกับเหล่าชาวหิมพานต์เพื่อดึงแม่ทัพทั้งสี่ที่คอยปกป้องนางมาที่ชายแดน!” ยะษาแย้งขึ้น

“แต่นั่นยังไม่พอ! ระดมพลอย่างไรเทพศิคินยังตามติดนางไม่ห่างเช่นนั้น ไร้ประโยชน์!”

“ว่าอย่างไรนะ!” ยะศิณาที่ทนฟังอยู่นานกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ ก่อนคนที่เพิ่งโวยวายไปเมื่อครู่จะเงียบปากลง

“พวกข้าบุกเข้าแดนเทพไม่ได้ เช่นนั้นต้องล่อนางออกมารวมถึงออกมาจากฉิมพลีด้วย ข้าไม่รบกับพญาสุบรรณเพื่อเจ้าดอกหนา”

“ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าต้องกันมิให้เทพทั้งสี่มายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ แต่หากเป็นตามเจ้าว่า เทพที่จะอารักษ์ปาริชาตดอกนั้นกลับไวกูณฐ์เห็นก็จะมิพ้นองค์พายะหรือไม่ก็องค์ศิคิน”

ยะศิณาลากเสียงยาวก่อนคนในผ้าคลุมจะยื่นขวดแก้วบางอย่างให้นาง

“หากเป็นองค์ศิคินห้ามทำกระไรเด็ดขาด เขาเพิ่งผ่านพิธีส่งดาราดับสูญ พลังเทพยังมิฟื้นคืน เพียงวารีเทพหยดเดียวก็พอ”

ยะศิณารับขวดแก้วนั้นมาในมือก่อนจะมองสบตาผู้เป็นพี่ชายแล้วยิ้มออกมา

“ถึงกับสามารถเข้าถึงวารีเทพขององค์สมุทราได้ เจ้าเป็นใครกันแน่…” ยะษากล่าวพลางเอื้อมมือจะไปถอดผ้าคลุมออก แต่กลับโดนรัศมีเทพโจมตีที่มือจนเป็นแผลในทันที

 



Don`t copy text!