
ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 27 : ราพสูร
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
วิมานอัคคีบัดนี้ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า หากแต่เจ้าผู้ครองวิมานนั้นหลังจากกลับมาจากฉิมพลีด้วยใบหน้าที่เบิกบานเสียจนองค์พสุธาที่ติดตามมาด้วยนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามก่อนส่ายหน้าไปมาอย่างระอา
“เก็บอาการเสียหน่อยเจ้าเอย ปานนี้มิรู้กันไปทั้งดาวดึงส์แล้วหรือ”
“ท่านมิได้มีผู้คอยอยู่ที่วิมานเช่นเรา หาเข้าใจเราไม่มหิธร…”
ศิคินพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีอย่างมากก่อนจะตบบ่าผู้เป็นสหายเพื่อปลอบใจแล้วเดินตรงเข้าไปยังวิมานในทันที มหิธรทำได้เพียงถอนหายใจออกมาดังๆ ก่อนจะมองไปยังพระเวทที่ศิคินร่ายปกป้องวิมานไว้
“รอบคอบจริงเชียว”
เขาพึมพำหากแต่กลับสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง นั่นคือร่างของเทพธิดานางหนึ่งนอนหมดสติที่กลางสวน เห็นดังนั้นมหิธรจึงเร่งเข้าไปดูในทันทีตามด้วยศิคินจึงพบว่านางคือมาลัยแก้วนั่นเอง มหิธรจึงรีบใช้พระเวทของตนเข้าช่วยทำให้นางฟื้นคืนสติในทันที
“เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ทิพย์สุคนธาอยู่ที่ใด!”
ยังไม่ทันจะได้ความใดจากเทพธิดามาลัยแก้ว แต้มอัคคีที่ฝ่ามือของศิคินก็ส่องแสงสีแดงฉานในทันที
เปลวไฟที่ลุกโชนที่ฝ่ามือและความรู้สึกมากมายของริชาที่หลั่งไหลมาไม่หยุด…ร่างของเทพอัคคีจึงทะยานไปยังพิภพอสุราอย่างรวดเร็ว ด้วยครั้งนี้เขาจะไม่ยอมสูญเสียริชาไปอีกครั้งเป็นแน่
ณ ลานที่พิธีกว้าง บัดนี้ร่างของพิภพถูกมัดตรึงไว้ที่แท่นหินที่กลางลานและร่างของวิษณุและชมแพรที่ถูกมัดไว้ที่เสาหินข้างๆ ลาน เบื้องหน้าแท่นศิลานั้นคือเจ้าเหนือพิภพนามยะษาผู้ที่มองไปยังร่างของมนุษย์หนุ่มที่นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่เบื้องหน้า ก่อนภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
ในวันที่พิธีบงการไฟจบสิ้นลงอันเป็นเหตุให้สังเวยชีพขององค์ทิพย์สุคนธาแห่งวิมานไวกูณฐ์และดวงจิตที่ไม่สมบูรณ์ขององค์ราพสูรเป็นเหตุให้แดนเทพนั้นพิโรธอย่างหนัก หากแต่ยะษานั้นก็อ่อนแอเป็นอย่างมากทำให้ต้องเป็นฝ่ายยอมจำนนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ยะศิณามองไปยังร่างที่ไร้เรี่ยวแรงและสีหน้าไม่สู้ดีนักของทั้งวิษณุและชมแพรก่อนจะเดินเข้าไปหาทั้งสอง แล้วใช้พระเวทของตนช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น
“ได้ตัวมนุษย์ผู้นั้นแล้ว เราปล่อยพวกมันทั้งสองกลับไปยังแดนมนุษย์ไม่ได้หรือพี่ท่าน”
น้ำเสียงอ้อนวอนของผู้เป็นน้องสาวดังขึ้น หากแต่ยะษากลับส่ายหน้าช้าๆ
“ก็เพียงชีวิตของมนุษย์ต่ำต้อยยะศิณา ไหนเลยควรค่าให้กล่าวถึง…”
สิ้นคำของเขานั้น กลางลานหินก็ปรากฏแสงสว่างสีขาวขึ้น เมื่อมันค่อยๆ สลายหายไปนั้นจึงปรากฏร่างของคนสองคนขึ้นที่กลางลานบริเวณแท่นหิน สตรีสูงศักดิ์ในชุดสีขาวนวลที่บัดนี้ใช้พระเวทมัดร่างของริชาไว้แน่น
“ถึงขนาดที่มิต้องซ่อนเร้นองค์แล้วหรือมณีดารา”
“อย่าพูดให้มากความองค์ยะษา บัดนี้เหล่าแม่ทัพเทพต่างอยู่ที่ฉิมพลีวิมาน…เราพานางมาแล้วจักทำสิ่งใดก็เร่งเข้า”
ริชาที่ได้ฟังก็ยิ่งผิดหวังกับมณีดาราขึ้นไปอีก ด้วยเพราะจู่ๆ เหล่าเทพอาวุโสก็เรียกตัวเหล่าแม่ทัพไปหารืออย่างเร่งด่วนด้วยเพราะนิมิตของเทพพยากรณ์นั่นเอง
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้…” ริชาถามเสียงเรียบหากแต่มณีดารากลับไม่กล้าแม้จะหันมาสบตาผู้ที่เคยเป็นอดีตสหาย
“เจ้าจะไปเข้าใจกระไรธิดาไวกูณฐ์ เพียงเจ้าจุติมานั้นก็อยู่ในสายพระเนตรของเทพทุกองค์ เพียงเจ้าที่เขาเฝ้ามองด้วยความเจียมตนเมื่อครั้งที่องค์อมรินทร์ออกปากว่าองค์วาโยเหมาะสมจักเป็นคู่หมายของเจ้า”
มณีดาราค่อยๆ หันกลับมาก่อนจะมองไปยังริชาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ทีแรกข้าเคยนึกสงสัยว่าทิพย์สุคนธาน่ะหรือคือผู้ใดกัน จึงสามารถทำให้เทพอัคคีรู้สึกต้อยต่ำได้ถึงเพียงนั้นทั้งที่ข้าเชิดชูเขาเหนือผู้ใด“
“เช่นนั้นเหตุใดต้องคอยอยู่ข้างกาย คอยช่วยเหลือหรือแม้แต่รับฟังข้าด้วยเล่า หากจะเกลียดชังข้าถึงเพียงนั้น!”
เสียงหัวเราะของมณีดาราดังขึ้นก่อนน้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาอย่างไม่อาจควบคุม ความคิดที่สับสนตีกันไปมาหากนางก็เดินเข้าไปใกล้ริชามากขึ้น
“เพราะข้าเองก็ยังยอมรับในความดีของเจ้าอย่างไรทิพย์สุคนธา แม้ใจหนึ่งมันจะอิจฉาเจ้าอย่างไรแต่จิตใจของเจ้าที่มีความจริงใจให้ข้าเสมอนั้นมันกลับทำให้ข้าดูน่ารังเกียจ และย้ำเตือนว่าข้ามันไม่คู่ควรกับสิ่งที่เจ้าได้รับแม้แต่น้อยนิด…”
พูดจบมณีดาราก็หายตัวไปจากลานนั้นในทันที ด้วยไม่อาจทนมองสายตาผิดหวังของริชาที่มองมาที่ตนได้ เดิมทีนั้นนางไม่อาจยอมรับได้ว่าตนนั้นอิจฉาทิพย์สุคนธาเพียงใด หากแต่เพราะความจริงใจที่ธิดาแห่งวังไวกูณฐ์มีให้นางก็คอยย้ำเตือนว่านางไม่คู่ควร…
ความทรงจำเมื่อครั้งที่ตนเคยกล่าวเตือนทิพย์สุคนธาเรื่องที่ว่าจะต้องดับสูญด้วยไฟของเทพอัคคีนั้นแท้จริงแล้วใจหนึ่งก็เพื่อการขู่ให้นางอยู่ห่างจากเทพศิคิน แต่นัยสำคัญยิ่งกว่านั้นคือเตือนให้นางได้รู้ถึงคำพยากรณ์ของตน
ละอองสีทองระยับที่ค่อยๆ เลือนรางไปต่อหน้าของริชานั้นทำให้เธอรู้สึกได้ในทันทีว่าบัดนี้ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าสหายนั้นได้สลายหายไปตลอดกาลแล้วเช่นกัน
“เหม่อลอยกระไรทิพย์สุคนธา เจ้าจักเสียใจไปไย สหายเช่นนั้นนับเป็นสหายที่ไหนกัน…”
ยะษาพูดขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แท่นหินที่บัดนี้ร่างที่ไร้สติของพิภพนอนแน่นิ่งอยู่ด้านบน ยะษากางมือออกเหนือร่างของชายหนุ่ม ก่อนเขาจะสะดุ้งตื่นขึ้นในทันทีที่มือนั้นของเจ้าพิภพอสุราจะปรากฏกริชคมสีเงินขึ้นในมือ แล้วค่อยๆ บรรจงกรีดลงที่ฝ่ามือของพิภพ
หยาดโลหิตสีแดงฉานนั้นค่อยๆ ไหลรินหยดลงที่พื้นลานหินกว้างในทันทีก่อนร่างของทั้งริชาและพิภพจะลอยตัวขึ้นกลางอากาศ
แต้มอัคคีที่ฝ่ามือของริชาส่องแสงสว่างขึ้นพร้อมกับโลหิตที่ไหลรินนั้นจะเรืองแสงสีทองสุกสว่างไปทั่วบริเวณ เสียงปฐพีคำรามลั่นก่อนเบื้องหน้าของทั้งหมดจะยุบตัวลงเป็นหลุมกว้างขนาดใหญ่พร้อมๆ กับเปลวไฟสีทองที่ลุกโชติช่วงขึ้นอีกครา
เมื่อกระถางอัคคีปรากฏ ร่างของมนุษย์ทั้งสองก็เรืองแสงออกมาอย่างเจิดจ้าด้วยแรงของสัญญาเดิมด้วยสถานที่แห่งนี้นั้นคือสถานที่สุดท้ายที่ทั้งทิพย์สุคนธาและดวงจิตของราพสูรดับขันธ์ ร่องรอยเดิมรวมถึงพลังรัศมีเทพที่แฝงอยู่ในกระถางอสุราอัคคีนั้นก็ตอบสนองต่อผู้เป็นเจ้าของในทันที
จิตดั้งเดิมของผู้เข้าพิธีบงการไฟเท่านั้นจึงจักสามารถบงการกระถางอัคคี นั่นคือต้องเป็นทิพย์สุคนธาและองค์ราพสูรเท่านั้นจึงจะสามารถเปิดกระถางอัคคีและปลุกพลังของมณีอสุรกาลได้อีกครั้ง
เมื่อสิ้นแสงสว่างนั้นเปลวไฟในกระถางอัคคีก็โหมกระหน่ำปั่นป่วนอีกครั้ง ท้องนภาเหนือยอดมณีอสรุกาลบัดนี้นั้นแปรปรวนอย่างน่ากลัวพร้อมๆ กับสายอัสนีที่วาดผ่านเป็นสายยาว ยะศิณามองไปยังภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงก่อนจะรับรู้ได้ถึงพลังรัศมีทิพย์ที่แสนคุ้นเคย
แสงสว่างสีทองส่องแสงเรืองรองจากกายากำยำนั้น ดวงเนตรสีนิลสนิทราวกับมณีเหนือยอดปราสาทที่บัดนี้เพ่งพินิจไปที่ร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนตน ยะศิณามองภาพนั้นก่อนจะใช้มือปิดปากของตนด้วยความตื่นตกใจ หากเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นองค์ราพสูรด้วยตาของตนเช่นนี้
พิภพที่ในตอนนี้นั้นจุติเป็นองค์ราพสูรมองไปยังริชาที่จุติกลับมาเป็นทิพย์สุคนธาในอ้อมแขนของตนอย่างรู้สึกผิด ที่ทำให้นางต้องมาอยู่บนกงล้อของชะตากรรมวนไปเวียนมาเช่นนี้ไม่จบสิ้น
“เหตุใดข้าจึงเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ของเจ้าอยู่เรื่อยไป…” ราพสูรพึมพำ
ยะษาจึงอาศัยจังหวะที่พลังขององค์ราพสูรฟื้นคืนไม่เต็มที่ใช้พระเวทของเขาเข้าสูบกลืนพลังของทิพยอสุราในทันที ด้วยไม่ทันได้ตั้งหลักให้มั่นเมื่อถูกพระเวทของยะษาเขาจึงเผลอปล่อยมือจากร่างอันไร้เรี่ยวแรงของทิพย์สุคนธา
ร่างบางล่องลอยอยู่เหนือพื้นดินก่อนนางจะค่อยๆ ร่วงลงสู่เบื้องล่างอย่างช้าๆ แม้ดวงตาจะขยับก่อนจะกะพริบช้าๆ พลันลืมตามองไปยังราพสูรที่อยู่ตรงหน้า บัดนี้นางจึงได้เห็นทิพยอสุรานามราพสูรด้วยดวงตาของตนเอง…
“ทิพย์สุคนธา!”
ราพสูรตะโกนก้อง หากแต่ยะศิณาที่เห็นดังนั้นจึงกระโจนเข้าไปหวังช่วยเหลือองค์ราพสูรและรับร่างของทิพย์สุคนธาไว้ หากแต่กลับโดนพระเวทของยะษาดูดกลืนพลังเช่นกัน
เพียงชั่วขณะที่ร่างบางจะร่วงลงกระทบพื้นนั้น เทพอัคคีทะยานตรงเข้าช้อนอุ้มนางไว้ได้ทันก่อนจะเร่งนำทิพย์สุคนธาให้ออกห่างจากกระถางอัคคีในทันที
พลังเทพที่คุ้นชินนั้นเพียงสัมผัสกับแผ่นอกกว้างทำให้หัวใจเต้นระส่ำ ทิพย์สุคนธารับรู้ได้ในทันทีว่าคือผู้ใดที่รับร่างอันใกล้หมดสิ้นเรี่ยวแรงของนางไว้ ริมฝีปากบางก็เรียกชื่อของเขาอย่างแผ่วเบา
“ศิคิน…”
เสียงเรียกอย่างแผ่วเบาหากแต่ดวงเนตรยังคงปิดสนิท นางรับรู้ได้ในทันทีว่าผู้ที่ช้อนอุ้มนางอยู่คือผู้ใด
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะไปหยุดยะษา…”
เทพอัคคีบรรจงวางร่างของทิพย์สุคนธาลงอย่างเบามือก่อนสติของนางจะเริ่มเลือนรางขึ้นอีกครั้ง เขามีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นละอองแสงสีแดงที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากร่างของทิพย์สุคนธา เขาจึงต้องใช้รัศมีเทพของตนเข้าช่วยเหลือนาง หากแต่ไม่สามารถหยุดละอองแสงสีแดงที่ลอยละล่องขึ้นมาได้เลย
“หยุดเถิดพี่ท่าน หามีประโยชน์อันใด…”
“ข้าไม่ยอม!”
เสียงพึมพำหากแต่ดังก้องในใจของริชาซึ่งบัดนี้จุติกลับมาเป็นทิพย์สุคนธาอีกครั้ง
ด้วยฝืนกฎแห่งสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด อีกทั้งพลังชีวิตของตนยังถูกยะษาดึงกลับคืนไปยังราพสูรทำให้บัดนี้ร่างของนางอ่อนแอยิ่งนักและกำลังจะดับขันธ์อีกครา
ทิพย์สุคนธารวบรวมสติสุดท้ายของตนก่อนจะจับมือของศิคินไว้แน่น พยายามใช้พลังดึงบางสิ่งออกมาจากร่างของตน
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่มีทางเลยที่ท่านจะใช้พลังที่แบ่งออกไปนั้นหยุดยะษาได้…”
“เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย”
น้ำเสียงเขาอ้อนวอน หากแต่รอยยิ้มบางที่ฉายชัดบนริมฝีปากงามนั้นกลับทำให้น้ำตาของศิคินหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
“พี่ท่านรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ใด อีกไม่ช้าข้าก็ต้องเดินทางอีกครั้ง หากแต่ดวงใจอัคคีนี้อยู่กับเจ้าของมันคงกระทำสิ่งที่เป็นคุณได้นานัปการ”
อัญมีสีแดงเพลิงค่อยๆ ลอยออกมาจากกลางหน้าอกของทิพย์สุคนธา ก่อนมันจะค่อยๆ สลายหายกลับเข้าไปในตัวศิคินดังเดิม เทพอัคคีบัดนี้รับรู้ได้ถึงพลังอัคคีของตนที่เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง หากแต่ความรู้สึกของร่างบางในอ้อมกอดเขานั้นกลับรู้สึกเบาบางขึ้นเรื่อยๆ
รอยยิ้มสุดท้ายฉายชัดบนใบหน้านั้นไร้ซึ่งถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ยแม้แต่คำเดียว สติของทิพย์สุคนธาก็ดับสิ้นลงในทันที ศิคินกอดร่างนั้นไว้แน่แม้เปลวไฟสีดำแห่งหะลาหละที่ฝั่งลึกอยู่ในร่างของนางจะร้อนเพียงใดหากแต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะมันแม้แต่น้อย
ดวงใจที่แหลกสลายอีกครั้งนั้นเจ็บปวดเสียจนไร้ความรู้สึกใดเพียงเพ่งพินิจดวงหน้าที่บัดนี้นิ่งสนิทในอ้อมแขนก่อนความรู้สึกจะเบาบางลงไปทุกขณะ ละอองแสงสุดท้ายของทิพย์สุคนธาจึงสลายหายไปตลอดกาล…
เพียงพยายามไขว่คว้ามวลอากาศที่เคยมีร่างของทิพย์สุคนธาด้วยจิตใจที่แหลกสลาย พายะที่ตามมาสมทบกับเหล่าสหายนั้นเพียงมองเทพอัคคีก็ไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป
ขณะเดียวกันดวงจิตของเหล่าอสุรามากมายที่ถูกยะษาเรียกมานั้นเพื่อดูดกลืนพลัง บางส่วนถูกพระเวทบังคับเข้าโจมตีเหล่าแม่ทัพเทพในทันที บังเกิดเสียงสนั่นดังไปทั่วด้วยรัศมีเทพที่เข้าต่อต้านพลังนั้น
“ศิคิน…”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้น ก่อนเขาจะสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีเทพของทิพย์สุคนธาในทันที บัดนั้นแท่นอัคคีที่วิมานอัคคีก็เรืองแสงขึ้นก่อนพลังอัคคีที่ศิคินตระเตรียมไว้ในการดับขันธ์ของตนจะกลับคืนสู่ร่างของเขาในทันที
แสงสว่างสีแดงดั่งเปลวเพลิงนั้น สว่างไสวไปทั่วพร้อมกับรัศมีเทพของเทพอัคคีที่แผ่กระจายออกเผาผลาญเหล่าอสุราให้ระเหิดหายไปอย่างง่ายดายเพียงสัมผัสรัศมีแห่งเทพอัคคี
ดั่งได้สติรู้แล้วทุกสิ่ง…ร่างของศิคินจึงทะยานเข้าต่อสู้กับยะษาอีกครั้ง หากแต่ต้องฝ่าวงล้อมของดวงจิตอสุราที่บัดนี้เข้าปกป้องผู้เป็นนายเอาไว้อย่างหนาแน่น
“ภพ…หรือต้องเรียกองค์ราพสูรกันนะ”
น้ำเสียงทักทายอย่างสดใสก่อนพิภพหรือในตอนนี้คือองค์ราพสูรจะมองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยสีดำสนิทหากแต่มีกลุ่มของละอองสีแดงที่ล่องลอยอยู่เบื้องหน้าของเขาก่อนมันจะค่อยๆ กลายร่างเป็นหญิงสาวที่เขาแสนคุ้นตา
“ริชา!”
เขาโผเข้ากอดผู้เป็นเพื่อนทันทีก่อนริชาจะกอดตอบเขาเช่นกัน เธอผละออกจากอ้อมกอดนั้นก่อนจะจับมือเขาไว้แน่น ไม่นานพลังบางอย่างจึงหลั่งไหลออกมาจากฝ่ามือนั้นของริชาเข้าไปยังฝ่ามือของราพสูรในทันที
“ด้วยฝ่ามือของข้านี้คืนทุกสิ่งให้ท่านแล้ว…ฝากดูแลพ่อกับแพรด้วยนะ…”
พลังชีวิตสุดท้ายของทิพย์สุคนธาส่งคืนแก่ราพสูรก่อนร่างบางจะค่อยๆ สลายหายไป เขามองไปยังภาพตรงหน้าและพยายามไขว่คว้าร่างของริชาไว้แต่ไร้ผล ดวงตาเบิกโพลงขึ้นก่อนจะมองภาพการปะทะกันของเทพและอสุราที่อยู่ตรงหน้าก่อนราพสูรจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
ราพสูรมองไปยังภาพของยะษาที่อยู่เบื้องหน้าตนที่กำลังดูดกลืนพลังของยะศิณาและเหล่าดวงจิตของอสุราที่ล่องลอยอยู่ในพิภพแดนนี้ รวมถึงมณีอสุรกาลที่ยามนี้นั้นกำลังถูกยะษาเข้าควบคุมแล้วเช่นกันเพราะได้รับพลังไปจากตน
เขาทะยานหวังเข้าไปช่วยเหลือยะศิณาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด หากแต่แม่ทัพแดนอสุราอย่างดารันกลับทะยานร่างอันบอบช้ำและบาดเจ็บของตนเข้าไปขวางระหว่างยะษาและยะศิณาไว้แทน
ยะศิณามองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาของตน หากแต่ดารันกลับยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส
“อย่าได้อาลัยกับชีวิตไร้ค่าของข้าเลยยะศิณา มีเพียงองค์ท่านจึงสามารถหยุดองค์ยะษาได้…”
“เจ้าทำบ้าอะไรดารัน!”
นางกรีดร้องสุดเสียงด้วยร่างของแม่ทัพอสุรานั้นกำลังค่อยๆ เลือนหายหลอมรวมเข้ากับยะษาทีละน้อย
“ชั่วชีวิตข้ามีชีวิตอยู่เพื่อพิทักษ์พวกท่าน…ยิ่งเข้าใจท่านยิ่งกว่าผู้ใดว่า การใช้ชีวิตทั้งหมดที่มีทุ่มเทเพื่อบางสิ่งอย่างไร้การเห็นคุณค่ามันเจ็บปวดเพียงใด…”
แววตาที่เจ็บปวดนั้นมองไปยังผู้เป็นนายพลันคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ที่ริมฝีปาก รอยยิ้มที่ชั่วชีวิตนี้เขาไม่กล้าแม้ให้ยะศิณาได้เห็นมาก่อน
“ข้าจึงหวังให้ท่านใช้ชีวิตเพื่อตัวท่านเอง…ยะศิณา”
สติสุดท้ายของดารันสูญสิ้นลงก่อนร่างนั้นจะสลายไปชั่วกาล ดวงหน้าหวานบัดนี้ไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ได้อีกก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกหลั่งไหลออกมาทางหยาดน้ำตา
ราพสูรมองภาพเหตุการณ์นั้นด้วยใจที่สั่นไหว เพียงไม่อาจแม้จะกล้าคิดว่าตลอดเวลาที่แสนยาวนานนี้ยะศิณาทำเพื่อเขามากมายเพียงใด…
“ราพสูร…”
เสียงของศิคินดังขึ้นในจิตของตนก่อนเขาจะมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว จึงพบกับร่างของเทพอัคคีที่บัดนี้กำลังต้านทานเหล่าดวงจิตของอสุรา เขาฟังสิ่งที่ศิคินกล่าวอย่างตั้งใจครู่หนึ่งจากนั้นร่างของทิพยอสุราราพสูรจึงทะยานออกไปที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“พลังของท่าน อย่าให้ผู้ใดนำไปใช้ในทางที่ผิด!”
ราพสูรทะยานขึ้นไปเบื้องบนที่ยอดอันเป็นที่สถิตของมณียอดปราสาท ก่อนร่างของราพสูรนั้นจะเรืองแสงสีทองออกมาอย่างเจิดจ้า มณีอสุรกาลนั้นเมื่อยามสัมผัสกับพลังที่แท้จริงของผู้เป็นนายก็ตอบสนองในทันที
“ไม่!”
ยะษาตะโกนอย่างเดือดดาล หากแต่มณีอสุรกาลกลับตอบรับเพียงราพสูรเท่านั้น มันส่องแสงออกมาอย่างงดงามก่อนแสงสว่างนั้นจะเรืองรองไปทั่ว ทำให้พิภพอสุรากลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
กระถางอสุราอัคคีที่อยู่เบื้องล่างนั้นก็เช่นกัน เมื่อจิตแห่งผู้บงการไฟมีเพียงใช้พลังของมันหล่อเลี้ยงความสว่างไสวรุ่งโรจน์ของแดนทิพยอสุรา
ศิคินตรงเข้าใช้พระขรรค์ของตนโจมตีไปที่ยะษาในทันทีที่เห็นว่าเขานั้นตั้งท่าจะตรงเข้าทำร้ายองค์ราพสูรที่ลอยตัวอยู่เหนือมหาปราสาท พายะไม่รอช้าก่อนจะใช้ฝ่าเท้าของตนนั้นทาบเหยียบลงที่หน้าอกของพญาอสุราแล้วใช้รัศมีเทพของตนกดทับไว้อย่างนั้น
“เหตุใดพลังเทพของเจ้าจึง…” เขาตะโกนออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลของอัคคีเทพ
“หยุดเพียงเท่านี้เถิดทิพยอสุรายะษา ปล่อยวางเสีย!”
เขานอนราบที่พื้นอย่างหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง ก่อนจะมองไปที่เทพอัคคีอย่างเย้ยหยัน
“ปล่อยวางหรือเทพอัคคี แล้วเจ้าเล่าปล่อยวางได้หรือ จะอีกกี่ครั้งกี่คราเจ้าเองก็ช่วยทิพย์สุคนธาไว้ไม่ได้เลย”
ยะษาตั้งใจพูดขึ้นเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของศิคิน ก่อนเขานั้นจะใช้รัศมีเทพกดลงไปที่ร่างของทิพยอสุราอีกครั้ง หากแต่เพียงชั่วขณะที่ความโกรธาและความเศร้าเสียใจฉายชัดขึ้น ร่างที่แน่นิ่งอยู่ของยะศิณาก็ใช้กริชตรงเข้าหาศิคินในทันที
เทพอัคคีที่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวนั้นใช้มือของตนหยุดกริชไว้ได้ทัน หากแต่ผู้ที่อยู่ใต้รัศมีเทพของศิคินกลับหลุดจากพันธนาการแล้วจึงทะยานร่างของตนไปที่กระถางอัคคีในทันที
“เช่นนั้นก็จงได้ไปเพียงเถ้าถ่านและความมอดไหม้เถอะองค์ราพสูร!”
ร่างของยะษาบัดนี้นั้นลอยตัวอยู่ใจกลางของกระถางอัคคี ก่อนเขาจะใช้ดวงจิตทิพยอสุราของตนในการเข้าพิธีบงการไฟอีกครั้ง
เสียงตะโกนก้องของความเจ็บปวดรวมถึงสาปส่งพิภพอสุราดังขึ้นในทันที ก่อนร่างของทิพยอสุรานามยะษาจะหลอมรวมเข้ากับกระถางอัคคีทันทีในนามแห่งผู้บงการอัคคี!
ราพสูรและศิคินเห็นดังนั้นหากแต่ทุกอย่างก็ช้าเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งใด กระถางแห่งอัคคีที่บัดนี้นั้นรวมเข้ากับร่างของยะษาและแหวนมณีสีนิลที่นิ้วของเขาที่สวมติดตัวอยู่ตลอดนั้นก็เช่นกัน
แสงสีดำเรืองรองขึ้นเผาผลาญร่างของอสุรายะษาจนมอดไหม้ มันหลอมรวมเข้ากับกระถางอัคคีก่อนจะปลดปล่อยพิษหะลาหละที่ถูกกักเก็บอยู่ในแหวนออกมา ดั่งเช่นเมื่อครั้งที่ยะษาเคยหมายจะใช้ไฟประลัยกัลป์นี้สังหารศิคินหากแต่ไม่มีพลังมากพอจะเปิดกระถางอัคคีไว้ได้เนิ่นนานเช่นนี้
ราพสูรและศิคินมองไปยังไฟสีดำที่ค่อยๆ ลุกไหม้อยู่ภายในก่อนจะเริ่มปะทุรุนแรงขึ้น ทั้งสององค์ต่างใช้พลังรัศมีเทวะของตนป้องกันอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้ไฟร้ายนี้หลุดลอยออกไป
ด้วยพลังรุนแรงของพิษบรรพกาลที่หลอมหลวมเข้ากับไฟแห่งทิพยอสุรานับหมื่นนับแสนปีนั้น ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นก่อนมันจะปะทุสร้างแรงระเบิดอย่างรุนแรงทำให้ร่างของศิคินและราพสูรนั้นกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทาง
เปลวไฟประลัยกัลป์นั้นไล่ผลาญฆ่าชีวิตของผู้คนไปทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าทหารแดนสวรรค์ แดนทิพยอสุรา และเหล่าชาวป่าหิมพานต์ที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไปอย่างถ้วนทั่ว
ราพสูรได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด เมื่อกลับมาได้สติก็พบกับร่างของเหล่าเทพแดนสวรรค์ที่หมดสติเพราะได้รับแรงระเบิดและได้รับบาดเจ็บจากไฟประลัยกัลป์นั้น เขามองไปยังศิคินที่บัดนี้ยังไม่ได้สตินอนนิ่งอยู่ที่พื้นดิน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลก่อนโลหิตจะไหลนองพื้นเต็มไปหมด
เขาเร่งคิดหาหนทางหากแต่ความทรงจำในอดีตเมื่อครั้งเทพอัคคีใช้ดวงจิตและร่างของตัวเองเพื่อหยุดไฟนั้นก็เข้ามาแทน บัดนั้นจึงไม่มีสิ่งใดให้รั้งรออีกต่อไป…
“เราจึงต้องขอฝากแดนนี้ไว้ที่เจ้าด้วย!”
ราพสูรตะโกนก้องก่อนจะส่งพลังของตนไปที่ร่างของเทพอัคคีในทันทีเพื่อล้างไฟทิพยอสุราที่เกาะกุมร่างของเทพอัคคีออก เมื่อค่อยๆ ฟื้นคืนสติหากสารสุดท้ายของทิพยอสุราราพสูรก็ดังกึกก้องขึ้นในจิต ด้วยศิคินนั้นรู้แน่แล้วว่าราพสูรจะกระทำสิ่งใด
“แล้วเจ้าก็รีบกลับมารับคืนด้วยเล่า…”
รอยยิ้มของราพสูรคลี่ออกในทันทีเมื่อได้ยินเสียงของศิคินที่ดังขึ้น ด้วยเพราะอย่างไรเสียเขาทั้งสองก็เหมือนดังสองขั้วของสองด้าน หากแต่ไม่มีทางเป็นสองขั้วของความดีและความชั่วเป็นแน่แท้
ร่างกำยำทะยานหมายจะตรงเข้าไปที่ใจกลางของกระถางอัคคีนั้น แต่แล้วเหมือนดั่งว่าร่างขององค์ราพสูรเข้าปะทะกับพลังของบางสิ่งก่อนจะกระเด็นออกไปจากบริเวณปากกระถางเพลิงอัคคี
เบื้องหน้าเขาปรากฏพลังบางสิ่งครอบทับโดยรอบกระถางอัคคี รัศมีสีทองนั้นช่างแสนคุ้นตายิ่งนัก ราพสูรที่ลงไปนอนกองที่พื้นเมื่อมองไปยังที่มาของพลังนั้นก็ตะลึงงัน ด้วยร่างที่ลอยตัวอยู่ใจกลางของกระถางอัคคีกลับกลายเป็นยะศิณา!
“ยะศิณา!”
เขาตะโกนก้องและพยายามเข้าไปยังใจกลางกระถางอัคคีอีกครั้ง แต่ด้วยเพราะได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทำให้ยะศิณาสามารถใช้พลังทิพยรัศมีของตนกดเขาลงให้แน่นิ่งอยู่ที่พื้นได้
“ชั่วชีวิตนี้ของข้าไม่เคยมีครั้งใดเลยจะกระทำในสิ่งที่ไร้ซึ่งท่านเป็นเหตุผล หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ข้าจะไม่ยอมเห็นผู้บริสุทธิ์ใดต้องมาสังเวยชีพเพราะการกระทำอันเกิดจากพี่ชายข้าและตัวข้าอีกแล้ว!”
ร่างของยะศิณาบัดนี้นั้นค่อยๆ ถูกเปลวไฟสีดำค่อยๆ แผดเผา ก่อนนางจะใช้พลังชีวิตแห่งทิพยอสุราของนางนั้นในพิธีบงการไฟเพื่อเป็นผู้บงการกระถางอัคคีอีกครั้ง
“ชีวิตของข้านั้นจะชดเชยให้กับทุกสิ่ง จงอยู่ต่อไปนะเจ้าค่ะองค์ราพสูร!”
“ยะศิณา!”
สิ้นเสียงปฐพีก้องคำรามนั้น ร่างของยะศิณาก็สลายหายไปในทันทีพร้อมๆ กับกระถางอัคคีที่แปรเปลี่ยนจากสีดำของพิษหะลาหละกลับมาเป็นสีทองของทิพยเปลวไฟดังเดิม
รัศมีทิพยอสุราที่กดทับร่างของราพสูรนั้นจึงค่อยๆ คลายออก รวมถึงกระถางอัคคีที่บัดนี้นิ่งสนิทมีเพียงเปลวไฟที่เมื่อยามอยู่ห่างไกลกลับรับรู้ได้เพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมา แต่หากเมื่อใดที่เราอยู่ใกล้ไฟแห่งอำนาจนั้นมากจนเกินไปสักวันคงถูกแผดเผาได้เช่นกัน…
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทส่งท้าย : สุคนธาปาริชาต
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 27 : ราพสูร
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 26 : เผยตัว
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 25 : สิ้นแสงแก้วประพาฬ
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 24 : อย่างไรจึงเรียกว่าความถูกต้อง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 23 : ทัณฑ์เทวะ
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 22 : มณีอสุรกาล
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 21 : ดวงจิตอธิษฐาน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 20 : พิธีต้องห้าม
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 19 : เดชบรรพกาล
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 18 : หิมพานต์ไพรสัณฑ์
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 17 : หมื่นดวงดารามิอาจเทียบเทียม
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 16 : หลบเลี่ยง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 15 : ทิพย์สุคนธา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 14 : เป็นหนึ่งเดียว
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 13 : เสียงคลื่นคลั่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 12 : มหรสพ...อลหม่าน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 11 : ในคืนที่ฟ้าไร้ดาว
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ