ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 26 : เผยตัว

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 26 : เผยตัว

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

“มณีดาราหรือ เจ้ามีกิจอันใดที่วิมานเรา!”

น้ำเสียงทักทายฟังดูเย็นชาเสียจนคนฟังใบหน้าถอดสีในทันที ด้วยศิคินนั้นโมโหอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ นางก็มารุกล้ำที่วิมานของตน

“เหตุใดต้องใช้มนต์ป้องกันวิมาน…องค์พายะเข้าไปได้แต่ข้าเข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ” มณีดาราถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะมองพายะตาเขียว

“ข้าอยากให้ผู้ใดเข้าผู้นั้นก็เข้ามาได้ หากไม่อยากให้ผู้ใดเข้าก็เป็นตามนั้น…”

ศิคินตอบเสียงเรียบ หากแต่บัดนี้องค์วาโยกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากก่อนจะพยายามกลืนเสียงหัวเราะของตนลงไปในลำคอ นับวันมณีดารายิ่งชอบมายุ่มย่ามที่วิมานของเหล่าจตุรเทพบ่อยครั้งเสียจนศิคินต้องร่ายพระเวทป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง

“เหตุใดพูดกับนางรุนแรงเพียงนั้น” เสียงของพายะดังขึ้นในจิต

“เจ้าก็รู้ดี ข้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ริชาอยู่ในวิมานข้า อีกทั้งไม่อยากอธิบายกับมหิธรรอบที่เท่าใดไม่อาจนับ ว่าข้าไม่เคยเชิญนางมาที่วิมานเลยแม้เพียงครั้งเดียว”

เสียงถอนหายใจของศิคินที่ดังขึ้นนั้นหากมณีดาราก็ยังคงไม่ยินยอมกลับไปแต่โดยง่าย เพราะเมื่อหลายวันก่อนนางเองไปที่อุทยานบุญฑริกวันและจู่ๆ ก็พบเห็นว่าต้นปาริชาตนั้นเรืองแสงออกมาอย่างประหลาด เมื่อติดตามแสงนั้นมาก็พบว่ามันตรงมายังวิมานของเทพศิคิน

“หากไม่มีกิจใดเจ้ากลับไปก่อนเถิดมณีดารา ข้าแลศิคินจักต้องหารือกิจธุระอันแดนอสุราหนา”

“ท่านเป็นเจ้าวิมานหรือองค์วาโย”

สิ้นคำถาม องค์วาโยมองไปที่เจ้าวิมานอัคคีก่อนจะตบบ่าเขาเบาๆ แล้วจึงเดินกลับเข้าไปยังวิมานทันที

“ข่าวว่าท่านต้องทัณฑ์อัคคีเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งหรือเจ้าคะ…” มณีดาราถามเสียงอ่อนก่อนศิคินจะมองไปที่นางนิ่งเงียบเสียจนเสียงสายลมที่พัดผ่านฟังชัดเจนยิ่งกว่า

“หาใช่แค่เพียงมนุษย์ผู้หนึ่งอย่างเจ้าว่า”

น้ำเสียงแสนเย็นชานั้นหนาวเหน็บจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่ดวงใจของมณีดาราในทันที ศิคินโค้งศีรษะให้นางน้อยๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในทันที หากแต่ร่องรอยของวัชระนั้นยังคงปรากฏชัดเจนที่ต้นแขนทั้งสองข้างทำให้องค์มณีดาราใช้ฝ่ามือคว้าแขนของเทพอัคคีไว้ไม่ยอมปล่อย

“ร่องรอยจากวัชระ ศิคินท่านยังต้องรับทัณฑ์เพื่อนางไปอีกถึงเมื่อใดกัน!”

น้ำเสียงตัดพ้อของมณีดารา หากแต่อยู่ในสายตาของริชาที่แอบมองผ่านหน้าต่างจากด้านในของวิมาน

พายะที่เพิ่งกลับเข้ามานั้นก็พบกับริชาที่แอบมองศิคินและมณีดาราอยู่ กลับรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยด้วยสีหน้าแววตาของเธอเปลี่ยนไปราวกับคนละคน

“เจ้าจอมซน เหตุใดมาแอบมองอยู่ตรงนี้…”

พายะกล่าวพลางคนถูกเรียกรีบยกนิ้วชี้วางไว้ที่ริมฝีปากแทบไม่ทัน เมื่อองค์วาโยพายะเห็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“คิดไม่ผิดจริงๆ ที่นำเจ้ากลับมาที่วิมานจตุรเทพ ที่ไม่ห่างไกลจากบุญฑริกวันมากนัก”

“มองข้าออกง่ายดายเพียงนั้นหรือเจ้าคะ…” ริชาที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่คิดปิดบังพายะอีกต่อไปก่อนนางจะยิ้มตอบเขาเช่นกัน

“เรายังมีกิจอีกมากที่ชายแดนอสุรา…มีบางคนไม่ได้พบกันนานนัก เห็นทีคงมีเรื่องสะสางกันอีกมาก…”

ริมฝีปากแย้มยิ้มออกมาด้วยความปีติก่อนจะเดินจากในทันที ความรู้สึกท่วมท้นมากมายที่พัดพาราวสายลมถาโถมราวกับจะพังทลายดวงใจของวาโยเทพให้แหลกละเอียด พายะที่แม้อยากดึงร่างบางของทิพย์สุคนธาเข้ามากอดมากมายเพียงใดหากแต่ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป

ด้วยรู้แน่ว่าทิพย์สุคนธาคิดเช่นไร…

          “ยิ้มไว้เถิดหนาทิพย์สุคนธา เพียงเห็นรอยยิ้มของเจ้าแลศิคิน ข้าก็ไร้ซึ่งความกังวลใด…”

ร่างของเทพวาโยอันตรธานหายไปในทันที หลงเหลือไว้เพียงสายลมเย็นพัดผ่านร่างของริชาเท่านั้น…

 

“จะเมื่อใดข้าหาหวั่นเกรงไม่ ต่อให้ต้องรับทัณฑ์เพื่อนางเรื่อยไปชั่วนิรันดร์ ก็เทียบกับที่นางดับขันธ์แทนเราไม่ได้เลยมณีดารา เจ้ากลับไปเถิดข้าคงมิได้ส่ง…”

ศิคินหันหลังเดินกลับเข้าภายในวิมานในทันที ก่อนจะร่ายพระเวทป้องกันเสริมทับในส่วนที่มณีดาราทำลายไป

เทพพยากรณ์มองตามแผ่นหลังของเทพอัคคีไปจนสุดสายตา ก่อนจะใช้พลังของตนสัมผัสได้ว่าบนร่างของศิคินนั้นปรากฏกลิ่นอายของชาวแดนมนุษย์ นางนิ่งไปครู่หนึ่งหากแต่แน่แก่ใจแล้วว่าภายในวิมานนั้นต้องมีมนุษย์ผู้นั้นอยู่เป็นแน่ ก่อนจะค่อยๆ หันหลังกลับไปเพื่อคิดหาวิธีเข้าถึงตัวนางเช่นกัน

“แท้จริงแล้วช่วงเวลาที่เราดับขันธ์ไปนั้นเกิดอะไรขึ้นกับนางกัน ท่าทีจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้…”

ริชามองตามผู้เป็นสหายของตนเมื่อครั้งยังเป็นทิพย์สุคนธา ก่อนจะนึกประหลาดใจด้วยปกติแล้วนั้นมณีดาราไม่ใช่คนเช่นนี้แต่อย่างใด

“ริชา…”

คนถูกเรียกสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงของศิคินที่ดังขึ้น ก่อนเขาจะเดินตรงมายังที่ที่เธอกำลังยืนอยู่ในทันที

“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณค่ะ…”

เมื่อได้ฟังเทพอัคคีเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุและเรื่องที่แดนอสุราพยายามจะชิงตัวของริชาและพิภพเพื่อไปยังแดนอสุรานั้น ทำให้หญิงสาวเข้าใจได้ในทันทีว่าตอนนี้ทั้งพ่อและเพื่อนของเธอต้องถูกกักตัวไว้ที่แดนอสุราเป็นแน่

ดวงตาเหม่อลอยมองไปยังท้องฟ้าที่บัดนี้ดวงจันทราและดวงดาวมากมายต่างทอแสงระยิบระยับอย่างงดงาม ถ้าเป็นในยามปกติริชาคงตื่นตาตื่นใจไม่น้อย หากแต่ยามนี้นั้นเธอกลับคิดกังวลไปสารพัดด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนที่อยู่แดนอสุราเป็นอย่างไรบ้าง

“เหตุใดไม่ออกไปหามณีดารา…”

“หากนางเห็นข้าเข้าคงเกิดเรื่องใหญ่อีกเป็นแน่ ข้ายังไม่อยากสร้างปัญหาให้พี่ท่าน…” ริชาตอบเสียงเบา

“กังวลไปไย แดนอสุราหากล้าทำอันตรายพ่อและสหายเจ้าไม่”

“เช่นนั้นจักให้ข้าสบายใจหรือเจ้าคะ”

ศิคินเดินเข้ามาใกล้เธอก่อนจะยืนรับลมอยู่ที่หน้าต่างเช่นกัน ริชาที่มองไปเบื้องหน้าพลางถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนคิ้วงามจะผูกเป็นปมแล้วหันไปมองศิคินในทันที

“คุณอ่านใจฉันได้ ใช่ไหมคะ…”

เทพอัคคีทำได้เพียงพยายามหุบยิ้มด้วยความดีใจ จึงถือเป็นคำตอบของคำถามทั้งหมดก่อนริชาจะยิ้มตามเขาเช่นกัน แล้วรีบเอามือปิดหน้าไว้ด้วยความเขินอาย

“แบบนี้คุณก็รู้แล้วสิว่าฉันจำได้หมดแล้ว!”

“ทีแรกข้าก็ไม่แน่ใจนัก หากแต่เมื่อตอนที่เจ้าแอบมองข้ากับมณีดาราคงเผลอคิดดังไปหน่อย”

ด้วยยังคงชินกับการใช้ภาษาเมื่อครั้งยังเป็นทิพย์สุคนธา เพราะความฝันแห่งความทรงจำที่ผ่านมาช่างแสนยาวนานนักสำหรับริชา เธอเพิ่งรู้ตัวว่าหลงกลศิคินเข้าเต็มประตูเพราะเขาแกล้งทดสอบเธอในขณะที่ใจเหม่อลอยกำลังคิดเรื่องอื่น

“พายะเองก็คงดีใจมากเป็นแน่…”

“พายะหรือพี่ท่านเจ้าคะ ไม่เอาแล้วฉันจะพูดเหมือนเดิม คุณอย่ามาทำให้ฉันเคลิ้มซะให้ยาก…”

“ตามที่คุณต้องการเลยครับ ผมไม่เคยไม่ตามใจคุณอยู่แล้ว…”

เสียงหัวเราะของริชาดังขึ้นในทันทีก่อนศิคินจะค่อยๆ เอื้อมไปจับมือของเธอไว้ทั้งสองข้าง

“คุณอยู่ที่นี่ผมก็เบาใจแล้ว ส่วนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นผมจะเป็นคนจัดการเอง ขอบคุณที่กลับมาหาผมอีกครั้งนะริชา…”

ศิคินดึงร่างบางของริชาเข้ามากอดไว้อย่างอ่อนโยนโดยที่ริชาก็กอดเขาตอบเช่นกัน อ้อมกอดของศิคินบัดนี้แสนอบอุ่นยิ่งนักทำให้ความรู้สึกที่ขาดหายบางอย่างถูกเติมเต็มขึ้นในใจของทั้งสองคนเสียจน  ริชาอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

 

พิภพอสุรา

แสงเรืองรองจากเบื้องหน้าบัดนี้พิภพที่กลับมาได้สติอีกครั้งทำได้เพียงมองไปที่ภาพตรงหน้าเท่านั้น ทิพยอสุรานามยะศิณานั้นกำลังยื่นมือทั้งสองไปยังร่างของวิษณุและชมแพรที่บัดนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก

ทั้งสองดิ้นไปมาอย่างทุกข์ทรมานด้วยไม่อาจทนต่อสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจอาศัยอยู่ได้นี้ ยะศิษาที่ทนดูไม่ได้อีกต่อไปจึงทำได้เพียงบรรเทาพิษที่เกิดจากพลังทิพย์กดทับร่างของมนุษย์ที่แสนบอบบางเท่านั้น

เมื่อใช้พลังของตนไปมากเกินกว่าที่ร่างกายของตนจะรับไหว คนที่สีหน้าดูซีดเผือดนั้นกลับเป็นนางเสียเองด้วยความเหนื่อยอ่อนนั้น จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ หากแต่เรี่ยวแรงที่ใช้ก้าวเดินยังยากลำบากทำให้ยะศิณาล้มพับไปกับพื้นในทันที

พิภพที่เห็นดังนั้นจึงไม่อาจทนต่อไปเช่นกัน เขาจึงลุกจากที่นอนก่อนจะเดินเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมานั่งอีกครั้ง

“ท่าน…”

ยะศิณาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่นางเห็น หากแต่ไร้เรี่ยวแรงในการขยับเช่นกัน

“คุณมานั่งตรงนี้เถอะ…”

“ท่านไม่เจ็บปวดแล้วหรือ” ยะศิณาถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไม่แล้ว คุณพักเถอะผมจะไปดูสองคนนั้นเอง…” พิภพพูดพลางเดินจากไปในทันทีก่อนจะหยุดฝีเท้าลงหากแต่ไม่แม้จะหันกลับมามองสายตาของยะศิณาที่มองตามเขาไม่วางตา

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ช่วยพ่อกับแพร แต่เขาสองคนไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย ถ้าคุณจะเมตตาช่วยพาพวกเขากลับไปยังที่ที่พวกผมจากมาจะได้ไหม…”

พิภพพูดเสียงสั่น หากจะค่อยๆ หันกลับมามองยะศิณาด้วยดวงตาสองข้างที่แดงก่ำ หยาดน้ำตาที่คลออยู่นั้นมองไปที่วิษณุและชมแพร เพราะที่ทั้งสองต้องเป็นเช่นนี้ด้วยสาเหตุนั้นมาจากเขาทั้งสิ้น

“แล้วพวกคุณจะเอาผมไปทำอะไรก็เชิญเลย…”

ยังไม่ทันจะสิ้นคำพูดนั้น ยะษาก็เปิดประตูเข้ามาในห้องทันทีพร้อมๆ กับที่ร่ายพระเวทแล้วจึงพาร่างของมนุษย์ทั้งสามอันตรธานหายไปในทันที

“ท่านพี่ ไม่นะ!”

ยะศิณาร้องห้ามเสียงดังหากแต่ไม่เป็นผล ก่อนจะเร่งหายตัวตามไปในทันทีด้วยรู้ดีแล้วว่ายะษาจะพาพวกเขาไป ณ ที่แห่งใด

 

 “พ่อคะ!”

เสียงร้องของริชาดังขึ้นก่อนเธอจะสะดุ้งตื่น ทำให้เทพอัคคีที่กำลังเข้ากรรมฐานอยู่ที่ห้องพิธีนั้นรีบหายองค์มาที่ห้องนอนของตนในทันที ริชามองไปยังเทพอัคคีอย่างตกใจหากแต่เมื่อรู้ว่าเป็นศิคินจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“ฝันร้ายเหรอครับ”

“ฝันถึงพ่อค่ะ ฉันคงคิดมากไป”

“คุณนอนต่อเถอะ”

ริชายิ้มให้เขาบางๆ ก่อนศิคินจะหันหลังเดินออกจากห้องไปในทันที ริชาที่บัดนี้พลิกตัวไปมาด้วยในหัวยังคงเต็มไปด้วยภาพของวิษณุผู้เป็นพ่อที่ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เพราะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเธอจึงลุกไปหยิบผ้าคลุมไหล่ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อสำรวจตามห้องต่างๆ แทน

ถัดจากห้องนอนไปเล็กน้อย เทพอัคคีกำลังเข้ากรรมฐาน แสงสว่างสีแดงที่ส่องแสงลอดผ่านช่องประตูมานั้นทำให้ริชาชะงักฝีเท้าในทันทีด้วยไม่อยากรบกวนสมาธิของศิคิน หากแต่แสงสีแดงนั้นก็ดั่งเช่นคำเชื้อเชิญก็ไม่ปาน

ริชาเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องพิธีมากขึ้นก่อนจะค่อยๆ เปิดมันออกอย่างเบามือ ร่างของเทพอัคคีที่บัดนี้ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้านุ่งสีขาวเท่านั้น หากแต่เส้นผมที่เมื่อครั้งแรกหลังจากจดจำทุกอย่างทำให้รู้สึกแปลกตาต่างไปจากศิคินที่เธอเคยเห็นอยู่ไม่น้อย

ผมรองทรงอย่างมนุษย์ผู้ชายแต่ดูแปลกประหลาดไม่น้อยหากอยู่ที่แดนสวรรค์นี้ ดวงเนตรยังคงปิดสนิทด้วยเมื่อยามที่เหล่าเทพเข้ากรรมฐานนั้นต่างใช้สมาธิเป็นอย่างมาก แสงสีแดงที่เห็นนั้นเกิดจากรัศมีเทพของศิคินนั้นเองรวมเข้ากับแท่นอัคคีที่อยู่เบื้องหน้า

ริชาที่เพิ่งเคยเห็นแท่นอัคคีเป็นครั้งแรกด้วยรู้สึกแปลกใจและสังหรณ์ใจบางอย่างก็เกิดขึ้น ด้วยอัญมณีสีแดงเพลิงที่อยู่ตรงหน้าศิคินนั้นกลับส่องสว่างสีแดงฉานเช่นกัน เธอไม่รอให้เกิดคำถามค้างคาใจแต่อย่างใดก่อนจะค่อยๆ ใช้ฝ่ามือสัมผัสไปที่อัญมณีนั้น

ดวงตาเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนเจ้าของแท่นอัคคีจะรู้สึกได้ว่ามีผู้สัมผัสมันจึงลืมตาขึ้นมองหากแต่เขานั้นกลับตกตะลึงไม่แพ้กัน

“คุณเข้ามาตอนไหน…” ศิคินถามเสียงเรียบ

ริชาค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแท่นอัคคีช้าๆ ก่อนแสงสีแดงที่ฝ่ามือของเธอจะค่อยๆ หายไปเช่นกัน

“คุณจะบอกฉันเมื่อไหร่…”

น้ำเสียงจริงจังของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านั้น ด้วยรู้ถึงเหตุผลของการที่แท่นอัคคีของเขากลับมาเรืองแสงสีแดงอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เพียงความทรงจำในตอนที่เป็นทิพย์สุคนธาเท่านั้น หากแต่ความรู้จากตำราพระเวทที่เคยศึกษาในอดีตต่างๆ ก็คืนกลับมาแล้วทั้งหมดสิ้น

“ถึงขั้นที่ต้อง…” น้ำเสียงที่ขาดห้วงไปนั้นก่อนริชาจะหันหลังให้กับศิคิน “เตรียมดับขันธ์เลยเหรอคะ”

“แล้วคุณจะให้ผมมองคุณดับสลายไปต่อหน้าต่อตาอีก โดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยเหมือนอย่างที่ผ่านมาเหรอครับ…”

ศิคินตอบเสียงเรียบ หากแต่ในใจเจ็บปวดเพียงใดริชานั้นกลับรู้สึกได้ในทันที ริชาค่อยๆ หันหลังกลับมามองศิคินอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำแล้วจึงทรุดตัวลงแล้วกอดเขาไว้แน่น

“ฉันเองก็ไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาเหมือนกัน”

“มีครั้งหนึ่งคุณเคยพูดกับผมไว้ว่าให้เป็นเพียงอดีตที่ผันผ่านไปหรือกาลข้างหน้าที่เราหาหยั่งรู้ไม่…มีเพียงเวลานี้เป็นเพียงทิพย์สุคนธาและศิคิน หากเป็นดังว่าผมก็จะขอคุณแบบนั้นเช่นกัน”

ศิคินมองไปที่นัยน์ตาของริชาก่อนจะบรรจงจุมพิตลงที่ริมฝีปากบางนั้น แล้วจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากของเขาออกอย่างแผ่วเบา

“ริชา ผมตอบไม่ได้ว่าในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น แต่ในตอนนี้ขอแค่มีคุณอยู่กับผมจะได้ไหม…”

ริชาพยักหน้าน้อยๆ ก่อนน้ำตาจะไหลไม่หยุด เทพอัคคีจึงใช้มือของเขาเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มนั้นอย่างแผ่วเบา สองแขนแกร่งค่อยๆ ช้อนอุ้มร่างบางของริชาก่อนจะตรงไปที่ห้องนอนในทันที

เขาบรรจงวางริชาลงที่เตียงอย่างแผ่วเบา ก่อนตนจะใช้พระเวทเสกอาสนะขึ้นที่ข้างเตียงนั้น ริชามองเขาด้วยความสงสัยก่อนศิคินจะใช้นิ้วจิ้มที่ปลายจมูกของริชาเบาๆ

“อย่างไร…” น้ำเสียงเจือไปด้วยความสดใสนั้นของศิคินก่อนริชาจะส่ายหน้าเบาๆ

“คุณอุ้มฉันมานอน แล้วคุณก็จะนั่งสมาธิเฝ้าฉันเนี่ยนะ”

“ใช่ครับ…”

เขายืนยันเสียงหนักแน่นก่อนริชาจะพยักหน้าอีกครั้ง แล้วจึงทิ้งตัวลงนอนแล้วคลุมผ้าห่มในทันที ศิคินพยายามกลั้นหัวเราะด้วยรู้แล้วว่าตอนนี้ริชากำลังคิดสิ่งใด หากแต่เขานั้นก็ต้องยึดถือเกียรติของธิดาวิมานไวกูณฐ์เช่นกัน ถึงแม้ตอนนี้ริชาจะเป็นมนุษย์แต่เขาก็ไม่อยากจะเอาเปรียบเธอไปมากกว่านี้

“ไม่ใช่ว่าผมไม่คิด คุณไม่รู้อะไรเรื่องผมกับคุณที่ใต้ต้นปาริชาต ตอนนั้นองค์อมรินทร์สั่งสอนผมอยู่ไม่รู้กี่วัน จะมุสาก็ไม่ได้เสียด้วย…”

เสียงของศิคินดังขึ้นในจิต หากแต่คนได้ยินกลับม้วนผ้าห่มห่อตัวเองเสียยกใหญ่ด้วยความเขินอาย

“ศิคิน คุณอยากกลับห้องพิธีไปตอนนี้ไหม ไม่ต้องพูดหมดขนาดนี้ก็ได้”

ริชาตอบกลับเขาเสียงเย็น หากแต่เทพอัคคีกลับหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงพยายามเข้ากรรมฐานต่อในทันที

 

ยามดวงจันทราและดาราจางหายไปนั้น รัศมีสีทองงามเรืองรองอยู่บนท้องนภา อีกทั้งยังละอองแสงสีทองจากหมู่มวลพฤกษาต่างๆ ที่สวนหน้าวิมานทำให้ริชาที่มองออกไปนอกหน้าต่างรู้สึกดีไม่น้อยเพราะนึกถึงภาพในอดีตที่ตนนั้นต้องเดินออกมารับพลังจากเหล่าดอกไม้ในสวน ณ ไวกูณฐ์วิมาน

“ไปวิมานฉิมพลีเหรอคะ”

“ใช่ครับ ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับแล้ว แต่อย่าลืมนะริชา นอกจากพวกผมแล้วไม่มีใครสามารถผ่านมนต์นี้เข้ามาในวิมานได้”

“คุณบอกฉันรอบที่ร้อยแล้ว ไปเถอะค่ะ”

ศิคินค่อยๆ กางแขนออกก่อนจะอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ริชายิ้มให้เขาเช่นกันก่อนจะโผเข้ากอดเขาในทันที

“อายุเท่าไหร่แล้วคุณเนี่ย ยังจะทำเป็นเด็กๆ”

“ต้องไปจริงๆ แล้วนะ เดี๋ยวกลับมาผมจะพาคุณไปหามาลัยแก้ว นางคงดีใจที่ได้พบคุณแน่ๆ”

“จริงเหรอคะ…”

น้ำเสียงของริชาดีใจก่อนศิคินจะหัวเราะเบาๆ จากนั้นร่างของเทพอัคคีก็อันตรธานหายไปในทันที ทิ้งไว้เพียงละอองสีแดงลอยระยิบอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวริชาอย่างงดงาม ละอองพวกนั้นราวกับมีชีวิตด้วยมันหมุนรอบตัวของริชาอย่างเช่นหิ่งห้อยเรืองแสงยามราตรี

“ยังจะเล่นอยู่อีก…” ริชาพึมพำด้วยนึกถึงเสียงหัวเราะของศิคินก่อนจะหายองค์ไปยังฉิมพลี

เมื่อมีเพียงริชาอยู่ ณ วิมานอัคคีเพียงผู้เดียว และด้วยคำกำชับกำชาของศิคินก่อนเขาจะต้องไปหารือกับเหล่าเทพอาวุโส หญิงสาวเดินสำรวจไปทั่ววิมานด้วยไม่มีสิ่งใดให้ทำก่อนจะพบเข้ากับพานสีทองคำที่บัดนี้ถูกวางไว้ที่บนแท่นพิธี หากแต่เมื่อมองเพียงครู่เดียวก็ทราบได้ในทันทีว่าคือมาลัยที่ตนเคยร้อยให้กับศิคินนั่นเอง

มาลัยไม่เหี่ยวเฉาลงเลยแม้แต่น้อย ด้วยกลิ่นหอมของบุหงาที่เธอเป็นผู้บรรจงร้อยนั้นยังคงส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ ละอองแสงสีทองที่ล่องลอยออกมาจากมาลัยนั้นสัมผัสได้ถึงพลังของรัศมีแห่งเทพอัคคี

“เก็บไว้ดีขนาดนี้เชียว ถ้างั้นเย็นนี้ต้องมีพวงใหม่ตามแบบฉบับริชาเจ้าของร้านดอกไม้…”

หากแต่เพียงคิดเท่านั้นก็ปรากฏพานเงินและทองที่มีดอกไม้นานาพันธุ์ขึ้นในทันที ริชายิ้มออกมาอย่างพอใจ

ภายในห้องนี้คือห้องพิธีอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละวิมาน ทำให้ภายในอาณาเขตของห้องนี้นั้นจะคละคลุ้งเข้มข้นไปด้วยรัศมีเทพของผู้เป็นเจ้าของวิมาน ทำให้สามารถดลบันดาลบางสิ่งไม่ว่าจะเป็นเหล่าข้าวของเครื่องใช้สารพัดสารพันที่จำเป็นพื้นฐาน ยังรวมถึงสิ่งที่ใช้ในการประกอบกรรมฐานต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นได้ดั่งใจนึก

หลังจากร้อยมาลัยจนเสร็จริชาก็บรรจงวางมันไว้บนพานข้างๆ มาลัยพวงเดิมอย่างเบามือ เธอมองดูมันด้วยความภูมิใจก่อนจะจินตนาการถึงสีหน้าของศิคินเมื่อกลับมาเห็นพวงมาลัย

“จะต้องยิ้มดีใจแน่ๆ…”

ริชาที่ตอนนี้ยิ้มไม่หุบเช่นกันเพราะเพียงแค่คิดว่าสิ่งเล็กๆ ที่เธอทำให้เขาอาจจะพอบรรเทาความทุกข์ใจต่างๆ ที่มีมานานแสนนานให้เบาบางลงได้บาง

ด้วยความเมื่อยล้าที่นั่งร้อยมาลัยเป็นเวลานาน หญิงสาวจึงเดินออกมารับลมที่หน้าต่างพลางบิดตัวไปซ้ายทีขวาที

“องค์ท่าน!”

เสียงตะโกนด้วยความตกใจดังขึ้นในขณะเดียวกันที่ริชามองออกไปที่ด้านล่างของวิมาน มาลัยแก้วที่บัดนี้กำลังตะโกนเรียกชื่อทิพย์สุคนธาด้วยความดีใจเสียจนริชาเองเมื่อมองเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบวิ่งออกจากวิมานเข้าไปหามาลัยแก้วในทันที

“เป็นเจ้าจริงๆ!”

“องค์ทิพย์สุคนธาเจ้าขา…” มาลัยแก้วพูดพลางสวมกอดริชาในทันทีด้วยความดีใจก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วมองสำรวจไปตามร่างกายของเธอ

“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ แล้วเมืองมนุษย์เป็นอย่างไรลำบากหรือไม่”

“เอาทีละคำถาม ว่าแต่องค์ศิคินบอกเราว่าจะพาเราไปหาหลังจากกลับมาจากฉิมพลี แล้วมาลัยแก้วมาวิมานอัคคีได้ยังไง”

“พาองค์ท่านไปไวกูณฐ์หรือเจ้าคะ หากแต่องค์มณีดาราบอกข้าว่าองค์ศิคินให้ข้ามาพบองค์ท่านที่วิมานนี้”

มาลัยแก้วที่ได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้วในทันทีด้วยนึกสงสัย หากแต่เมื่อมองไปยังพระเวทที่โอบล้อมวิมานอยู่ก็เข้าใจสถานการณ์ได้โดยทันที

“องค์ทิพย์สุคนธาเจ้าคะ เร่งกลับเข้าไปด้านใน เราหลงกล…!”

ยังไม่ทันจะสิ้นคำของมาลัยแก้วนางก็สลบลงไปที่พื้นในทันที ริชาที่เห็นดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงไปดูนางหากแต่พบว่ามาลัยแก้วบัดนี้ไม่มีแม้แต่การตอบสนองใด

“ปลุกนางไปก็เท่านั้น…”

สุรเสียงแว่วหวานดังขึ้นในทันที ก่อนจะพบว่าเทพธิดาในภูษาทรงสีเงินยวงนั้นคือเทพพยากรณ์นามว่ามณีดาราผู้เป็นสหายของนางเมื่อครั้งเป็นเทพนั้นเอง

“กล้ามองเราหรือมนุษย์ตัวน้อย สายตาโอหังเช่นนั้นคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน”

น้ำเสียงที่เย้ยหยันทำให้ริชานึกเสียใจอยู่ไม่น้อยที่เคยรักและนับถือนาง ไว้ใจให้เข้าออกวิมานไวกูณฐ์ได้อย่างอิสระ

“หากเป็นเพียงมนุษย์ก็หามีจิตใจเช่นท่าน นำความนับถือเชื่อใจมาใช้เป็นอาวุธทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้”

“เป็นเจ้าจริงๆ เสียด้วยหนาทิพย์สุคนธา ข้าละสังหรณ์ใจตั้งแต่เห็นต้นปาริชาตทอแสงเมื่อหลายวันก่อน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาได้เห็นธิดาเจ้าวิมานไวกูณฐ์ในสภาพเช่นนี้ ไปกับข้า!”

ร่างของทั้งสองหายไปจากบริเวณนั้นในทันที เหลือเพียงเทพธิดามาลัยแก้วที่ล้มพับไร้สติอยู่ที่กลางสวนเท่านั้น

 

 



Don`t copy text!