ดั่งมนต์สุคนธา บทส่งท้าย : สุคนธาปาริชาต

ดั่งมนต์สุคนธา บทส่งท้าย : สุคนธาปาริชาต

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

หลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์วุ่นวายเหล่านั้นในวันที่ทุกอย่างจบสิ้นลง ร่างของเทพอัคคีปรากฏที่หน้าวิมานของตนหลังจากไม่ได้กลับมาหลายสิบวัน หากแต่เขาเลือกที่จะรั้งรออยู่ด้านหน้า

ศิคินที่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งด้วยเขานั้นไม่ปรารถนาจะมองไปเห็นภาพความทรงจำต่างๆ ที่เต็มไปด้วยริชาและทิพย์สุคนธา…ยามย่างเหยียบก้าวผ่านประตูไปนั้น เงาร่างของผู้ที่เขาแสนเคยคุ้นตาก็ปรากฏขึ้น ริชาที่ยิ้มอย่างร่าเริงวิ่งออกมาก่อนจะโผกอดเขาไว้แน่น

“ทำไมกลับมาช้าจริง ฉิมพลีไกลเพียงนั้นหรือเจ้าค่ะ”

ศิคินนิ่งมองริชาด้วยความตกตะลึง หากแต่กลับกอดเธอแน่นไม่ยอมปล่อย

“ทำไมคะ ไม่คุ้นที่ฉันพูดแบบนี้หรือเพราะฉันแต่งตัวแบบนี้กัน”

ริชาพึมพำก่อนจะมองไปยังเสื้อผ้าของตนที่บัดนี้นุ่งห่มสไบสีอ่อนและผ้าพาดองค์สีแดงเข้มตัดกับผ้านุ่งสีขาวที่ปักด้วยดิ้นสีทองอย่างงดงาม ผมที่เคยมัดเป็นหางม้าตอนนี้รวบเป็นมวยอยู่ที่ด้านหลังและยังมีดอกปาริชาตสีแดงแซมที่มวยผมอย่างงดงาม

กลิ่นหอมจากดอกไม้นั้นหอมฟุ้งไปทั่วก่อนที่ศิคินจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เขาเผลอหลับไปเมื่อใดไม่อาจทราบได้ด้วยห้องพิธีและวิมานอัคคีบัดนี้แสนเงียบสงัด เขายังคงหลับตานิ่งด้วยปรารถนาไม่ให้ฝันดีนั้นจบลงน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลรินนั้นก็ไม่อาจหยุดลงได้

ศิคินพยายามหลับตานิ่งหากแต่ไม่อาจหลับฝันได้อีกครั้ง จึงทำได้เพียงมองนิ่งขึ้นไปที่เพดานของวิมานเท่านั้น กลิ่นหอมของบุหงาที่บัดนี้ยังคงส่งกลิ่นลอยมาตามสายลมด้วยช่างเหมือนกับกลิ่นกายของทิพย์สุคนธาที่เขาพบในฝันยิ่งทำให้เทพอัคคีค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งที่อาสนะ

สายตาคมหยุดนิ่งอยู่ที่มาลัยอีกพวงที่ถูกกรองขึ้นใหม่ เพียงเท่านั้นน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาในทันที ศิคินหยุดมองมาลัยที่ริชาเป็นผู้ร้อยนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจจับมาลัยขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะบรรจงแตะมันที่จมูกของตนอย่างแผ่วเบา

กลิ่นหอมหวานของเหล่าดอกผกานั้นทำให้เขาหวนนึกถึงในวันที่ใกล้ชิดทิพย์สุคนธาในครั้งแรกที่ลานส่งดารา ความคิดถึงที่ถาโถมเข้ามานั้นแสนยากเย็นที่จะทำใจยอมรับได้ว่าบัดนี้นั้นเขาได้สูญเสียนางไปตลอดกาล

ไม่มีอีกแล้ว ร่องรอยของดวงจิตที่ผูกด้วยดวงใจครึ่งหนึ่งของเทพอัคคี ไม่มีอีกแล้วดอกปาริชาตนามทิพย์สุคนธา!

“ศิคิน เร็วเข้า!”

เสียงเรียกอย่างร้อนใจของพายะดังก้องไปทั่ววิมานอัคคี ก่อนเขาจะวิ่งหน้าตั้งเข้ามาภายในห้อง

“อย่างไร…”

“วันนี้ครบรอบร้อยปี ปาริชาตจะผลิดอกอีกครา…” พายะกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจหากแต่เจ้าวิมานอัคคีกลับตอบกลับด้วยสายตาเรียบเฉย

“เจ้าไปเถอะ จะปาริชาตดอกใดก็หาใช่ทิพย์สุคนธา”

น้ำเสียงของเขาเศร้าสร้อยก่อนจะบรรจงวางมาลัยดอกไม้ไว้ที่เดิม ร่างของเทพอัคคีก็อันตรธานหายไปในทันที ทิ้งไว้เพียงองค์วาโยที่ทราบดีว่าการสูญเสียทิพย์สุคนธาในครั้งนี้เพราะนางไร้ซึ่งดวงใจอีกครึ่งของศิคินเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหานางพบเมื่อยามเวียนว่ายในสังสารวัฏ

 

ภายในร้านดอกไม้เล็กๆ บัดนี้มีเพียงหญิงสาวหนึ่งคนที่ยืนอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ร้านอย่างเงียบเชียบ กลิ่นอายแห่งความสูญเสียตลบอบอวลไปทั่วร้านที่บัดนี้เงียบเหงาลง

ชมแพรมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเหม่อลอย หากแต่ยังตัดสินใจทำร้านต่อไปเพราะรู้ดีว่าริชาคงไม่อยากให้เธอเลิกทำงานที่พวกเธอรัก

ศิคินทำได้เพียงเปลี่ยนความทรงจำที่เลวร้ายของวิษณุและชมแพรว่าริชาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เท่านั้น เพราะถึงในตอนนี้พิภพจะจุติกลับมาเป็นองค์ทิพยราพสูรแล้วหากแต่เขาก็ยังคงสามารถไปๆ มาๆ ทั้งสองแดนได้ และเพื่อเป็นการทำให้เพื่อนของตนไม่รู้สึกสูญเสียไปมากกว่านี้นั่นเอง

“สั่งดอกไม้ค่ะ…”

ลูกค้าท่านหนึ่งสวมชุดเดรสสีขาว ใบหน้านั้นเศร้าสร้อยก่อนจะมองไปยังเจ้าของร้านที่มีสีหน้าไม่สดชื่นเท่าใดนัก

“รับแบบไหนดีคะ…”

“เป็นยิปโซสีขาวทั้งช่อเลยค่ะ…”

ชมแพรมองไปยังหญิงสาวที่ตอบเธอด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากแต่ยังฝืนยิ้มให้กับเธอเช่นกัน

“ยิปโซสีขาวแทนการเริ่มต้นใหม่ รักแรกและความบริสุทธิ์นะ…” ชมแพรพึมพำหากแต่ในใจก็นึกตลกตัวเองที่แม้ปากจะปลอบใจลูกค้าแต่ตนเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน

สาวน้อยในชุดเดรสสีขาวจึงยื่นมือไปรับช่อดอกไม้นั้นมาก่อนจะเดินออกจากร้านไป หากแต่ดวงตาของชมแพรกลับมีหยาดน้ำตาเอ่อขึ้นมา

“ริชานะริชา…”

ชมแพรพึมพำขณะที่ถอนหายใจออกมายาวๆ เพื่อขับไล่ความโศกเศร้าแต่จู่ๆ เสียงกระดิ่งที่หน้าร้านก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับสาวน้อยคนเดิมที่เดินกลับเข้ามา

ชมแพรมองภาพตรงหน้าอย่างตั้งคำถาม ก่อนหญิงสาวในชุดเดรสคนนั้นจะก้มลงไปที่ช่อดอกไม้ของตนแล้วหยิบช่อเล็กๆ ออกมา แล้วยื่นให้กับชมแพร

“ไม่รู้หรอกว่าพี่สูญเสียอะไรไป แต่สักวันเราทั้งสองคนน่าจะเริ่มต้นใหม่ในแบบที่เขาอยากให้เป็นได้นะคะ…”

ชมแพรที่ได้ฟังก็นิ่งไปในทันทีก่อนจะรับดอกยิปโซนั้นมา แล้วหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวคนนั้นก็เดินจากไป

“ขอบคุณนะ ริชา…”

น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดังว่าริชาส่งสาวน้อยคนนี้มาปลอบใจเธอก็ไม่ปาน เสียงกระดิ่งของร้านดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับใครสองคนที่ชมแพรแสนคุ้นตา เมื่อเห็นวิษณุและพิภพที่เข้ามาภายในร้านพร้อมๆ กับถุงกับข้าวเต็มสองไม้สองมือ

“ร้องไห้ทำไม มาลูกมากินข้าว…”

วิษณุกล่าวก่อนจะเดินนำไปในครัวหากแต่พยายามไม่ให้น้ำตาหยดลงมาเช่นกันจนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ กับข้าวของโปรดของชมแพรและพิภพที่วิษณุเป็นคนลงมือทำเองกับมือบรรจงจัดวางบนโต๊ะในทันที ข้าวสวยร้อนๆ สามจานที่วางบนโต๊ะและกลิ่นหอมของอาหารที่แสนน่ารับประทานรวมกับเสียงท้องร้องของชมแพรก็ดูพอจะบรรเทาความคิดถึงริชาลงได้บ้าง

“คิดไว้แล้วเชียวว่าไอ้บอสต้องตักแกงจืด…” ชมแพรหัวเราะออกมาในทันทีเมื่อทายใจผู้เป็นเพื่อนได้ถูก

“เอานี่ กินเยอะๆ” วิษณุพูดพลางตักแกงจืดร้อนๆ ให้ชมแพร

“งั้นแพรว่าพ่อต้องอยากกินอันนี้แน่ๆ…”

เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของวิษณุและชมแพรนั้นทำให้ศิคินที่มองอยู่นั้นเบาใจลงได้บ้าง พิภพหรือราพสูรนั้นเมื่อรับรู้ได้ถึงเทพอัคคีที่ยังคงมองพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงพยายามกวักมือเรียก หากแต่ศิคินกลับส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันหลังกลับไปในทันที

“ไว้คราวหน้าเถิด ข้าหาได้ว่างเว้นกิจเช่นเจ้าพิภพอย่างเจ้าหนา…”

ศิคินกล่าว ราพสูรได้แต่กัดริมฝีปากของตนแน่นเพราะไม่ว่ายามใดเทพอัคคีก็มักจะพูดจาไม่เข้าหูเขาเท่าใดนัก แต่จะอย่างไรก็สมกับเป็นศิคินอยู่ไม่น้อย

“มองอะไรไอ้คุณบอส กินข้าวเร็วๆ เลยจะได้ไปยกดอกไม้!”

 

หลายวันที่ผันผ่านไปนั้นช่างยาวนานยิ่งนัก ร่างของเทพอัคคีบัดนี้หลับตานิ่งสนิทอยู่ใต้ต้นปาริชาต หากจะบอกเหล่าสหายอยู่ว่าตนไม่ปรารถนาชมดอกปาริชาตแต่อย่างไร หากกลับแอบมาหลับตานิ่งในยามที่ไร้ซึ่งเทพบุตรและเทพธิดา

ศิคินค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆ กับที่ดอกปาริชาตดอกสุดท้ายนั้นร่วงโรยไปตามสายลม หากแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตนนั้นกลับเป็นมหาเทวีผู้ยิ่งใหญ่

เขาผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะพนมมือถวายบังคมในทันที พระนางศิริลักษมีบัดนี้ใช้ฝ่ามือของตนรองรับดอกปาริชาตไว้หากแต่ก็ไม่มีดอกใดจะปรากฏกายเป็นพระธิดาอย่างเช่นเมื่อวันวาน

“ศิคินเอย เจ้ารั้งรอสิ่งใด…”

สุรเสียงหวานใสดังระฆังแดนสวรรค์กล่าวขึ้นก่อนเทพอัคคีจะไม่อาจหาคำตอบ

“ข้าเพียงหวังเจ้าค่ะ หวังเพียงจะมีดอกหนึ่งที่เป็นทิพย์สุคนธาของข้ากลับคืนมา…” เขาตอบเสียงเรียบหากแต่พึงพอใจพระศิริลักษมีเป็นอย่างยิ่ง

“ถึงแม้จะเกิดมาสูงส่งเพียงใด หากแต่คิดกระทำในสิ่งไม่ดีนั้นคงจบลงอย่างเจ้าวิมานเทวะพยากรณ์ แต่ธิดาเรานั้นนางหาได้กำเนิดขึ้นบนวิมานอย่างพวกเจ้าไม่…”

“อย่างไรหรือเจ้าคะ…”

พระนางไม่ตอบสิ่งใด หากแต่ดอกปาริชาตที่อยู่บนฝ่ามือพระนางนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันหลุดลอยไปตามสายลม

“คำตอบของคำถามนี้พวกเจ้าน่าจักรู้ดีกว่าเราเป็นไหนๆ”

เพียงสิ้นคำนั้นของพระนางลักษมี พระนางก็เสด็จกลับไวกูณฐ์วิมานในทันที ศิคินที่นำคำกลับมาคิดได้เช่นนั้นดวงตาก็เบิกโพลงออกด้วยความตกใจ เพราะเหมือนดั่งว่าพระนางกำลังชี้นำบางสิ่งให้กับตน

ไม่ทันจะสิ้นความคิด แสงสว่างจากร่างใครผู้หนึ่งก็ปรากฏที่ใต้ต้นปาริชาตในทันที ร่างกำยำในอาภรณ์สีเข้มบัดนี้อยู่เบื้องหน้าของต้นไม้ทิพย์อีกครั้ง ราพสูรมองไปยังต้นปาริชาตที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความปีติยินดียิ่งก่อนศิคินจะวิ่งหน้าตั้งตรงมาที่เขา

“เก็บอาการเสีย เจ้าเป็นเทพอัคคีไม่ใช่หรือ”

“เจ้ามาได้อย่างไร…”

เสียงถอนหายใจดังชัดกว่าคำตอบ หากแต่ทิพยอสุรากลับยิ้มบางๆ

“เสียแรงโง่เง่าเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าใช้คำว่าเจ้าก็คือตัวข้า…ระอาจริงๆ”

อย่างไรเขากับศิคินเองก็คือส่วนหนึ่งของกันและกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้ราพสูรสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของศิคินได้เป็นครั้งคราวเมื่อยามที่เขาต้องการ

เมื่อได้ยินที่ศิคินคิดหลังจากได้ฟังคำของพระลักษมี ตนจึงเร่งมาที่นี่ในทันทีเช่นกัน

“พบกันอีกครั้งแล้วหนาเจ้าต้นไม้ทิพย์…”

ราพสูรกล่าวขึ้นก่อนจะใช้ฝ่ามือของตนสัมผัสไปที่ต้นปาริชาตนั้น ดังการมาของทิพยอสุราผู้เป็นดั่งที่มาของกงล้อแห่งโชคชะตาที่หมุนไปมานี้ ต้นปาริชาตก็ส่องแสงเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง

แสงสีแดงฉานราวแก้วประพาฬที่อยู่เบื้องหน้านั้นเรืองรองสว่างไปทั่วอุทยานบุณฑริกวัน ก่อนจะปรากฏดอกไม้ดอกเล็กดอกหนึ่ง ที่กลีบดอกของมันบางใสราวแก้วมณีสีแดงล่องลอยมายังฝ่ามือขององค์ราพสูรในทันที

ราพสูรที่เห็นดังนั้นจึงใช้ฝ่ามือของตนรับดอกปาริชาตนั้นไว้ ก่อนจะมองไปยังดอกไม้นั้นพลางก้มลงกระซิบบางสิ่งอย่างแผ่วเบาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ศิคินมองการกระทำนั้นอย่างตกตะลึงหากแต่ไร้แสงสว่างใดจากดอกปาริชาตเมื่อยามราพสูรค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ และมองไปยังเทพอัคคีที่อยู่ข้างๆ ตน

“รับไป ทิพย์สุคนธาของเจ้า…ศิคิน”

ราพสูรพูดพลางส่งดอกปาริชาตสีแดงที่อยู่ในมือของเขาไปที่ฝ่ามือของเทพศิคินในทันที เทพอัคคีมองดอกปาริชาตดอกเล็กที่อยู่ในมือของตนด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ก่อนจะตั้งมั่นด้วยดวงจิตและเปลวไฟแห่งชีวิตของเขาไปยังดอกปาริชาตในมือนั้นเอง

สายลมพัดพานำดอกไม้ทิพย์ขึ้นไปยังบนท้องนภานั้น ก่อนแสงสว่างที่เจิดจ้าจะส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ดอกปาริชาตนั้นจึงค่อยๆ ปรากฏเป็นรูปร่างของใครผู้หนึ่งที่เขาคุ้นตา…

เทพอัคคีที่เมื่อเห็นดังนั้นจึงทะยานขึ้นไปกอดร่างบางไว้ในอ้อมกอดทันที ดอกปาริชาตที่ผลิบานขึ้นด้วยพลังขององค์ราพสูรแต่หากครานี้กลับจุติด้วยไฟแห่งเทพอัคคี

แสงสว่างค่อยๆ จางหายไปเหลือเพียงทิพย์สุคนธาที่กอดศิคินไว้แน่นเช่นกัน ราพสูรมองภาพตรงหน้าด้วยความสุขใจก่อนจะค่อยๆ กลับหันหลังช้าๆ แล้วออกเดินไปข้างหน้าไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ

“เมื่อครั้งที่เราเป็นพิภพของเจ้า เราเคยอธิษฐานให้ได้อยู่เคียงเจ้าตลอดไป…”

เสียงนุ่มก้มลงไปกระซิบเบาๆ ที่ดอกปาริชาตในฝ่ามือของตน หากแต่ทิพย์สุคนธาในร่างของดอกไม้ทิพย์นั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน

“ความเชื่อที่ว่าหากบอกคำอธิษฐานของตนกับผู้ใดแล้วคำอธิษฐานนั้นจะไม่มีวันเป็นความจริง ดูท่าข้าคงเป็นคนผู้นั้นเสียแล้วทิพย์สุคนธา…”

รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นนั้น แม้ในวันนี้ไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ทั้งความรักและความหวังดีที่พวกเขามีต่อกันก็จักคงอยู่เช่นนี้เรื่อยไปชั่วกาล

“เจ้าปาริชาตเอย บัดนี้เจ้าจักร่วงหล่นไปที่ใด ก็ขอให้ที่แห่งนั้นเป็นที่ที่เจ้าสุขใจเถิดหนา!”

ราพสูรกล่าวขึ้นในจิตของทิพย์สุคนธาพลางนางก็มองไปที่แผ่นหลังของเขาที่กำลังห่างออกไปก่อนจะเหลือเพียงรัศมีทิพยสีทองอร่ามตาเท่านั้น มันเลือนรางไปตามสายลมอย่างเงียบงันหากแต่งดงามเสมอมา

เทพอัคคีที่บัดนี้กอดนางแน่นไม่ยอมปล่อยก่อนจะผละออกช้าๆ แล้วมองไปที่ใบหน้าที่กำลังยิ้มให้เขาเช่นกัน

“อย่างไรเจ้าคะ…”

น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยและรอยยิ้มหวานที่อยู่เบื้องหน้า อีกทั้งสัมผัสที่ปลายนิ้วที่โอบเอวบางไว้นั้นทำให้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าศิคินไม่ได้กำลังฝันอยู่

“ต่อแต่นี้ทิพย์สุคนธา นับชั่วกาลนี้…เทพอัคคีศิคินจะมีเพียงทิพย์สุคนธาผู้เดียว…”

แสงสีแดงของต้นปาริชาตเรืองรองขึ้นดังฉากหลังนั้น ก่อนเทพอัคคีจะค่อยๆ ประทับริมฝีปากของตนอย่างช้าๆ ลงที่ริมฝีปากนั้นของทิพย์สุคนธาอย่างแผ่วเบาและสุขใจ

บัดนี้ไร้ซึ่งความยึดติดใดให้ตั้งมั่นแบกรับไว้ที่เพียงผู้ใดผู้หนึ่งอีกต่อไป เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ทุกผู้แล้วว่า นับแต่นี้ความสงบสุขจะผลิบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวนไปตามสายลมแห่งกาลเวลาตลอดสิ้นกาลนาน

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!