ตอนที่ 9
โดย : สำสา
เรื่องหลังโรงพยาบาล เรื่องสั้นโดย สำสา คุณหมอผู้ชื่นชอบการสื่อสารเเละถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตเเละธรรมชาติออกมาเป็นงานศิลปะ และครั้งแรกของเขากับงานเขียนในรูปแบบเรื่องสั้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านกัน เรื่องราวของ ‘หมอบุญเสก’ เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับและการตายที่อาจมีเงื่อนงำ
ผมยืนอยู่หน้าบ้านพักแพทย์หลังนั้น
บ้านขนาดย่อมสองชั้นด้านล่างก่อด้วยอิฐฉาบปูนด้านบนเป็นไม้กระดาน ตอนนี้ถูกทาสีใหม่เป็นสีขาว บริเวณโดยรอบปลูกต้นเข็มดอกสีส้มถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ด้านหลังตัวบ้านยังมองเห็นป่ายางซึ่งดูค่อนข้างโปร่งผลัดใบ ถัดไปมีบ้านอีกสองหลังขนาดใกล้เคียงกันแต่สีดูเก่ากว่าอย่างชัดเจน ประตูหน้าต่างของบ้านหลังสีขาวนี้ถูกปิดไว้อย่างมิดชิด มีสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่ก็คือกุญแจสายยูที่คล้องประตูอยู่ตรงหน้าบ้าน แต่บ้านเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีสม่ำเสมอ
ผมกลับมาจังหวัดนี้อีกครั้งนึงหลังจากงานศพของบุญเสกเมื่อปีที่แล้ว มันเป็นเวลาสามเดือนหลังจากความฝันครั้งสุดท้ายที่บุญเสกเข้ามาทักทาย
หลังจากมาช่วยงานคณะวิจัยด้านระบาดวิทยาในจังหวัดใกล้ๆ อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็ม ผมได้ขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาเดินทางมาที่โรงพยาบาลอำเภอแห่งนี้โดยบอกกับอาจารย์ว่าขออนุญาตไปเยี่ยมเพื่อน
ผมเดินเลยบ้านหลังนั้นไป บ้านหลังที่สองเหมือนจะมีคนอาศัยอยู่ ผมเห็นรถจักรยานคันเล็กๆ จอดอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้าน เดินเลยไปอีกไม่กี่ก้าวก็พบว่ามีลุงร่างเล็กคนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ข้างบ้าน
“สวัสดีครับ”
สอบถามได้ความว่าลุงเป็นญาติที่มาช่วยงานเจ้าของบ้านหลังนั้น ซึ่งน่าจะเป็นเภสัชกรประจำโรงพยาบาล หลานชายของลุงเพิ่งจบมาทำงานได้ไม่กี่เดือน ส่วนบ้านสีขาวหลังแรกนั้นเป็นบ้านของผู้อำนวยการซึ่งแกก็ไม่เคยเข้ามาอยู่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนปัจจุบันเป็นแพทย์จากอำเภอติดกัน ถูกส่งมารักษาการ โดยปกติแกก็ไม่ค่อยได้เข้ามาโรงพยาบาล ส่วนบ้านหลังในสุดเป็นของพ่อบ้านโรงพยาบาลซึ่งให้ลูกน้องอาศัยอยู่ ตัวแกมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในอำเภอ
ผมเดินลึกเข้าไปจึงเห็นว่าบ้านหลังสุดท้ายก็เหมือนจะปิดสนิทและดูรกร้างกว่าบ้านหลังอื่นๆ
แม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่อากาศในเวลานั้นทำให้ดูเหมือนเป็นช่วงเย็น แสงอาทิตย์หุบหาย ด้วยเมฆฝนที่เริ่มแผ่คลุม บรรยากาศคุ้นเคยของทางใต้ ยามใดที่เราเห็นฟ้าหลัวแบบนี้สักพักจะมีปรอยฝนตามมา
อากาศเริ่มเย็นลง แล้วฝนก็เริ่มตกลงมาจริงๆ ผมเดินย้อนกลับมาที่บ้านของบุญเสก หยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เอามือจับกุญแจสายยู เคาะกับประตูสามครั้ง แล้วผมก็อธิษฐานถึงเพื่อน
‘กูมาส่งมึงนะโว้ย ไปเกิดใหม่ได้เเล้ว ไม่ต้องมาเข้าฝันกูอีก’
ฝนเริ่มเม็ดใหญ่
ผมเดินกึ่งวิ่งออกมาตามถนนโรยกรวดเส้นด้านหลังโรงพยาบาล แล้วหาทางลัดเลาะไปด้านหน้าโรงพยาบาล โชคไม่ดีวันนี้เป็นวันหยุด เหลือคนทำงานอยู่ในโรงพยาบาลไม่กี่คน ซึ่งจะทำให้การมาของคนแปลกหน้าแบบผมจะเป็นที่สนใจและเห็นได้ชัด ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะมีใครที่ไม่ถูกใจกับการมาจุ้นจ้านถามหาเรื่องราวของเพื่อนที่ตายไปเเล้วหรือเปล่า
ด้านหน้าโรงพยาบาลมีรถจอดอยู่สองคัน มีญาติคนไข้ 4-5 คน นั่งออกันตรงบริเวณทางเข้าโรงพยาบาล ผมเดินผ่านเข้าไปยิ้มพยักหน้าทักทายชาวบ้านกลุ่มนั้น
ผมเดินเข้าไปหน้าห้องที่คาดว่าคงเป็นห้องฉุกเฉิน มีพนักงานแต่งชุดขาวซึ่งน่าจะเป็นพยาบาลอยู่คนนึง และพนักงานชุดสีเหลืองซึ่งก็น่าจะเป็นผู้ช่วยพยาบาล พยาบาลดูเหมือนจะกำลังยุ่ง เดินเข้าออกอยู่กับการดูคนไข้ที่อยู่หลังม่าน ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปข้างในห้องกล่าวทักทายน้องผู้ช่วยซึ่งกำลังก้มหน้าเขียนเอกสารอะไรบางอย่าง
“สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของหมอบุญเสกครับ”
ผู้หญิงในชุดกระโปรงสีเหลืองมีท่าทางสะดุ้งตกใจ เงยหน้าขึ้นมาทันทีตามเสียงทักทาย เธอเป็นหญิงในวัย 20 ต้น หน้าตาสวยคมเข้ม ตาโตของเธอดูโตจนน่ากลัวเมื่อเธอลุกขึ้นยืนจ้องผมพร้อมตอบกลับมาว่า “เข้ามาได้ยังไง ไปรอข้างนอก”
ผมตกใจกับท่าทีที่ตอบกลับของเธอจนต้องรีบถอยออกจากห้อง มายืนอยู่นอกประตูทางเข้า เธอหันหลังกลับเข้าไปในห้องแล้วเปิดม่านคุยอะไรสองสามคำกับพยาบาลที่อยู่ด้านใน ไม่นานพยาบาลคนนั้นก็เดินออกมาหน้าห้องพร้อมกับบอกผมว่า
“คุณหมอต้องการอะไรมาพรุ่งนี้ดีกว่า” เธอคนนี้ดูมีท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่า
“มีอะไรที่อยากรู้ให้ถามจากพ่อบ้านดีกว่าค่ะ”
ผมคุยกับพยาบาลอยู่ได้ไม่กี่คำ ทันใดนั้นสาวตาโตในชุดเหลืองก็เดินนำชายวัยกลางคนในชุดสีกากีเเบบข้าราชการแต่ชายเสื้อหลุดลุ่ยอยู่นอกกางเกง เเกตะคอกใส่ผมด้วยภาษาถิ่นแบบห้วนๆ ซึ่งไม่ว่าใครก็คงจะเดาออกด้วยอารมณ์ของน้ำเสียงว่าแกต้องการให้ผมรีบออกจากโรงพยาบาล
ผมพยายามตอบกลับและชี้แจงด้วยภาษาใต้
“ผมแค่ผ่านมาแถวนี้ เพื่อนเป็นผออออยู่โรงบาลนี้ก็เลยแวะมาหา”
เมื่อเห็นการตอบรับของคนเหล่านี้ ผมเลยจำเป็นต้องทำทีเป็นไม่รู้เรื่องการตายของเพื่อน
“เเกตายเเล้ว เป็นปีเเล้ว มีไหรมาคุยพ่อบ้านพรุ่งนี้ตะ” ชายชุดสีกากีตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง แต่สังเกตจากน้ำเสียงและกิริยา แกน่าจะดื่มเหล้าในระหว่างทำงาน
แกเดินตามผมกึ่งบังคับจนออกจากรั้วโรงพยาบาล
คิวรถแท็กซี่ที่จะเดินทางกลับอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล ผมใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีตอนขามา แต่ในขากลับถนนเฉอะแฉะ ฝนยังตกอยู่ทำให้การเดินกลับไปที่คิวรถเป็นไปด้วยความลำบาก
เสียงมอเตอร์ไซค์ตามหลังผมมาพร้อมกับเสียงกดแตรสองสามครั้ง มีเสียงพูดของผู้หญิงที่เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่
“หมอขึ้นรถมา พี่ไปส่ง”
พยาบาลคนเมื่อครู่นั่นเอง เธอสวมเสื้อกันฝนสีฟ้ามองไม่ออกว่าชุดด้านในเป็นชุดพยาบาล
ผมรีบขอบคุณแล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้าย เสียงฝนตกและบรรยากาศเปียกปอนทำให้เราไม่สามารถคุยอะไรกันได้เลยบนรถมอเตอร์ไซค์ ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 3 นาทีเธอก็ชะลอรถลงก่อนจะถึงคิวรถแท็กซี่ประมาณ 100 เมตร เธอจอดรถแล้วหลบเข้าไปตรงชายคาบ้านใกล้ๆ
ผมวิ่งตามไป ทีนี้ผมได้ยินเสียงเธอชัด
“หมอต้องไม่บอกใครนะว่ามาเจอพี่”
พูดจบเธอก็ยื่นซองสีขาวสองซองให้ผม
ไม่ทันที่ผมจะกล่าวอะไรหรือกระทั่งขอบคุณ เธอรีบกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งสตาร์ตเครื่องรออยู่ เลี้ยวรถกลับหลังไปในทิศทางเดิมที่เธอขับมา ผมยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร
ซองสีขาวซองแรกไม่มีจ่าหน้าซอง ด้านในมีกระดาษหนึ่งแผ่นเขียนด้วยลายมืออย่างรีบร้อน อ่านยาก ความยาวประมาณเจ็ดแปดบรรทัดไม่ได้ลงชื่อผู้เขียน มีการพูดถึงตำรวจหนึ่งนายและชื่อแพทย์หนึ่งท่าน พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ผมเดาว่าจดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายของพยาบาลคนเมื่อครู่ ที่รีบเขียนอะไรบางอย่างมาให้ผมนั่นเอง
ซองสีขาวอีกซองดูเก่ากว่า สภาพผ่านการพับเก็บมานาน ผมเปิดออกพบหน้าซองเขียนว่า
“ถึงพี่บุญ…จากน้อยหน่า”
ผมนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ระหว่างจังหวัด
ผมกำลังอยู่บนเส้นทางที่หมอบุญเสกใช้อยู่เป็นประจำในการเดินทางกลับไปพบน้อยหน่า
ในมือผมตอนนี้มีหลักฐานสำคัญสองชิ้นที่จะปะติดปะต่อให้รู้ว่าบุญเสกตายได้อย่างไร