แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 16 : ขอแค่นี้…

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 16 : ขอแค่นี้…

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

งานศพของปรีดาถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามที่ได้ขอไว้ก่อนจะจากไป บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสงบและเงียบงัน ในวัดที่จัดพิธีมีเพียงญาติพี่น้องและคนรู้จักไม่กี่คนเท่านั้นที่มาร่วมงาน ทุกคนที่มาร่วมต่างเดินทางมาเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย ตามประสงค์ของผู้วายชนม์ที่ไม่ต้องการสร้างภาระหรือความวุ่นวายให้กับใคร แม้ในยามสุดท้ายของชีวิตก็ยังเลือกสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด

และสำคัญคือปรีดาต้องการให้สวดพระอภิธรรมแค่คืนเดียวเท่านั้น ด้วยไม่อยากให้คนที่รักต้องเหนื่อยกับการจัดการงานหรือมาสิ้นเปลืองเวลาชีวิตมากเกินไปกับพิธีการต่าง ๆ อย่างที่เคยได้บอกกับจิตบุณย์ไว้ว่า ‘แค่จัดงานให้เรียบง่าย ให้ทุกคนได้มาลาก็พอแล้ว’ และตามคำขอนั้น ทุกอย่างจึงถูกจัดขึ้นอย่างกระชับ ด้วยความเชื่อที่ว่าการจากลาไม่จำเป็นต้องเป็นภาระ แต่ควรเป็นช่วงเวลาที่ควรจะเป็นการปล่อยวางและทำให้ได้ลากันอย่างสงบ

อีกด้านของงานกัลย์กมลและดลฤดีต่างคอยช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมสิ่งของ จัดการรายละเอียดต่าง ๆ ของงาน รวมถึงการต้อนรับแขกผู้มาไว้อาลัย ทุกอย่างก็เพื่อปรีดาและช่วยแบ่งเบาภาระของจิตบุณย์ ซึ่งมีหน้าที่ที่ต้องทำมากมาย อีกทั้งยังต้องเข้มแข็งในช่วงเวลาที่ควรจะเสียใจที่สุด ทั้งสองจึงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยล้า แม้จะเห็นได้ชัดว่าเขากำลังเก็บความเศร้าไว้ข้างใน แต่ชายหนุ่มก็ยังคงนิ่งและไม่แสดงอารมณ์ออกมามากนัก

ระหว่างที่งานยังคงดำเนินต่อไป กัลย์กมลก็ไม่อาจละสายตาจากจิตบุณย์ได้ เธอสังเกตเห็นถึงความเหนื่อยล้าภายใต้ท่าทางสงบนิ่งของเขา แม้จิตบุณย์จะพยายามทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและดูเหมือนควบคุมตัวเองได้ แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังเผชิญกับความเศร้าลึก ๆ อยู่ภายใน ความรู้สึกสูญเสียย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือได้ในทันที ทุกครั้งที่มองไปที่จิตบุณย์ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเขาจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร เธออยากช่วยแบ่งเบาความรู้สึกนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี

“แม่…” กัลย์กมลเอ่ยขึ้นหลังจากการสวดอภิธรรมเสร็จสิ้น และยังคงช่วยเตรียมของสำหรับงานฌาปนกิจในวันรุ่งขึ้น

“ว่าไงจ๊ะลูกสาว”

“หนูดีห่วงความรู้สึกของพี่บุ๋นจัง ตั้งแต่เช้ามาเขาก็นิ่งแบบนี้ตลอดเลย” เธอพูดด้วยความกังวล โดยที่สายตายังจับจ้องไปที่จิตบุณย์ซึ่งกำลังจัดการเรื่องต่าง ๆ โดยไม่พูดอะไรมาก

คนถูกถามมองดูลูกสาวที่ยังคงห่วงใยจิตบุณย์ด้วยความเข้าใจ ก่อนจะบอกกับเธอ

“ไม่ลองไปคุยกับเขาหน่อยล่ะ”

“ไม่ดีกว่า หนูดีกลัวหน้าแตก”

ดลฤดีแอบยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอื้อมมือไปโยกหัวกัลย์กมลเบา ๆ เป็นการสื่อสารอย่างนุ่มนวลว่าเข้าใจในสิ่งที่ลูกกำลังเผชิญ

“บางที เขาอาจไม่รู้ว่าต้องแสดงออกยังไงก็ได้นะ”

 

คำพูดปลอบใจนั้นทำให้กัลย์กมลมีแรงใจขึ้นมา ท้ายที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินไปหาจิตบุณย์ ถึงแม้จะรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่เธอก็หยิบน้ำเปล่าติดมือไปด้วยเพื่อแก้เขิน

“พี่บุ๋นคะ น้ำค่ะ” เธอบอกพลางยื่นขวดน้ำให้กับเขา

ส่วนคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานก็รับน้ำมาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

“ขอบใจนะ”

พอจิตบุณย์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร จะหันไปหาแม่ แม่ก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว กัลย์กมลจึงระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ อย่างเช่น

“ทำอะไรอยู่เหรอคะ”

“กำลังเขียนประวัติของแม่ กับรายชื่อแขกที่จะให้ขึ้นถวายผ้าให้น้าฤดีอยู่น่ะ พรุ่งนี้พี่จะบวชหน้าไฟให้แม่ คงไม่มีเวลาทำอะไร เรื่องจัดการงานยังไงก็ต้องรบกวนหนูดีกับน้าฤดี”

น้ำเสียงอันสงบนิ่งเหมือนกับท่าทางตอบกลับมา นี่เหมือนจิตบุณย์คนที่เธอรู้จักมาหลายปีก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เขาแทบไม่เหลือคราบชายหนุ่มผู้อ่อนโยนและใจดี คนที่เป็นที่พึ่งให้เธอยามทุกข์ หรือผู้ชายที่แสนนุ่มนวลผู้หลงใหลการปลูกต้นทานตะวันแคระเลยสักนิด มีก็เพียงแต่สายตาเรียบเฉย ใบหน้าเคร่งขรึมที่อยู่แต่กับงานของตัวเองจนดูเหมือนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น

ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงคุยกับเขาต่อ

“หนูดีเต็มใจค่ะ ป้าดาก็เหมือนแม่ของหนูดีอีกคนด้วย” ถึงจะไม่ใช่เวลาแต่พอคิดถึงประโยคที่ตัวเองพูด มันก็อดไม่ได้ที่จะนึกประหม่าว่าตัวเองอาจพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไป “เอ่อ…หนูดีหมายถึง…”

แต่แล้วเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจิตบุณย์ก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบสงบที่อึมครึมอยู่แต่แรก ก่อนจะหันมามองเธอ

“ไม่ต้องแก้ตัวหรอก พี่เข้าใจ”

หญิงสาวที่ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้น เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขายังคงผ่อนคลายได้ในช่วงเวลาที่หนักหนา หรือไม่แน่ว่าเขาอาจรับรู้ถึงความจริงใจที่กัลย์กมลมีให้ เธอจึงรวบรวมความกล้าแล้วถามเขาต่อ

“ว่าแต่…พี่บุ๋นโอเคแล้วใช่ไหมคะ”

ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังถามตัวเองก่อนจะพยักหน้า

“อืม…โอเคแล้ว อย่าลืมสิพี่กับแม่เตรียมตัวเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมาพี่ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อแม่ ส่วนแม่ก็ได้จากไปในแบบที่อยากเป็น ไม่มีเรื่องอะไรให้พี่ต้องเสียใจอีก” เขาตอบเธอแล้วแอบเม้มปากเล็ก ๆ เหมือนจะสะกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้

แน่ทีเดียวว่ากัลย์กมลมองเห็นสิ่งนั้น แต่ก็ไม่อยากก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเขามากไปกว่านี้

“ถ้ามีอะไรพี่บุ๋นคุยกับหนูดีได้นะคะ”

“พี่ไม่เป็นไร ขอบใจหนูดีมากนะ”

กัลย์กมลมองหน้าจิตบุณย์อย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขาพูดออกมาด้วยท่าทางที่ดูสงบ เธออยากแบ่งเบาความรู้สึกของเขา อยากให้เขารู้ว่าไม่ต้องแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูแน่วแน่ หญิงสาวก็รู้สึกว่าบางทีจิตบุณย์อาจยังไม่พร้อมเปิดใจเต็มที่ แต่ถ้าเธอไม่พูดอะไรออกมาตอนนี้ อาจไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงความห่วงใยอีก

“อันที่จริง หนูดีก็ไม่รู้จะคุยกับพี่บุ๋นยังไงเหมือนกันค่ะ แค่รู้สึกว่าอยากอยู่เป็นเพื่อน อยากเป็นกำลังใจให้ อยากให้พี่บุ๋นรู้ว่าหนูดียังอยู่ตรงนี้เสมอ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนเกินไป ถ้ามีอะไรก็บอกได้เสมอนะคะ หนูดีไม่กวนแล้ว”

หญิงสาวพูดเสร็จแล้วเตรียมเดินออกไป แต่จิตบุณย์กลับลุกขึ้นมากะทันหัน

“หนูดี…”

หญิงสาวหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา เธอก็รู้สึกถึงอ้อมแขนของจิตบุณย์ที่โอบรัดตัวเองแน่น ฝ่ามือของเขาประคองศีรษะที่มีหมวกคลุมไว้เบา ๆ และพอที่จะทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่เขาไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ความเศร้า ความกังวล และความขอบคุณที่มีต่อเธอ

“เอ่อ…พี่บุ๋น…” เธอกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงงงวยขณะที่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น ใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไป แต่เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าจิตบุณย์ต้องการเพียงใครสักคนที่จะอยู่ข้างเขาในเวลานี้

“พี่ขอแค่นี้แหละ…ขอบใจนะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ในเวลาที่เธอยังคงต้องอยู่กับการรักษา เธอก็ยังแสดงความเป็นห่วงเขา และเป็นคนหนึ่งที่คอยเคียงข้างไม่ห่าง ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าจะขอบคุณเธออย่างไร

“ค่ะ…” กัลย์กมลยิ้มบาง ๆ แล้วกอดตอบ แม้ในใจจะแอบเขินอยู่หน่อย ๆ แต่เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเศร้าที่จิตบุณย์กำลังซ่อนอยู่

ทั้งสองยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งกัลย์กมลเริ่มรู้สึกถึงความกระดากอายมากขึ้น อีกทั้งความกังวลว่าแม่จะมาเห็น เธอจึงใช้มือเคาะบ่าเขาแล้วพูดขึ้นมาเบา ๆ

“คือ…พี่บุ๋นคะ ตอนนี้เราอยู่ในวัดนะคะ”

“ขะ…ขอโทษ” จิตบุณย์ผละออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมองใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาที่เริ่มมีสีแดงกระจายขึ้นที่แก้มอย่างขัดเขิน

กัลย์กมลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะขอตัวแล้วเดินจากไป ด้วยใบหน้าแดงซ่านจากความเขินอาย ทว่าในใจกลับรู้สึกโล่งอกที่อย่างน้อยก็ได้อยู่เป็นเพื่อนและช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น

 

งานฌาปนกิจของปรีดาผ่านไปได้ด้วยดีตามความปรารถนาของผู้วายชนม์ ทุกอย่างดำเนินไปเรียบง่ายและสงบ โดยมีบุตรชายคนเดียวอย่างจิตบุณย์ทำหน้าที่บวชหน้าไฟ พร้อมกับมอบให้ดลฤดีเป็นแม่งานทุกอย่าง เสร็จสิ้นจากงานแล้วชายหนุ่มก็ยังไม่แสดงความเศร้าออกมาให้เห็นชัดเจนนัก แต่กัลย์กมลก็ยังสามารถจับความรู้สึกเศร้าเหล่านั้นได้จากแววตาของเขา

ผ่านไปช่วงไม่กี่วันแรกเธอคิดว่าจิตบุณย์อาจต้องใช้เวลาในการทำใจและฟื้นตัวสักพัก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วเกินคาด และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนอย่างที่เคยบอกว่าเขาไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจเรื่องการจากไปของปรีดาอีกแล้ว

ซึ่งตอนนี้ศีรษะของจิตบุณย์ก็ไร้ซึ่งผมและคิ้วจากการบวชหน้าไฟ ทำให้กัลย์กมลรู้สึกว่าเธอมีเพื่อนไร้ผมอีกคนที่อยู่เคียงข้างกันอย่างอบอุ่น ชายหนุ่มไม่เพียงแค่ฟื้นตัวจากการสูญเสียได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังอาสามาเป็นคนพากัลย์กมลไปหาหมอในเวลาที่เธอต้องเข้ารับตรวจการรักษาด้วย

และพอมาถึงโรงพยาบาล การเดินคู่ไปด้วยกันทำให้ทั้งสองดูเหมือนเงาสะท้อนของคนที่สวมหมวกแบบเดียวกัน กลายเป็นความขบขันรวมถึงแฝงความอุ่นใจให้กับหญิงสาวอีกด้วย

“พี่บุ๋นรอตรงนี้ก็ได้ค่ะ ข้างในคนเยอะ เดี๋ยวจะอึดอัด” กัลย์กมลบอกอย่างเกรงใจ เหตุเพราะเธอไม่อยากให้เขาลำบากไปกับการรอในพื้นที่ที่คนแน่น

“โอเค เดี๋ยวพี่รอแถวนี้แหละ หนูดีแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรที่จะให้พี่ช่วย” ชายหนุ่มยังคงถามต่อด้วยความห่วงใย แล้วยื่นขวดน้ำเปล่าไว้ให้เธอจิบระหว่างรอพบแพทย์ไปด้วย

ส่วนคนที่มาโรงพยาบาลจนชิน พอได้ยินเขาถามก็ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ

“โธ่…ปกติหนูดีก็ช่วยตัวเองประจำอยู่แล้วค่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”

“ก็ได้ มีอะไรก็โทรหาพี่นะ แต่อย่าลืมล่ะ เที่ยงนี้พี่เป็นคนเลี้ยงข้าว โอเคไหม” จิตบุณย์ย้ำชัดถึงความต้องการตัวเอง ด้วยคราวที่แล้วเธอเป็นฝ่ายเลี้ยงเขา พอสบโอกาสเขาจึงไม่รอช้าที่จะเลี้ยงเธอตอบ

“โอเคค่ะ…”

กัลย์กมลยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ ‘โอเค’ ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือที่ประสานกันเป็นวงกลม ในขณะที่อีกสามนิ้วยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามารอพบหมอตามขั้นตอนปกติ

“แน่ะ หนูดี…วันนี้มากับใครจ๊ะ” จงจิตที่นั่งรออยู่กับสมาคมคนรักษามะเร็งเต้านมถามด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเดินมากับชายหนุ่มหน้าตาดีก่อนจะแยกกันไป

“พี่ข้างบ้านค่ะ”

เธอตอบแบบที่พยายามให้ดูปกติ แต่ปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายตอบสนองนั้นดูไม่ค่อยเชื่อเธอเท่าไร แต่ก็เออออไปตามเรื่อง

“อ๋อเหรอ พี่ก็นึกว่าแฟน” จงจิตตั้งใจเย้าหญิงสาว เมื่อเห็นท่าทางขวยเขินของเธอ

“ยังไม่ใช่ค่ะพี่จงจิต”

“แต่อนาคตไม่แน่ใช่ไหม เห็นนะว่าแอบยิ้มให้กันด้วยน่ะ”

“พี่จงจิตก็…สภาพหนูดีตอนนี้ไม่กล้าคิดถึงเรื่องนั้นหรอกค่ะ” กัลย์กมลพูดอย่างขำ ๆ แต่ในใจก็ยังคงความเขินอายอยู่

“อย่าคิดงั้นสิ คนเราจะหาความสุขให้กับตัวเองน่ะ แค่ไม่เดือดร้อนคนอื่น ก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอก อีกอย่างหนูดีก็ใกล้จะคีโมครบแล้ว เหลือแค่ฉายแสงเดี๋ยวก็หาย พอหายก็กลับไปสวยเหมือนเดิมแล้ว” จงจิตยังให้กำลังใจอย่างเต็มที่

ส่วนกัลย์กมลก็นึกได้ว่าจงจิตนั้นเป็นรุ่นพี่ของเธอ ถ้านับดูแล้วก็น่าจะใกล้เวลาที่อีกฝ่ายจะจบการทำเคมีบำบัด

“พูดถึงเรื่องคีโม ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งสุดท้ายของพี่จงจิตแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่จ้ะ พี่น่ะอยากให้มันจบ ๆ ไปจะแย่อยู่แล้ว”

คนฟังได้ยินแล้วก็แอบรู้สึกใจหายเล็ก ๆ พอเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมค่อย ๆ หายไปทีละคนสองคน ก็ทำให้เธอรู้สึกว่างเปล่าไปด้วย

“พอคนรุ่นเดียวกันหายไปทีละคนสองคนแบบนี้ ก็เหงาเหมือนกันนะคะ”

“ไม่เป็นไร คนใหม่ ๆ ก็ยังมีมาเรื่อย ๆ นั่นแหละ เดี๋ยวเราก็ได้เป็นรุ่นพี่เขาแล้ว”

จงจิตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดตลก แทรกความขบขันเล็ก ๆ ทำให้บรรยากาศเบาลง กัลย์กมลที่กำลังฟังอยู่ก็หัวเราะเบา ๆ ออกมาได้พร้อมกับความรู้สึกที่ผ่อนคลายลง

“เป็นรุ่นพี่เลยเหรอคะ” หญิงสาวยิ้มออกมา พลางคิดว่าตอนนี้เธอเริ่มเป็นคนป่วยที่เจนสนามการทำเคมีบำบัดไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิ แม้ว่าระยะหลังมานี้เส้นเลือดของเธอจะเริ่มหายาก จนต้องโดนเจาะไปหลายครั้งก็ตาม

วันนั้นกัลย์กมลได้เจอกับคนมากมายที่มารับการรักษาเหมือนกัน แน่นอนว่าแต่ละคนก็มีปัญหาหลากหลายกันไป มีบางคนเริ่มหมดแรงที่จะสู้ต่อ บางคนพยายามหยุดการรักษาด้วยตัวเอง แต่ท่ามกลางความยากลำบากนั้น เธอพบว่าตรงสมาคมคนรักษามะเร็งเต้านมแห่งนี้ ทุกคนต่างให้กำลังใจกันจนเกิดเป็นมิตรภาพเล็ก ๆ ที่เหนียวแน่น ความอุ่นใจที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษาทำให้เธอรู้สึกถึงความเข้มแข็งไม่เดียวดาย แม้เส้นทางการรักษาจะยากลำบาก แต่ต่างคนก็ต่างสู้ไปด้วยกันจนถึงที่สุด

 

Don`t copy text!