แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 2 : คาเฟ่ในโรงพยาบาล

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 2 : คาเฟ่ในโรงพยาบาล

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

จากวันที่ไปเยี่ยมปรีดา รุ่งขึ้นกัลย์กมลก็ไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์รักษา เธอใช้เวลาเดือนกว่าถึงจะได้คิวเจาะชิ้นเนื้อ และอีกหนึ่งเดือนกับการรอฟังผล ทุกวันหญิงสาวใช้ชีวิตด้วยความกังวล แม้จะบอกกับใคร ๆ ว่าเธอไม่เป็นอะไร แต่อย่างที่รู้ว่าใครกันจะทำใจได้ แล้วยิ่งนับวันก็ดูเหมือนความกังวลของเธอจะเริ่มมากขึ้นทุกที

ในที่สุดหลังจากการรอคอยมากว่าสองเดือน ก็ถึงเวลาที่กัลย์กมลจะได้รู้ความจริงของก้อนเนื้อนี้เสียที ทว่าการรอคอยในโรงพยาบาลที่มีคนพลุกพล่านนั้น ก็อดที่จะทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

“คุณ…เชิญนั่งรอพบแพทย์ที่หน้าห้องตรวจค่ะ”

เป็นอีกครั้งที่เสียงนั้นไม่ได้เรียกชื่อของตัวเอง หลังที่ยืดตรงอยู่เมื่อครู่ก็กลับห่อลง พลางถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายเล็ก ๆ กับการรอมาเกือบครึ่งวัน ท่ามกลางคนมากมายที่เฝ้าคอยให้พยาบาลเรียกชื่อของตนเพื่อไปนั่งรอหน้าห้องตรวจ ซึ่งมีคนไข้นั่งเรียงรายจนล้นเก้าอี้ไม่ต่างกัน กัลย์กมลก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลคงไม่เป็นที่น่าพิสมัยสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ อันเป็นที่รู้กันดีว่าจำนวนของผู้ใช้บริการในแต่ละวันนั้นมากแค่ไหน อีกทั้งบุคลากรที่ไม่เพียงพอจึงอาจทำให้การดูแลนั้นไม่ค่อยทั่วถึง จนทำให้เกิดเสียงบ่นให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง

กัลย์กมลนั่งฟังเสียงรองเท้ากระทบพื้นผ่านไปมา เสียงลากรถเข็น เตียงผู้ป่วยไปตามทางที่มีแต่ผู้คนทั้งคนไข้และญาติ เจ้าหน้าที่เดินสลับเข้าออก จนรู้สึกว่าตัวเองชักจะชินชาไปเสียแล้ว และออกจะเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่พอสมควร เธอจึงได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ รอคอยว่าชื่อของตัวเองจะถูกเรียกเมื่อไร

กระทั่งมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากกระเป๋าถือ

โทรศัพท์จากที่ทำงานนั่นเอง

“ค่ะพี่ปุ้ย…” หญิงสาวรับสาย พร้อมกับเสียงที่ฟังดูรีบร้อนตอบกลับมา

“หนูดี งานที่พี่ฝากให้ทำหนูเอาไว้ไหนจ๊ะ”

กัลย์กมลนิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับพยายามย้อนความถึงงานที่ปลายสายพูด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว

“หนูดีเอาไปวางให้หัวหน้าเซ็นแล้วนะคะ เห็นพี่ปุ้ยบอกว่าถ้าไม่มีอะไรก็เสนอหัวหน้าได้เลย”

“อ๋อ หนูดีเอาไปให้หัวหน้าแล้วใช่ไหม ดีเลย…” เสียงปลายสายเจือด้วยความโล่งใจ “แล้ววันนี้หนูดีลางานเหรอ”

“ค่ะ พอดีมีนัดฟังผล เลยยื่นใบลาป่วยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” กัลย์กมลตอบกลับอย่างคล่องแคล่ว ว่าด้วยเรื่องงานเธอนั้นไม่ได้อยากมีปัญหาสักเท่าไร อาจเพราะการไม่มองข้ามเรื่องจุกจิกและความรอบคอบนี้กระมัง ที่ทำให้เธอไม่ค่อยมีปัญหากับหัวหน้างานนัก

“จ้ะ ยังไงก็อย่าลืมขอใบรับรองแพทย์มาด้วยนะ”

หัวหน้างานของเธอยังพูดต่อ กัลย์กมลได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างสุภาพ

“ค่ะ หนูดีไม่ลืมแน่นอน”

เมื่อเสร็จธุระแล้วเธอก็วางสาย และกลับมามองดูผู้คนมากมายที่กำลังนั่งรอเรียกชื่อไม่ต่างจากเธอ นี่ขนาดว่าเธอมาถึงแต่เช้าและยื่นบัตรคิวเรียบร้อย ก็ยังถูกแทรกด้วยผู้ป่วยที่อาการหนักกว่า หรือคนไข้ที่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งนับเป็นคนไข้ส่วนใหญ่ที่มารอรับบริการในโรงพยาบาลพอมองดูรอบ ๆ แล้ว หญิงสาวอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่า ๆ อย่างกัลย์กมลนั้นนับเป็นชนกลุ่มน้อย หรือไม่ก็จะเป็นคนพาผู้ป่วยมามากกว่า

“แจ้งให้ผู้รับบริการทุกท่านทราบนะคะ ขณะนี้เป็นเวลาสิบสองนาฬิกา ทางเจ้าหน้าที่จะทำการหยุดเรียกชื่อ และท่านใดที่ยังไม่ถูกเรียกชื่อให้รอหน้าห้องตรวจ สามารถไปพักทานข้าวได้ก่อน โดยแพทย์จะกลับมาทำการตรวจอีกครั้งในช่วงบ่ายค่ะ”

สิ้นเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ ก็มีเสียงบ่นจากคนที่นั่งรออยู่ขึ้นมาทันที บ้างก็ว่าบ่นว่าตัวเองมาถึงตั้งแต่ตีห้า บ้างก็เป็นกังวลว่าตัวเองจะกลับบ้านไม่ทัน ส่วนกัลย์กมลนั้นแม้เธอจะไม่ได้มีปัญหากับการรอ ทว่าพอได้ยินประกาศ ก็อดไม่ได้ที่จะเซ็งเล็กน้อย ด้วยการรอคอยนั้นมันช่างนานจนทำให้เธอเริ่มกังวลขึ้นมา

 

หญิงสาวลงบันไดจากห้องตรวจที่ชั้นสองเพื่อไปหาที่นั่งพักสักครู่ ก่อนที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับการรออีกครั้ง ถึงอย่างนั้นกัลย์กมลก็เลือกที่จะโทรไปรายงานดลฤดีก่อน

“หนูดี ได้ตรวจหรือยัง”

“ยังค่ะแม่ วันนี้คนไข้เยอะ เขาเลยให้ลงมากินข้าวเที่ยงก่อน”

“ทำใจเถอะ ไปโรงพยาบาลทีก็ใช้เวลานานแบบนี้แหละ ไม่ต้องเครียดนะ”

ดลฤดีที่รอฟังข่าวจากลูกสาวปลอบใจ แต่ลึก ๆ แล้วกัลย์กมลเองรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความกังวลต่อผลตรวจมากแค่ไหน

“หนูดีไม่เครียดหรอกค่ะ แค่ตอนนี้กำลังคิดว่าจะไปหาอะไรกินดี”

เธอตอบไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ระหว่างที่เดินออกจากอาคารไปที่ศูนย์อาหาร ในตอนนั้นเองที่เธอเดินสวนกับชายคนหนึ่ง ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างประหลาด กัลย์กมลจึงหันหลังกลับไป และเห็นว่าอีกฝ่ายก็หันกลับมาหาเธอเช่นกัน

“พี่บุ๋น…”

“หนูดี…”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจร้องทักเธอกลับมา ขณะเดียวกันกัลย์กมลก็เหมือนจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อเจอคนรู้จัก

“แม่แค่นี้ก่อนนะ…”

กัลย์กมลวางสาย ก่อนจะมองใบหน้าที่คุ้นตานั้นให้ชัด แม้จะเห็นอยู่บ่อย ๆ เพราะบ้านอยู่ติดกัน ทว่าเธอกลับไม่ได้สังเกตเลยว่า จิตบุณย์นั้นจะมีใบหน้าสดใสและรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มองแล้วสบายตาเช่นนี้ หรือเพราะเขาเองก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอเธอ

“ดีใจจังที่เจอคนคุ้นเคย” เธอร้องทัก ก่อนที่จะยิ้มกว้างออกมาแล้วเดินไปหาเขา

“พี่มาทำเอกสารให้แม่น่ะ แล้วหนูดีเป็นอะไร ทำไมมาโรงพยาบาล”

ฟังเหตุผลของเขาแล้วกัลย์กมลก็คิดได้ว่านี่อาจเป็นบทสนทนาที่ยาวนานที่สุด ที่เขาพูดกับเธอเลยก็ว่าได้ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่า นอกจากประกายตาสดใสแสดงออกถึงความดีใจที่ได้เจอเธอแล้ว นัยน์ตาของจิตบุณย์ยังมีความเป็นห่วงเธออยู่ด้วย

“มาฟังผลตรวจค่ะ พอดีติดเที่ยงเลยมาหาอะไรกินก่อน”

“งั้น….” ชายหนุ่มลูบท้ายทอยเหมือนจะนึกหาคำพูดอยู่สักพัก “เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน”

ยังไม่ทันที่กัลย์กมลจะตอบรับ จิตบุณย์ก็ทำหน้าที่นำพาเธอไปหามื้อเที่ยงด้วยใบหน้าที่แจ่มใส พาให้ความขุ่นมัวจากการนั่งรออันแสนยาวนานนั้นหายไปด้วย

 

กัลย์กมลตามชายหนุ่มจนมาถึงคาเฟ่ด้านหลังของโรงพยาบาล ซึ่งดูแล้วเหมือนจะมีแต่เจ้าหน้าที่เสียส่วนใหญ่ ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านเฉพาะของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ตาม จิตบุณย์พาเธอไปนั่งที่โต๊ะริมกระจก ในจุดที่พอมองเห็นร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมร้านนี้จนหมด เช่นนี้เองจึงทำให้บรรยากาศดูร่มรื่น ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนด้านนอก

“ร้านนี้บรรยากาศดีจังค่ะ”

“พี่มาโรงพยาบาลกับแม่บ่อยน่ะ เลยรู้จักที่นี่”

“แบบนี้นี่เอง…”

หญิงสาวตอบแล้วยิ้มส่งกลับไป จะว่าไปการเจอกับจิตบุณย์ด้านนอกแบบนี้ กัลย์กมลกลับรู้สึกว่าเขานั้นไม่ใช่คนเงียบขรึมจนเข้าถึงยากอย่างที่คิด ในทางกลับกันทั้งสองยังคงคุยกันได้เรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศของการแลกเปลี่ยนพูดคุยกลับสนุกและเป็นกันเองราวกับเพื่อนสนิทที่เจอหน้ากันทุกวัน

“แล้วอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ มีอะไรผิดปกติไปกว่าวันที่เจอไหม” จิตบุณย์ถามกลับ

“ก็ไม่นะคะ” เธอตอบพลางคิดถึงอาการตัวเองไปด้วย ก่อนจะสลัดความว้าวุ่นใจทิ้งไป “แต่หนูดีก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไรมากหรอกค่ะ”

จิตบุณย์พยักหน้ารับรู้ แล้วมองดูหญิงสาวที่ยังคงมีสีหน้าสดใสอยู่เป็นนิจ ดวงหน้าที่เหมือนจะแต้มด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ดวงตากลมเป็นประกาย ผมตรงยาวดำขลับเป็นเงาจนถึงกลางหลัง แม้จะมาด้วยเสื้อผ้าที่สบาย ๆ แต่ก็ดูเรียบร้อย

กระทั่งกัลย์กมลมองหน้าเขากลับ ชายหนุ่มจึงแสร้งเสมองไปทางอื่น

“เอ่อ…คนแข็งแรงอย่างหนูดี พี่ว่าคงไม่เป็นโรคร้ายหรอก” เพราะมัวแต่มองเธอเพลิน เขาจึงเสียอาการเล็กน้อยเมื่อถูกจับได้ ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังเป็นรอยยิ้มอันสดใส เปล่งประกายสว่างวาบเหมือนดวงดาวในยามเช้า

“จริง ๆ หนูดีก็แอบกังวลเหมือนกันค่ะ แต่แม่บอกว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าเป็นก็แค่รักษา ถ้าไม่เป็นก็ดูแลตัวเองให้ดี หนูดีเลยรู้สึกสบายใจขึ้น”

เป็นอีกครั้งที่เธอยังคงความสุขเอาไว้ในแววตาไม่เคยเปลี่ยน

“ยังมองโลกในแง่ดีเหมือนเดิมเลยนะ” จิตบุณย์รู้สึกได้ว่าโลกนี้ดูน่าอภิรมย์ขึ้นเมื่อฟังคำตอบจากเธอ แต่ไหนแต่ไรมากัลย์กมลก็เป็นแบบนี้เสมอ เธอมักจะหาข้อดีให้กับทุกเรื่องที่เจอ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะตอบออกมาเช่นนี้

ซึ่งนั้นเป็นประโยคที่ทำให้หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเขาแทบไม่คุยกับเธอเลยตอนที่เธอไปเยี่ยมปรีดา เลยไม่คิดว่าเขาจะสังเกตด้วย

“แต่ยังไงก็หวังว่าวันนี้จะเจอข่าวดีอยู่นะคะ เพราะถ้าเป็นเนื้อร้าย หนูดีก็คิดไม่ออกเลยว่าต้องเจออะไรบ้าง”

แน่นอนว่าจิตบุณย์รู้สึกใจหายในทีแรก จากที่เฝ้าดูแลแม่มานานจึงรู้ถึงความน่ากลัวของโรคนี้เป็นอย่างดี แล้วถ้าพูดถึงเนื้องอกส่วนใหญ่ถ้าไม่ออกมาดีก็กลายเป็นเนื้อร้ายไปเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนอายุน้อยอย่างเธอจะเป็นไปได้ และที่สำคัญท่าทางของกัลย์กมลเองก็ไม่ได้บ่งบอกถึงอาการป่วยเลยสักนิด

“ยังอารมณ์ดีแบบนี้แสดงว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงใช่ไหม”

“คิดว่าไม่น่ามีอะไรนะคะ” เสียงใสยังคงบ่งบอกถึงภายในที่ไร้กังวล

“งั้นก็ขอให้ผลออกมาเป็นไปในทางที่ดีแล้วกัน พี่เอาใจช่วย” กำลังใจเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะให้เธอได้ ทว่าสิ่งที่เธอตอบแทนกลับนั้น ยิ่งทำให้โลกที่เต็มไปด้วยปัญหาและความวุ่นวาย กลับมลายกลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา

“ขอบคุณค่ะ”

กัลย์กมลยิ้มหวานอย่างคนที่มีกำลังใจดี พาให้ชายหนุ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก โชคดีที่ไม่นานนักอาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ เขาจึงใช้เวลาที่เหลือในการชวนคุยเรื่องอื่นไปเสีย จนกระทั่งจัดการกับอาหารหมดจึงได้เห็นว่าตอนนี้ผู้คนต่างทยอยออกจากร้านจนบางตาลงไปแล้ว

“อ้าว ใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว ไวจัง เดี๋ยวมื้อนี้หนูดีเลี้ยงข้าวพี่บุ๋นเองนะคะ” กัลย์กมลหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่จิตบุณย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ห้ามไม่ทัน

“ได้ยังไงกัน พี่เป็นคนชวนนะ”

จิตบุณย์ทำท่าไม่ยอม แต่มีหรือที่จะทันกับความไวของหญิงสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงานบริการคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่กัลย์กมลถนัดที่สุด

“ห้ามปฏิเสธค่ะ ถือเป็นการขอบคุณที่พาหนูดีมาร้านอร่อย” หญิงสาวเอื้อมมือวางธนบัตรที่ถาดเก็บเงินของพนักงานทันควัน

“งั้นถ้ามาโรงพยาบาลอีกอย่าลืมบอกนะ คราวหน้าพี่ต้องเลี้ยงข้าวบ้างแล้ว” คนที่มองตาค้างรีบมัดมือหญิงสาวทันที

“โอเคค่ะ งั้นหนูดีขอเบอร์มือถือพี่บุ๋นหน่อยได้ไหมคะ เผื่อต้องมาโรงพยาบาลอีกจะได้โทรหาว่าพี่อยู่ที่นี่ไหม”

ดวงหน้าใสรีบเอ่ย อย่างที่รู้ว่าการได้สนทนากับจิตบุณย์นั้นนับเป็นเรื่องยากกว่าอะไร กัลย์กมลจึงไม่รีรอที่จะขอเบอร์โทรติดต่อ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นรางวัลเล็ก ๆ ที่ครั้งนี้เธอได้คุยกับผู้ชายที่เงียบที่สุดในโลกอย่างยาวนานเช่นนี้

“มา…เดี๋ยวกดให้” จิตบุณย์ยื่นมือไปหาหญิงสาว แล้วรับโทรศัพท์มือถือของเธอมากดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองแล้วกดโทรออก เอาเป็นว่าตอนนี้เธอมีเบอร์โทรศัพท์ของเขา ส่วนเขาก็มีของเธอปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นที่เรียบร้อย

คนที่เพิ่งได้เบอร์โทรศัพท์ชายหนุ่มข้างบ้านมารีบกดบันทึก ก่อนจะมองดูเวลาและเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เธอจะไปนั่งรอที่เดิมแล้ว

“ใกล้เวลาแล้ว หนูดีไปก่อนนะคะ”

“โชคดีนะ…”

หญิงสาวโปรยยิ้มอย่างเป็นมิตรจนเห็นลักยิ้มเป็นรอยบุ๋มที่แก้ม ก่อนจะหยิบและเดินเข้าไปในอาคารผู้ป่วยนอก ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามผมดำที่พลิ้วไหวไปตามจังหวะเดินด้วยหัวใจที่พองโตจนแน่นอก และภาวนาให้เธอเจอแต่เรื่องที่ดีในการฟังผลตรวจที่จะถึงนี้

 

ภายในบริเวณที่นั่งรอเรียกพบแพทย์พลุกพล่านไปด้วยคนอีกครั้งเมื่อถึงเวลา กัลย์กมลกลับมานั่งรอฟังชื่อตัวเองด้วยใจจดจ่อ พลางมองไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกัน คือทุกคนต่างสวมหมวกคลุมหัว มีบางคนที่ใส่วิกผมแต่ก็นับว่าเป็นส่วนน้อย พอเห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือกลุ่มคนไข้ที่มารอพบแพทย์เพื่อทำเคมีบำบัด เดาได้ไม่ยากจากบทสนทนาที่ทั้งกลุ่มกำลังคุยกัน

พอเห็นดังนั้นเธอก็อดคิดไม่ได้ว่า พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องสูญเสียผมตัวเองไป…

“คุณกัลย์กมล…เชิญรอพบแพทย์ที่หน้าห้องตรวจค่ะ”

หญิงสาวรีบลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเจ้าหน้าที่ขานชื่อของตัวเอง กัลย์กมลเดินไปนั่งรอที่หน้าห้องตรวจพร้อมกับคนไข้คนอื่น ๆ ที่มานั่งรอกันจนเก้าอี้เต็มทุกตัว ส่วนใครที่มีญาติมาด้วยก็ต้องให้ญาติยืนรอใกล้ ๆ ไหนจะเตียงและรถเข็นแบบนั่งที่ผ่านเข้าไปในห้องตรวจแล้วก็ออกมา แต่ละคนต่างใช้เวลาอยู่กับแพทย์ผู้รักษาเป็นเวลาครู่ใหญ่

…กว่าจะถึงคิวของเธอ เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

ทว่าพอเป็นตัวเอง กัลย์กมลกลับรู้สึกหวาดหวั่นกับการเข้าไปพบแพทย์อย่างประหลาด การก้าวเท้าไปแต่ละย่างก้าวนั้นเต็มไปด้วยความประหม่าและตื่นเต้น พอได้นั่งลงตรงเก้าอี้แล้ว เธอก็เห็นแพทย์หญิงที่ทำการรักษาเปิดประวัติเธอขึ้นมา ก่อนจะอ่านอย่างละเอียด เสร็จแล้วจึงหันมาหาเธอ

“คนไข้มาหาหมอเพราะเจอเนื้องอกที่หน้าอกขนาด 1.6 เซนฯ แล้วหมอก็ให้ไปเจาะชิ้นเนื้อตรวจใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่เก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ อันที่จริงนับตั้งแต่วันตรวจชิ้นเนื้อจนถึงตอนนี้ก็เป็นเดือนแล้วกว่าผลจะออก เธอเห็นแพทย์หญิงคนนั้นเขียนอะไรบางอย่าง ก่อนจะเลื่อนดูประวัติของเธอผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจยาว ๆ ออกมา

“คนไข้อายุเท่าไรนะคะ”

น้ำเสียงเรียบของแพทย์หญิงที่อายุสักสี่สิบปลาย ๆ ถามเธออีกครั้ง

“ยี่สิบห้าค่ะ” ในใจของเธอเริ่มลุ้นระทึก ทุกวินาทีที่ผ่านไปเหมือนกับใครมารั้งเข็มนาฬิกาให้เดินช้าลงไปเรื่อย ๆ

และในที่สุดแพทย์หญิงก็หันมาหาเธอ ก่อนจะบอกให้เธอขึ้นไปบนเตียงเพื่อตรวจเต้านมอีกครั้ง กัลย์กมลขึ้นเตียงแล้วถอดเสื้อด้วยความขัดเขินเล็ก ๆ เพื่อให้แพทย์ได้ทำการวัดขนาดเนื้องอกจากภายนอก จึงพบว่าเมื่อวัดจากภายนอกแล้วขนาดเนื้องอกของเธอได้ขยายเป็นเกือบสี่เซนติเมตร เสร็จแล้วแพทย์หญิงก็ให้เธอลงมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะแจ้งข่าวที่เธอต้องรู้…

“ผลออกมาไม่ค่อยดีนะคะ คนไข้เป็นมะเร็งเต้านม”

 

 

 

Don`t copy text!