เอนิส : ชีวิตที่ไม่หมดหวังและยังก้าวต่อไป
โดย : นกอัญชันหางดำ
กลั่นเกลาเล่าเพลิน โดย นกอัญชันหางดำ คอลัมน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกวรรณกรรมที่มีตัวละครมากมายโลดแล่นอยู่ในใจนักอ่าน และมีเรื่องราวให้กล่าวถึงได้
แม้สงครามจะจบลงแต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ถึงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ที่สูญเสียหนัก แต่ถ้าคนเรายังไม่สูญสิ้นความหวังก็ยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ในมหากาพย์เอนิด (Aeneid) วรรณคดีโบราณของโรมัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเอนิส ขุนพลฝั่งทรอย ซึ่งต้องผจญภัยฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ กว่าจะสามารถลงหลักปักฐานได้อีกครั้งในดินแดนใหม่ และตามตำนานเล่าขานว่าเป็นต้นกำเนิดของชนชาติและอาณาจักรสำคัญแห่งหนึ่งของโลก
เอนิสเป็นขุนศึกชาวทรอยที่เก่งกาจสามารถไม่แพ้ใคร หากในการทำงานที่ต้องอาศัยทีมเวิร์กนั้นก็ยากที่จะทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวไม่ว่าจะเก่งมาจากไหน ครั้นเมื่อฝ่ายกรีกใช้อุบายลอบเข้าเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ไล่เผาบ้านเผาเมืองวอดวาย เข่นฆ่าชาวทรอย ปล้นชิงทรัพย์สมบัติ และจับคนไปเป็นทาส ครอบครัวเจ้าเมืองทรอยก็ไม่รอดเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงจนเกินกว่าจะต้านทานไหว เอนิสก็คิดถึงครอบครัวที่รออยู่ข้างหลัง และตัดสินใจเลือกที่จะรักษาชีวิตของคนที่ยังเหลืออยู่ เมื่อรวบรวมพวกพ้องได้จำนวนหนึ่ง ทั้งมิตรสหาย บริวาร และคนที่ตกลงใจติดตามไปด้วย เอนิสจึงแบกพ่อผู้ชราที่ตาบอด อีกมือหนึ่งก็จูงลูกชาย พากันไปลงเรือลี้ภัยสงคราม ออกทะเลไปเผชิญโชคในดินแดนอื่นต่อไป
ความยากลำบากของเอนิสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นมีไม่น้อยไปกว่ายูลิสซิสที่ต้องดิ้นรนหาทางกลับบ้านเกิด แต่รู้สึกว่าหลายครั้งเอนิสจะโชคดีกว่าที่รอดพ้นมาได้โดยไม่สะบักสะบอมเหมือนยูลิสซิสที่สุดท้ายแล้วเหลืออยู่ตัวคนเดียวเท่านั้นที่กลับไปถึงเมืองอิทาคาได้ อย่างเช่นตอนที่แวะพักบนเกาะซึ่งเป็นถิ่นของยักษ์ตาเดียว เอนิสและพรรคพวกก็สามารถหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเพราะมีลูกเรือของยูลิสซิสมาเตือนก่อน ลูกเรือคนนี้ตกค้างอยู่บนเกาะเพราะหนีขึ้นเรือตามเพื่อนไม่ทัน จนกระทั่งเห็นมีคนมาจึงรีบไปบอกและขออาศัยเรือหนีด้วย
ในระหว่างทางเมื่อแวะพักที่เมืองเอปิรัส เอนิสได้รับคำชี้แนะจากเฮเลนัส เจ้าเมืองซึ่งเป็นผู้มีวิชาความรู้ทางโหราศาสตร์ เฮเลนัสแนะนำว่าเอนิสควรจะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเฮสเพอเรีย (ตามแผนที่ในปัจจุบันคือประเทศอิตาลี) โดยให้เลี่ยงทางฝั่งตะวันออกเพราะมีพวกกรีกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงให้ไปขึ้นฝั่งทางด้านตะวันตกแทน โดยให้แล่นเรืออ้อมเกาะซิซิลีเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีอสูรกายซิลลาอาศัยอยู่ คณะเดินทางของเอนิสจึงไม่ต้องไปผจญกับอสูรน้ำกินคนหรือเสี่ยงกับการถูกวังน้ำวนดูดลงก้นทะเลเหมือนที่ยูลิสซิสเจอ นอกจากนี้เมื่อไปถึงเฮสเพอเรียแล้ว เฮเลนัสยังบอกให้เอนิสไปตามหานางซีบิล ผู้หยั่งรู้ซึ่งมีอำนาจญาณวิเศษ เพื่อขอคำชี้แนะต่อไปด้วย
แต่ถึงแม้จะมีกุนซือดีคอยช่วยเหลือแนะนำสนับสนุนมากเพียงใด ความสำเร็จของเอนิสคงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากเขาไม่ลงมือลงแรงทำด้วยตัวเอง ตลอดเส้นทางมีเรื่องราวเกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจของเอนิสหลายหน ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งคงเป็นตอนที่อยู่เมืองคาร์เธจ ไม่ใช่ภยันตรายที่เขาต้องฝ่าฟัน แต่เป็นความสุขสบายที่เขาและพวกพ้องได้รับการดูแลจากนางไดโด นางพญาผู้ครองเมืองคาร์เธจ หลังจากตรากตรำกับสงครามกรุงทรอยมานานนับสิบปีและต้องระหกระเหินเดินทางมาไกลขนาดนี้ สำหรับคนที่ไม่มีบ้านให้กลับไปหาแล้ว เมื่อได้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญคงเป็นเรื่องยากที่จะตัดใจทิ้งได้ เอนิสเองก็หลงเพลิดเพลินไปด้วยช่วงหนึ่ง
จนเมื่อมหาเทพจูปิเตอร์ (หรือซีอุส ตามชื่อกรีก) ส่งเทพเมอร์คิวรี (หรือเฮอร์เมส ตามชื่อกรีก) มาเตือนถึงภารกิจสร้างดินแดนใหม่ เอนิสจึงยอมตัดใจลาจากนางไดโดซึ่งเศร้าโศกเสียใจมากและขอร้องไม่ให้เขาไป แต่เอนิสก็เลือกที่จะทำตามเทวบัญชา เลือกที่จะไปสร้างบ้านเมืองของตนเองแทนการขออยู่อาศัยกับเมืองอื่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเมื่อออกเดินทางมาแล้ว นางไดโดตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยความรักและความแค้น และได้สาปแช่งเอาไว้ว่าเชื้อสายของชนชาติในดินแดนใหม่ของเอนิสกับชาวคาร์เธจจะเป็นศัตรูกันตลอดไป
การที่เอนิสต้องผจญกับพายุหนักในท้องทะเลนั้นเป็นเพราะมหาเทพีจูโน (หรือเฮรา ตามชื่อกรีก) ซึ่งยังคงแค้นเคืองพวกทรอย ได้ขอให้เอโอลุส เทพแห่งลมไปขัดขวางการเดินทาง คณะของเอนิสจึงถูกลมพายุพัดโหมกระหน่ำจนออกนอกเส้นทางและเกือบจะแย่ไปเหมือนกัน แต่เทพเนปจูน (หรือโปไซดอน ตามชื่อกรีก) ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเอโอลุส เกิดไม่พอใจที่มหาเทพีจูโนมาก้าวก่ายสั่งงานในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการในท้องทะเล จึงสั่งให้เอโอลุสหยุดพายุร้ายนั้นเสีย พวกเอนิสจึงรอดตายและได้ขึ้นฝั่งเข้าเมืองจนไปพบกับนางไดโด แล้วได้พักอาศัยอยู่ด้วยช่วงหนึ่งดังกล่าวข้างต้น นับว่าท่ามกลางโชคร้ายยังพอมีโชคดีอยู่บ้าง แม้จะหลงออกจากเส้นทางที่ตั้งใจ แต่ก็ยังได้พบสิ่งใหม่ๆ ที่ดี บางทีเมื่อพลาดหวังจากอะไรบางอย่างก็อย่าเสียใจนานนัก เพราะอาจมีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่ก็เป็นได้
หลังจากเดินทางออกจากเมืองคาร์เธจ เอนิสและคณะก็สามารถเดินเรือต่อได้อย่างสะดวกราบรื่นจนไปถึงเฮสเพอเรียตามที่ตั้งใจ ไม่ได้ประสบภัยจากคลื่นลมพายุทางทะเลอีกเนื่องจากเทพีวีนัส (หรืออะโฟรไดต์ ตามชื่อกรีก) ได้ไปขอความเมตตาให้พวกทรอย โดยขอกับเทพเนปจูนเองโดยตรง… เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อต้องทำงานและขอความร่วมมือกันแบบข้ามฝ่ายข้ามแผนก ควรต้องให้เกียรติหัวหน้าเขาด้วย จะมีโอกาสที่งานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ไม่ตีกันทีหลัง
เมื่อถึงเฮสเพอเรีย ความที่มาจากต่างถิ่น เอนิสจึงนำของบรรณาการไปมอบให้ละตินัส เจ้าเมืองละตินที่ปกครองอยู่แถบนั้น เพื่อผูกไมตรีในฐานะที่จะมาอยู่ใกล้กัน ละตินัสเองก็เมตตาเอนิสจนถึงขั้นจะให้แต่งงานกับลูกสาวคือลาวิเนีย (ดวงวิญญาณพ่อของละตินัสมาเข้าฝันบอกว่า ลาวิเนียจะได้คู่ครองเป็นคนจากแดนไกล และลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อไปนั้นจะกลายเป็นชนชาติที่มีอำนาจครองโลก) แต่มหาเทพีจูโนส่งอะเลกโต เทพีแห่งความโกรธไปขัดขวาง อะเลกโตไปยุแหย่นางอะมาตา ชายาเจ้าเมือง ให้คัดค้านการแต่งงานของลูกสาว จากนั้นไปยุยงเจ้าเมืองของชาวรุตุลีคือ เตอร์นัส ที่หมายปองลาวิเนียอยู่ก่อน ให้ยกทัพมาทำศึก สุดท้ายคือ ไปล่อให้ลูกชายของเอนิสกับพวกที่กำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า ยิงธนูไปถูกกวางตัวที่เป็นขวัญใจของชาวเมืองจนล้มตาย ชาวเมืองละตินจึงลุกฮือมาขับไล่พวกเอนิส เมื่อเรื่องบานปลายถึงเพียงนี้ละตินัสผู้ชราจึงไม่ขอยุ่งเกี่ยว หากเอนิสต้องการแต่งงานกับลาวิเนียตามที่ออกปากยกให้แล้ว ก็หาทางแก้ปัญหานี้เองแล้วกัน
เมื่อละตินัสเก็บตัว เตอร์นัสจึงรับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองกำลังทั้งชาวรุตุลีและละติน โดยทัพของเตอร์นัสมีรองแม่ทัพผู้โหดร้ายอยู่ด้วยชื่อมีเซนเชียส เป็นทรราชที่เคยปกครองชาวอีทรัสกัน แต่ชาวเมืองทนการถูกทารุณไม่ไหวจึงลุกขึ้นสู้ มีเซนเชียสเลยต้องหนีตายมาขออยู่กับเตอร์นัส ส่วนเอนิสนั้นด้วยความที่มีคนน้อยกว่า จึงลอบออกจากค่ายไปขอกำลังเสริมจากแคว้นอาร์เคเดียที่อยู่ใกล้เคียงและเป็นอริกับพวกรุตุลี และยังได้กำลังหนุนเพิ่มจากชาวอีทรัสกันที่ต้องการแก้แค้นมีเซนเชียสด้วย เมื่อรวมพลได้แล้วกองทัพของเอนิสก็สู้ศึกจนสามารถตีทัพของเตอร์นัสแตกพ่าย และบุกมาจนประชิดเมืองได้ ถึงตอนนี้ชาวเมืองละตินเริ่มทนไม่ไหวกับสงคราม ส่วนมากอยากขอสงบศึกกับเอนิสและไล่กองทัพรุตุลีกลับไป ละตินัสเองก็คอยเกลี้ยกล่อมให้ทุกฝ่ายเลิกแล้วต่อกัน สุดท้ายสงครามครั้งนี้จึงจบลงโดยที่เอนิสสังหารเตอร์นัสได้และได้รับชัยชนะในที่สุด
การที่เอนิสไม่ได้ยึดติดกับสถานที่แต่ให้ความสำคัญกับผู้คนที่ยังอยู่ ทำให้เลือกที่จะทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังแล้วมูฟออนไปข้างหน้าได้ อย่างน้อยก็ยังคงสามารถดำรงรักษาศิลปวิทยาการความรู้แขนงต่างๆ ที่สั่งสมกันมาไว้ได้บางส่วน และสืบทอดต่อไปยังชนรุ่นหลังได้บ้าง ดินแดนที่เอนิสไปตั้งรกรากใหม่นั้นมีคำทำนายว่า ในภายภาคหน้าจะเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายอำนาจจนกลายเป็นหนึ่งในจักรวรรดิสำคัญของโลก ซึ่งก็คือจักรวรรดิโรมันนั่นเอง ถือเป็นศูนย์กลางอำนาจของโลกในยุคหนึ่งเลย แล้วโรมันกับคาร์เธจก็เป็นศัตรูกันจริงด้วย ทำสงครามกันอยู่นานนับร้อยกว่าปี (แต่คงไม่เกี่ยวกับคำแช่ง สองมหาอำนาจที่อยู่ในละแวกเดียวกันก็ย่อมต้องช่วงชิงความเป็นใหญ่กันอยู่แล้วเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง)
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน แม้โรมันจะล่มสลายไปแล้วเหมือนอาณาจักรโบราณอื่น ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แต่อิตาลีก็ยังถือได้ว่าเป็นประเทศหนึ่งที่รุ่มรวยงานศิลป์และสถาปัตยกรรมที่งดงามตระการตา มีร่องรอยอารยธรรมโรมันโบราณหลงเหลืออยู่มากให้ได้เห็นกัน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม พืชผลอาหารการกินต่างๆ ก็เลิศรส นับได้ว่าดินแดนที่เอนิสเลือกนี้มีความอุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ หากเอนิสยอมแพ้ต่อโชคชะตาเสียตั้งแต่ตอนที่พ่ายศึกกรุงทรอย ก็คงไม่ได้มีชื่อเป็นที่จดจำอย่างทุกวันนี้
อ้างอิงจาก
- เทวดาฝรั่ง กรีก-โรมัน โดย อ. สายสุวรรณ
- เหตุแห่งอีเลียด กับตำนานปรัมปรากรีก โดย นายตำรา ณ เมืองใต้
- READ เดดาลัส : เมื่อเลือกทางผิด ชีวิตจึงต้องวกวนวุ่นวาย
- READ ไซคี : ชีวิตคู่ไม่ได้มีกันแค่สองคน
- READ เอนิส : ชีวิตที่ไม่หมดหวังและยังก้าวต่อไป
- READ ยูลิสซิส : เมื่อมีความตั้งใจก็ย่อมหาหนทางไปได้เสมอ
- READ อะกาเมมนอน : ผู้ชนะศึกนอกแต่พ่ายศึกใน
- READ ปารีส : เพราะชะตากรรมหรือทำตัวเอง
- READ หนึ่งมิจ (ฉาชีพ) ชิดใกล้ : เคร้าช์ จูเนียร์
- READ คนที่คุณเองก็จะนึกถึงตลอดไป : ดัมเบิลดอร์กับสเนป
- READ อยู่และเรียนรู้
- READ รวมมิตรที่คิดไม่ถึง : ด๊อบบี้ กับ ครีเชอร์
- READ ทางที่เลือก : แฮร์รี่ vs โวลเดอมอร์
- READ มีแต่เพื่อนแท้เท่านั้นที่อยู่เหนือกาลเวลา
- READ ขมิ้นกับปูน : มัลฟอย
- READ เสาหลักที่แข็งแกร่งมั่นคงและตรงแบบแผน : มักกอนนากัล
- READ มีใครร้ายกาจกว่านี้อีกไหม : อัมบริดจ์
- READ อย่าตัดสินเนื้อหาจากปกหนังสือ : แฮกริด