โคลอสเซียมที่โลกลืม

โคลอสเซียมที่โลกลืม

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ฉันเดินทางมาถึงเมืองเอลเจ็ม (El Jem) ในช่วงบ่ายแก่ๆ อากาศเย็นสบาย แต่ฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก และลมพัดแรง ไม่ทราบอะไรมากนอกจากเป็นเมืองโบราณและมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่พันๆ ปี แต่เราก็แทบจะไม่แปลกใจมากเพราะทุกวันเราก็เดินทางไปดูอารยธรรมโบราณเก่าแก่กันอยู่แล้ว นั่งรถขึ้นเหนือลงใต้ ผ่านตะวันออกไปตะวันตกจนแทบจะทั่วประเทศ ตื่นตาตื่นใจกับวิหาร อาราม ปราสาทราชวัง ตลาด อุโมงค์เก่าแก่อะไรต่อมิอะไรตลอดทาง

ข้อมูลที่อ่านศึกษาหรือฟังมัคคุเทศก์บรรยายก็เริ่มเลือนๆ หรือตีกันมั่วไปหมด กว่าจะถึงเมืองเอ็ลเจม เราก็ลืมไปแล้วว่าเราจะมาดูอะไรกันที่นี่ จนล่วงเข้าเขตเมืองเก่า หัวหน้าทัวร์ของเราเริ่มปลุกความทรงจำ

“เราถึงเมืองเอลเจ็มแล้วครับ เราจะมาชมโคลอสเซียมแห่งเมืองเอลเจ็มกัน”

พอพูดถึงโคลอสเซียมแล้ว เรานึกถึงอะไรกันคะ… กรุงโรม หรือเรื่องราวของกลาดิเอเตอร์นักสู้

เคยดูหนังเรื่อง Gladiator กันไหมคะ

ถ้านึกถึงเรื่องนี้แล้ว น่าจะเห็นภาพเดียวกัน ฉากที่คนต่อสู้กับสัตว์ป่าเป็นกีฬามหรสพยิ่งใหญ่ในสนามกีฬากลางแจ้งมหึมาที่บรรจุผู้ชมนับหมื่น คงจะผุดขึ้นมาเป็นภาพจำแรกๆ ตามด้วยชื่อที่คุ้นติดปากเรียกขานกันว่าโคลอสเซียม (Colosseum) หรือ โคโลเซโอ (Coloseo) ในภาษาอิตาเลียน ซึ่งตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางกรุงโรม ประกาศศักดาความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของอาณาจักรโรมันโบราณ ผ่านยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองและโรยราของโรมตลอดมา จนกระทั่งวันนี้ เจ้าโคลอสเซียมที่จัดแสดงกีฬามหรสพป่าเถื่อนนั้น ก็ได้กลายมาเป็นภาพจำและแลนด์มาร์กสำคัญอันดับต้นๆ เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลี โดยเฉพาะกรุงโรม

และโคลอสเซียมแห่งกรุงโรมแห่งนี้เองก็ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยี่ยมชมเป็นประจักษ์พยานความยิ่งใหญ่อลังการของสถาปัตยกรรมอันซับซ้อนน่าทึ่ง คนหลั่งไหลมาทั่วสารทิศ ต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อจะเข้าชมหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้ให้ได้สักครั้งก็ยังดี

สำหรับฉัน ภาพจำโคลอสเซียมแห่งกรุงโรมคือความวุ่นวายและอึดอัด ถูกกระหนาบด้วยนักท่องเที่ยวจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ได้แต่เดินเรียงแถวตามกันเพราะกลัวพลัดหลงในดงมวลชนมหาศาล ตาแทบจะไม่ได้ดื่มด่ำความยิ่งใหญ่อย่างที่ตั้งใจไว้ ต้องระวังคนเบียด คนชน ระวังมิจฉาชีพวิ่งล้วงวิ่งราวสารพัดรูปแบบ

ความยิ่งใหญ่ผ่านกาลเวลาของมันยังอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ฉันมองไม่เห็นในคลื่นฝูงชนเบียดเสียด จะว่าไปก็อาจแทบไม่ต่างจากผู้ชมที่มาดูกีฬาต่อสู้เอาชีวิตของคนกับสัตว์ป่าในโลกโรมันโบราณยุคนั้น

พอได้ยินว่าเรากำลังจะมาชมโคลอสเซียมอีกแห่ง ฉันก็หูผึ่ง ตาเป็นประกาย…

โคลอสเซียมแห่งเอลเจ็ม (Amphitheater of El Jem) ณ ประเทศตูนิเซีย

ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด ตูนิเซีย มีโคลอสเซียมโรมันอยู่ใจกลางประเทศตูนิเซีย และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย

ลงจากรถแล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ตลอดทางเงียบสงบ ไม่มีรถทัวร์จอดเรียงกันเป็นแถว ไม่มีฝูงชนนักท่องเที่ยว อันที่จริงเรียกได้ว่า… ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเราถึงจะถูก เงียบจนได้ยินแต่เสียงเรากันเองและเสียงลมพัดแรงอื้ออึง

ลับหัวมุมถนนมา เราก็พบ ‘เธอ’ อยู่ตรงหน้า สนามกีฬาโรงมหรสพยิ่งใหญ่ในอดีตกาล ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เสมือนผุดขึ้นมากลางความเวิ้งว้างโดดเดี่ยว สีอิฐส้มอมเหลืองตัดกับท้องฟ้าสีสดและเมฆครึ้มฝน ไร้ผู้คนโดยรอบ มีแต่พวกเราและสิ่งก่อสร้างตรงหน้า

พวกเราค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ กล้าๆ กลัวๆ ด้วยความตื่นเต้น ไม่นานก็ตกอยู่ในวงล้อมของอาคารวงรีมหึมา หันไปมองรอบด้านแล้วก็ร้องฮือฮากันทุกคน มันสูงและมีหลายชั้นกว่าที่ฉันคิดไว้มาก แบ่งเป็นที่นั่งชมหลายชั้นลดหลั่นกัน มีลานประลอง คุกใต้ดิน และห้องทิ้งศพได้นับสิบนับร้อยห้อง หินทุกก้อน ซุ้มโค้งทุกซุ้มปรากฏต่อสายตากลางแจ้ง เราได้เห็นทุกส่วน ทุกมุมของโคลอสเซียมแบบไร้สิ่งบดบัง

เธอก็เป็นโคลอสเซียมที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเลย

ความที่ประเทศตูนิเซียเป็นประตูระหว่างดินแดนอารยธรรมอันรุ่งเรืองหลายอาณาจักร จึงได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อของดินแดนที่มาครอบครองนั้นๆ ไปด้วย และในยุคหนึ่ง เอลเจ็มก็เคยตกเป็นเมืองในอาณานิคมของจักรวรรดิโรมัน ก็เลยได้รับวัฒนธรรมกีฬาต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ป่ามาด้วย ชาวโรมันกับชาวท้องถิ่นจึงได้สร้างโคลอสเซียมขึ้นมาเพื่อมหรสพนี้ อีกนัยหนึ่งก็เป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์อำนาจความเจริญและแสนยานุภาพของโรมันไปด้วย

โคลอสเซียมแห่งเอลเจ็มกินพื้นที่กว้างขวางและซับซ้อน ต้องเดินกึ่งปีนบันไดจนเหนื่อยกว่าจะถึงชั้นบน ทั้งยังมีห้องหับซุ้มเล็กซุ้มน้อยก็ซอยย่อยไปหมด เดินไม่ดีมีสิทธิ์หลงได้เหมือนกัน ฉันเลยไม่กล้าแยกวง ต้องเกาะกลุ่มกันไป จากนั้นไกด์ท้องถิ่นก็ชวนเราไปชมชั้นใต้ดิน ซึ่งหมายความว่าเราต้องเดิน (กึ่งปีน) กลับลงไป ก็เหนื่อยลิ้นห้อยใช้ได้เลย

บรรยากาศใต้ดินหม่นมัว ทางเดินเหมือนอุโมงค์แคบๆ มีกลิ่นชื้น สองฝั่งทางเดินเป็นห้องลูกกรงสำหรับขังทาสนักสู้และสัตว์ป่า ถึงขังกรงแยกกันแต่ก็อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน สมัยนั้นเขาจัดทาสที่จะต้องสู้กับสัตว์เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ในระดับเดียวกันกับสัตว์ ถือว่ามีค่าเท่ากัน และการได้ดูมนุษย์ถูกบังคับให้ต่อสู้ห้ำหั่นกับสัตว์ร้าย บาดเจ็บล้มตาย มิใช่เรื่องโหดร้ายป่าเถื่อน แต่ถือเป็นมหรสพบันเทิงที่ชาวเมืองตั้งตารอ

ทาสนักสู้เหล่านี้ถูกบีบให้จนตรอก ไม่มีอะไรจะเสีย ต้องสู้ยิบตา ถ้าแพ้ก็ตาย แต่ถ้ารอด นอกจากจะเป็นไท ได้อิสระ ได้ค่าความเป็นมนุษย์กลับมา ยังอาจจะได้เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ได้คนนับหน้าถือตา เปลี่ยนชีวิตไปได้เหมือนกัน

ฉันเดินผ่านอุโมงค์ใต้ดินนี้และมองไปยังห้องกรงขังที่เรียงรายสองข้างทางแล้วก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาบอกไม่ถูก จินตนาการไปว่าในกรงขังเหล่านี้ ในอดีตอันไกลโพ้น เคยมีสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าคนหรือสัตว์บาดเจ็บร้องขอความเมตตา ร้องขอชีวิตจากผู้มีอำนาจแต่ก็ไม่เป็นผล

พอเดินกลับขึ้นมา พวกเราก็กลับเข้าไปยืนตรงกลางลานสนามอีกครั้ง ดื่มด่ำกับภาพความยิ่งใหญ่ตรงหน้าอีกหน ไม่มีคนจอแจเบียดเสียด ไม่มีใครบังใคร ไม่มีเสียงตะโกนตามหากัน ไม่มีเสียงร้องเรียกให้ลูกทัวร์รีบเดินตามมา รอบด้านเรามีแต่ความเงียบ และน่าแปลก ที่ในความโล่งว่างทางสะดวก ฉันไม่ได้นึกอยากถ่ายรูปมากไปกว่าสองสามช็อต รู้สึกอยากสัมผัสความยิ่งใหญ่งดงามที่เต็มไปด้วยเรื่องราวตรงนี้ด้วยตา ด้วยสัมผัสของตนเองมากกว่า มองภาพในกล้องก็รู้สึกว่าสวยไร้คนบัง สวยอลังการ แต่ก็สวยสู้ของจริงไม่ได้เลย

ชวนให้นึกถึงคำกล่าวในเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty ที่เอ่ยไว้ว่า “Beautiful things don’t ask for attention. (ความงามแท้จริงไม่เรียกร้องความสนใจ)”

โคลอสเซียมแห่งเอลเจ็มก็ยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานไม่แพ้โคลอสเซียมแห่งกรุงโรม เคยรองรับผู้ชมกระหายเลือดนับหมื่นที่ตั้งตารอกีฬาป่าเถื่อน เคยรองรับกองเลือดและซากศพเกลื่อนกลาดมาก่อน

จนวันนี้เงียบสงบ หนักแน่น สง่างามใต้ฟ้าครามราวกับไม่เคยพบพานเรื่องร้ายมาก่อน

ละอองฝนเริ่มโปรยปรายตอนเรากำลังจะกลับพอดิบพอดี ก่อนจะเดินลับมุมไป ฉันก็อดหันไปมองอีกครั้งไม่ได้

เธอจะสนไหมนะ ว่าเธอเป็นโคลอสเซียมที่โลกจดจำ หรือหลงลืมไป ไม่มีใครมาเยี่ยมชม

เธอจะรู้ตัวไหมว่า เธอคือโคลอสเซียมที่เก่าแก่และสมบูรณ์แห่งหนึ่ง

เธอยังเป็นโคลอสเซียมที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากโคลอสเซียมกรุงโรมเชียวนะ

คราวนี้ฉันอดใจไม่ไหว ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บมุมกว้างอีกครั้ง… และเพราะที่สำคัญ

เธอคือโคลอสเซียมที่ไม่ติดคน

โอกาสแบบนี้มีบ่อยที่ไหนกัน ถึงโลกจะลืม แต่ฉันไม่ลืมแน่ ๆ

 

เชิงอรรถ :

  • Gladiator กลาดิอาตอร์ เป็นนักสู้ติดอาวุธที่มีหน้าที่ต่อสู้เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ผู้ชมในสมัยสาธารณโรมันและจักรวรรดิโรมัน กลาดิอาตอร์ต้องใช้ความรุนแรงในการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อาจเป็นได้ทั้งกลาดิอาตอร์คนอื่น สัตว์ป่า และนักโทษที่ได้รับคำพิพากษา กลาดิอาตอร์ส่วนใหญ่เป็นทาส บุคคลที่โตมาในสภาพแวดล้อมรุนแรง หรือบุคคลที่ถูกกีดกันจากสังคม แต่ก็มีกลาดิอาตอร์บางคนที่เป็นอิสรชนซึ่งอาสาเสี่ยงชีวิตและสิทธิพลเมืองโรมันของตนเข้าแข่งขันในสังเวียน
  • Colosseum โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิเวสเปเชียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี มีชื่อเสียงเรื่องการจัดต่อสู้ประลองระหว่างมนุษย์ที่เป็นนักสู้ติดอาวุธกลาดิอาตอร์กับสัตว์ป่า
  • Amphitheatre of El Jem โคลอสเซียมแห่งเมืองเอลเจ็ม บริเวณแอฟริกาเหนือ เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคที่ตูนิเซียตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิโรมัน เป็นหนึ่งสถาปัตยกรรมแบบโรมันดั้งเดิมที่เก็บรักษาได้คงสภาพสมบูรณ์ที่สุด สร้างขึ้นเป็นสนามกีฬาเพื่อความบันเทิงเช่นเดียวกับอัฒจันทร์และโคลอสเซียมทั่วไป นับเป็นโคลอสเซียมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นของโลกรองจากโคลอสเซียมกรุงโรม
Don`t copy text!