คุยกันวันรถติด
โดย :
นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน
*************************
‘ครบรอบหนึ่งปีของเพจ หากพูดถึงการกลับบ้าน คงมีใครหลายคนนึกถึงรถติดแล้วถอนหายใจ
ต้องทนอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน เบื่อ! เซ็ง! เพลีย! ผมก็เป็นครับ
แต่ผมยังนึกถึงเธอผู้นั้น… คนพิเศษในหัวใจ ’
ความคิดเห็นใต้ข้อความ ‘อยากรู้จังเธอผู้นั้นคือใคร?’
ข้อความตอบกลับ ‘ถ้าอยากรู้ พรุ่งนี้โทร.มาคุยกันนะครับ’
หลังจากเขาเลิกงานแล้วเข้าไปนั่งในรถยนต์ส่วนตัว วินหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดอ่านข้อความหน้าเพจซึ่งโพสต์ไว้อาทิตย์ก่อน และเนื้อความตอบกลับที่พิมพ์ลงไปเมื่อคืน
‘สงสัยน้องวินมีคนสำคัญรออยู่ที่บ้านแน่ๆ ถึงรีบกลับจัง’ ชายหนุ่มนึกขันคำแซวของพี่ร่วมงาน แล้วชำเหลืองมองใบปลิวโฆษณาที่ผู้อื่นนำมาเหน็บไว้กับใบปัดน้ำฝนหน้ารถ
“เออจริง” เขาเห็นด้วยกับประโยคตัวหนา
วินโน้มตัวส่องกระจกมองหลังของยานพาหนะเพื่อดูความเรียบร้อยบนใบหน้าราวกับกำลังจะไปพบใครบางคน ตั้งแต่แรกเห็นภาพสะท้อน จุดเด่นที่สุดคือจมูกโตกับดวงตาโปน เขาย่นหน้าผากกว้างพร้อมยักคิ้วเข้มทำหน้าทะเล้นใส่ตัวเอง แล้วยิ้มกว้าง
“ฟันพี่วินสวยจังค่ะ อยากเห็นทั้งวันเลย” คำชมของเธอผู้นั้นลอยเข้ามา
“ยิ้มทั้งวัน คงเมื่อยปากพอดี” เขาบอกกับตัวเองพร้อมทิ้งตัวลงบนเบาะ เท้าขวาเหยียบแป้นเบรก นิ้วกดปุ่มสตาร์ตเครื่อง รถยนต์รุ่นใหม่ไม่ต้องบิดกุญแจ วินเปิดแอร์ไล่ความร้อน มือหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเปิดบลูทูธเชื่อมต่อรถยนต์แบบอัตโนมัติ เขาค้นพบระบบแฮนด์สฟรีตั้งแต่ใช้รถยนต์คันนี้ เมื่อกดรับสายสามารถพูดออกไปได้เลย ไม่ต้องแนบหูกับตัวเครื่องโทรศัพท์หรือใช้หูฟังระหว่างสนทนา จากนั้นเขาเปิดสัญญาณโทรศัพท์อีกเบอร์ซึ่งใช้มาแล้วหนึ่งปี เป็นเบอร์เฉพาะกิจสำหรับเพจคุยกันวันรถติด วินตั้งเพจนี้ขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่ายต้องอยู่บนท้องถนนนานกว่าสองชั่วโมงอย่างโดดเดี่ยว
หนึ่งปีผ่านมาแล้วที่ชายหนุ่มมีเพื่อนคุยเกือบทุกวันขณะขับรถ ความรู้สึกเบื่อและอารมณ์เปล่าเปลี่ยวจากการเจอรถติดค่อยบรรเทา แต่ช่วงเวลาไม่กี่เดือนก่อน เขายังมีความรู้สึกบางอย่างรวมอยู่ด้วยซึ่งเธอผู้นั้นเป็นต้นเหตุ
วินคาดเข็มขัดนิรภัย ก่อนเคลื่อนคันโยกเข้าเกียร์เดินหน้า เขาภาวนาให้ใครสักคนโทรมาคุยกันเป็นเพื่อนร่วมทางอย่างที่เคยมี พร้อมกับความปรารถนาหนึ่งซึ่งยังหวังให้เกิดขึ้นจริงในทุกครั้งที่กลับบ้าน เขาจับพวงมาลัย ขับรถไปข้างหน้าออกจากลานจอดรถบริษัท ชายหนุ่มต้องพบการจราจรติดขัดในชั่วโมงของคนเลิกงาน ตั้งแต่เริ่มต้นบนเส้นทางกลับบ้าน หากเขาเหลียวหลังยังมองเห็นทางออกของบริษัท วินมองผ่านกระจกหน้ารถ แผ่นฟ้ายังมีแสงสีส้มของดวงตะวัน รถยนต์หลายคันจอดนิ่งเป็นแถวเรียงราย รวมทั้งได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านไป และแว่วเสียงแตรรถยนต์ดังอยู่ไกลๆ วินอดถอนหายใจไม่ได้ ทั้งที่น่าจะเคยชินกับสถานการณ์ตรงหน้า
เมื่อรถประจำทางเคลื่อนที่ เขาจึงเลื่อนรถตามจนแลเห็นสัญญาณไฟเป็นสีเขียว แล้วขอให้รถคันนี้ผ่านแยกไปให้ได้ แต่โชคชะตาแกล้งกันเหมือนกับคนตีกอล์ฟแล้วลูกคาตรงปากหลุม สัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดงชั่วพริบตา ไฟท้ายของยานพาหนะคันหน้าสว่างวาบ เขาต้องหยุดรถตัวเองพร้อมกับสายแรกในวันนี้โทร.เข้ามา
วินใช้นิ้วกดรับสายจากหน้าจอระบบสัมผัสของรถยนต์ “สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของเพจคุยกันวันรถติด ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายดังจากลำโพงรถยนต์
“ผมเพิ่งขับรถออกมาจากบริษัทครับ”
“ดิฉันเจอเพจโดยบังเอิญ อยากลองโทร.มาคุยด้วยค่ะ ตอนนี้อยู่บนรถเมล์ รู้สึกเซ็งๆ”
เสียงกระเป๋ารถเมล์ดังเข้ามาในสาย ‘เดินชิดในด้วยครับ แบ่งๆ กันไป’ ยืนยันคำพูดของหญิงสาว
“ตอนแรกผมเบื่อหน่ายกับรถติดมาก เข้าร้านซื้อซิมโทรศัพท์แล้วมาตั้งเพจคุยกันวันรถติดครับ”
“ดิฉันนึกว่าเบอร์นี้เป็นเบอร์ที่คุณใช้ประจำ”
“ไม่ใช่ครับ นี่เป็นเบอร์ใหม่ใช้ช่วงขับรถกลับบ้าน พอถึงบ้าน ผมจะปิดสัญญาณเบอร์นี้”
“ดีแล้วค่ะ จะได้ไม่มีใครโทร.มารบกวน ตอนแรกดิฉันคิดว่าคุณอาจตั้งเพจเล่นๆ เอาไว้โพสต์ระบายความในใจ ดิฉันลองโทร.ตามช่วงเวลาที่โพสต์ไว้ในเพจ แล้วได้คุยกับคุณจริงๆ ด้วย”
สัญญาณจราจรกลายเป็นไฟเขียวอีกครั้ง เขาเคลื่อนรถ สายตาจับจ้องด้านหน้าและปากขยับพูดต่อไป “เพจนี้เกิดจากวันนั้นผมกำลังคิดว่าจะทำอะไรแก้เบื่อตอนอยู่บนถนน แต่มีปากเท่านั้นที่ว่าง แล้วเพื่อนโทร.มาคุยเวลาผมขับรถ จนรู้สึกว่าการขับรถกลับถึงบ้านเร็วกว่าที่เคยเป็น ทั้งที่ใช้เวลาพอๆ กันประมาณสองชั่วโมง”
“กว่าคุณจะถึงบ้านคงค่ำมากสิคะ ฟังแล้วดิฉันยังโชคดีกว่าคุณที่อยู่บนรถเมล์เกือบชั่วโมง”
“ผมตั้งเพจนี้ครบหนึ่งปีแล้วครับ ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่หลายคน ตอนผมขับรถกลับบ้าน”
“คุณทำงานวันจันทร์ถึงศุกร์หรือคะ”
“ใช่ครับ” เขาคิดว่าคนถามคงเห็นจากหน้าเพจที่ระบุวันเวลาให้โทร.มาคุยกัน
“ดิฉันขอเดานะคะ คุณคงเป็นข้าราชการใส่ชุดสีกากี”
“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นพนักงานบริษัท คุณใส่ชุดสีอะไร”
“ดิฉันใส่ชุดสีขาวค่ะ”
“ใส่เสื้อสีเดียวกับผมครับ” เขาก้มหน้าดูชุดที่สวมใส่ตอนทำงาน คือเสื้อโปโลแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีดำ ซึ่งแตกต่างจากที่อีกฝ่ายคาดเดาอย่างสิ้นเชิง
วินเงยหน้ามองทางแล้วเอ่ยต่อ “ผมจะคุยเรื่องทั่วๆ ไป ถามอะไรมา ตอบได้ก็ตอบครับ”
“ดิฉันนึกว่ามีแต่คนโทร.มาปรึกษาหรือเล่าเรื่องชีวิตให้คุณฟังเหมือนคลับฟรายเดย์”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ นี่ก็คลับเหมือนกัน ขับทุกเดย์ รถติดทุกเดย์”
อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วชวนคุยต่อ “ดิฉันไปทำเพจคุยกันวันขึ้นรถเมล์ดีไหมคะ จะได้มีคนโทร.มาคุยคลายเหงา” เขายิ้มให้กับความคิดของฝ่ายนั้น
“บนรถเมล์มีเพื่อนร่วมทางหลายคน ลองชวนพวกเขาคุยกับคุณสิครับ”
“ไม่พลาดแน่นอนค่ะ ถ้ารถเมล์จอดรับแต่คนหล่อ ดิฉันเห็นที่คุณโพสต์ไว้ ขอถามได้ไหมคะ เธอผู้นั้นคือใคร” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณคือคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันเจอเพจของคุณตอนพักกลางวัน”
“ผมนึกว่าคุณคือคนที่อยากรู้ว่าเธอเป็นใคร”
“เธอคนนั้นรอคุณอยู่ที่บ้านใช่ไหมคะ”
เขาไม่ตอบคำถาม แต่เล่าเรื่องราววันแรกที่ได้รู้จักกับเธอผู้นั้นให้คนปลายสายฟัง
“ดิฉันไม่เชื่อเลยนะคะ แค่กดเบอร์ผิดจะทำให้คุณได้เจอคนพิเศษ ขอบคุณนะคะที่เล่าเรื่องเธอผู้นั้นให้ฟัง ใกล้ถึงบ้านแล้วค่ะ ดิฉันอยากเจอคนพิเศษโดยบังเอิญบ้างจัง”
“ผู้ชายคนนั้นอาจเดินชนคุณบนรถเมล์ก็ได้ครับ”
“สาธุค่ะ ขอให้เป็นคนหล่อ กล้ามแน่น ดิฉันชอบ”
“ขอให้คุณสมหวังครับ”
“เธอคงรอกินข้าวกับคุณ เย็นนี้คุณกินข้าวให้อร่อยสุดๆไปเลยนะคะ ดิฉันชอบเรื่องของคุณจัง” สายถูกวางไปทันที หลังจากเสียงตะโกนบอก จอดป้ายหน้าด้วยค่ะ
หลายคนชื่นชอบเรื่องการพบกันของเขาและเธอ ชายหนุ่มคงไม่ต่างกัน จึงไม่เคยลืมเลือนเหตุบังเอิญในวันแรกที่ได้พบกับหญิงสาวผู้ซึ่งกลายเป็นคนสำคัญในหัวใจ
เส้นทางต่อมาคือแหล่งสัญจรของคนใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ซึ่งมียวดยานบนท้องถนนจำนวนมากมาย และผู้คนยืนออบนทางเท้าอย่างเนืองแน่นเพื่อรอรถโดยสาร บางคนใช้มือปิดจมูกป้องกันควันพิษจากท่อไอเสีย บางคนต้องใช้แผ่นกระดาษในมือปัดควันดำของรถประจำทาง ภาพความแออัดของฝูงชน ระหว่างที่เขาต้องขับผ่านป้ายรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง คนมากหน้าหลายตาพลุกพล่านเต็มพื้นที่ข้างทางเดิน
วินเห็นสัญญาณไฟจราจรสีเขียวตรงทางห้าแยกซึ่งรอคอยมาเนิ่นนาน แต่เหตุการณ์ยังซ้ำรอยเดิม ไฟเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีตอนที่เขาจะขับรถฝ่าไป วินตัดสินใจเหยียบเบรก ยอมเป็นรถคันแรกเพื่อรอไฟเขียวรอบใหม่ ระหว่างรถยนต์จอดนิ่งอยู่กับที่ ภาพอดีตลอยเข้ามาในความทรงจำ
สัญญาณเรียกเข้าของเบอร์ใหม่ซึ่งซื้อมาใช้ได้เดือนเศษ “สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของเพจคุยกันวันรถติด เพื่อให้คนโทร.มาคุยกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คำกล่าวทักทายที่เขาคิดขึ้นมาเอง เมื่อกดรับสาย
“ขอโทษนะคะ ฉันคงกดเบอร์ผิด จะโทร.หาเพื่อนค่ะ”
เขาทวนเบอร์โทรศัพท์ให้อีกฝ่ายรับรู้ “จริงด้วยค่ะ กดผิดไปตัวเดียวเอง ขอโทษอีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณว่างวันไหนโทร.มาคุยกันได้ เพจคุยกันวันรถติดครับ”
เมื่อวางสายไป วินไม่คิดเลยว่าการโทร.ผิดของเธอครั้งนั้น ทำให้เขาพบผู้ที่หัวใจไม่เคยลืม
สองวันต่อมา เจ้าของเพจได้คุยกับเธออีกครั้งในชั่วโมงที่รถติดอย่างหนาแน่น
“จำฉันได้ไหมคะ คนที่เคยโทร.ผิดเข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อน” เธอเริ่มบทสนทนาทันที หลังจากเขากล่าวคำทักทายด้วยประโยคเดิม
“อ๋อ จำได้แล้วครับ” วินนึกขึ้นได้ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่โทร.ผิดเข้ามาคุยกับเขา
“ฉันเข้าไปดูเพจของคุณมาแล้วนะคะ เจอกระทู้ที่รับรองว่าเพจนี้โทรคุยกันจริงๆ ในช่วงรถติด”
“กระทู้นั้นผมเป็นคนเขียนเอง ตอนแรกที่เปิดเพจยังไม่มีใครกล้าโทร.มาคุยกัน ผมต้องเชียร์เพจตัวเอง ให้คนอื่นรู้ว่ามันมีอยู่จริง” วินแปลกใจตัวเองที่ยอมเล่าความจริงเกี่ยวกับกระทู้นั้น
“แล้วได้ผลกับฉัน คุณชื่ออะไรคะ”
“คุณเป็นคนแรกที่ถามชื่อผม”
“จริงหรือคะ ที่ผ่านมาคุยกันยังไง ไม่รู้จักชื่ออีกฝ่าย”
“ก็เรียกคุณๆ ผมๆ แบบนี้ครับ คุยกันเรื่องทั่วไป แล้วแต่ใครอยากเล่าอะไรให้ฟัง”
“ถ้าคุณไม่สะดวกใจ ไม่ต้องบอกชื่อกับฉันก็ได้ค่ะ”
“ผมชื่อวินครับ ส่วนคุณ…” เขาละไว้แค่นั้น นิ่งคิดจะถามชื่อเธอดีไหม
“ฉันชื่อบีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักพี่วินนะคะ”
“ผมเพิ่งอายุสามสิบ เรียกผมว่าพี่ ฟังเสียงแล้วดูแก่มากขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ชายหนุ่มอมยิ้มที่แกล้งถามเธอ
“ไม่ใช่ค่ะ แต่ผู้หญิงทุกคนไม่อยากคิดว่าตัวเองแก่นี่ค่ะ ฉันก็เหมือนกัน”
“ตอนนี้คุณบีทำอะไรอยู่ครับ”
“คุยโทรศัพท์กับพี่วินไงคะ” เสียงหัวเราะของเธอลอดเข้ามาให้ได้ยิน “แต่พูดถึงพี่วิน ฉันนึกถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าปากซอย”
“ไม่ใช่วินมอเตอร์ไซค์ครับ แต่เป็นวินที่แปลว่าชนะ”
“เข้าวินนั่นเอง”
“คุณบีพูดแบบนั้น ผมคิดว่าตัวเองเป็นกางเกงในเลยครับ”
“ฉันหมายถึงเข้าเส้นชัยค่ะ ไม่ได้สื่อถึงอย่างนั้นนะคะ” เธอรีบแก้ตัว เมื่อรู้ความคิดของเขา
“ที่คุณชื่อบี เพราะมีพี่ชื่อเอใช่ไหมครับ”
“พี่วินเก่งจัง ตบมือให้เลยค่ะ”
ภาพปัจจุบันกลับมาอยู่ตรงหน้า เมื่อรถคันหลังบีบแตรยาว เพราะไฟสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่รถคันนี้ยังไม่เคลื่อนออกไป เขารู้สึกตัวจึงรีบเหยียบคันเร่งพร้อมกับความรู้สึกดีที่ได้นึกถึงเธอ วิน อยากให้หญิงสาวบนรถเมล์กลับมารับฟังเรื่องราวต่อจากนั้น แต่คงไม่มีใครโทร.มาคุยกับเขาอีกครั้งเหมือนเธอ ซึ่งวันนั้นคือการเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
อีกไม่กี่ร้อยเมตร ชายหนุ่มต้องขึ้นทางด่วน เมื่อสบโอกาสจึงเปิดไฟเลี้ยวด้านซ้ายเปลี่ยนช่องเดินรถ เข้าสู่เส้นทางรถติดอย่างหนักหน่วงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากถนนที่เพิ่งผ่านพ้นมานั้น เท้าขวาสามารถเหยียบเบรกสลับคันเร่งได้เป็นช่วงๆ แต่ขณะนี้เท้าข้างนั้นต้องลงน้ำหนักอยู่นิ่งบนแป้นเบรก หลังจากเขาขับผ่านไม้กั้นของด่านเก็บค่าผ่านทาง
ทางด่วนพิเศษที่รถยนต์ต้องวิ่งได้คล่องกว่าเส้นทางปกติ ทุกคนอาจคิดเหมือนกับชายหนุ่มจึงทำให้ยานพาหนะไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย แม้เป็นเรื่องธรรมดา วินยังรู้สึกไม่คุ้นเคย ทั้งที่ยอมจ่ายเงินแลกกับความรวดเร็วสำหรับการขับรถ มือของเขาเคลื่อนคันเปลี่ยนเกียร์เป็นตำแหน่งเกียร์ว่างเพื่อพักเท้าขวา คงใช้เวลานานพอควรที่ล้อรถจะหมุนได้อีกครั้ง
ชายหนุ่มเอื้อมมือกดรับสายบนหน้าจอแสดงผลของรถยนต์เมื่อมีคนโทร.เข้ามา เจ้าของเพจกล่าวทักทายด้วยประโยคที่ใช้เป็นประจำ
“ผมเจอเพจคุยกันวันรถติด อยากโทร.มาคุยด้วย น่าจะสนุกดี ผมขับรถแล้วเจอรถติดเหมือนกันครับ” คู่สนทนาเอ่ยออกมา
“ยินดีครับ ผมอยู่บนทางด่วนรถติดแบบขยับได้ทีละนิด”
“ตอนนี้มองไปทางไหนเห็นแต่รถยนต์ จำนวนรถมีมากขึ้นทุกวัน แต่ถนนยังมีเท่าเดิม ถ้ารถไม่ติด คงประหลาดครับ”
วินเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“ที่ผมโทร.มาคุยกับคุณ ไม่ได้เหงานะ แค่เบื่อๆ เซ็งๆ กว่าจะฝ่าฝันรถติดจนถึงบ้าน ผมมีเมียแล้ว ส่วนคุณน่าจะไม่โสด เพราะมีเธอคนนั้นที่เป็นคนพิเศษในหัวใจ” ฝ่ายนั้นใช้คำของเขาที่โพสต์ไว้บนเพจ
เขาเงียบไปจนคนชวนคุยทักขึ้น “ได้ยินผมไหมครับ”
“ได้ยินครับ” วินตอบเพื่อให้รู้ว่าอยู่ในสาย
“ผมนึกว่าสายหลุดไปแล้ว ขอถามครับ มีใครโทร.มาคุยกับคุณบ่อยๆ ไหมครับ แบบโทร.มาครั้งหนึ่งแล้วก็โทร.มาอีก”
คำถามนี้ทำให้วินนึกถึงหญิงสาวคนนั้น “มีครับ เธอชื่อบี หลังจากที่เรารู้จักชื่อกัน เธอโทร.มาคุยกับผมเกือบทุกเย็นหลังเลิกงาน”
“ใช่เธอคนนั้นไหมครับ”
“ใช่ครับ เราคุยกันได้เดือนกว่า แต่อยู่ดีๆ บีก็ไม่ได้โทร.มาคุยกับผมอีกเลย ช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น แต่ละวันผ่านไปด้วยความหวังที่จะได้คุยกับบีอีกครั้งหมดลงไปทุกที”
“เธอโทร.มาหาคุณอีกครั้งใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายที่ตั้งใจฟังเขานั้นคาดการณ์ได้ถูกต้อง
“คุณรู้ได้ไงครับ”
“ถ้าเธอไม่โทร.มาอีก วันนี้คงไม่ได้เป็นคนพิเศษในหัวใจของเจ้าของเพจหรอกครับ”
“บีโทร.มาคุยกับผมอีกครั้งจริงๆ ครับ เธอบอกว่าที่หายไปเพราะโทรศัพท์หล่นหายและยุ่งกับเรื่องในครอบครัวจนไม่มีเวลาโทร.หาผม แต่เธอยังจำชื่อเพจได้จึงกดเบอร์มาคุยกับผม”
เท้าขวากดแป้นเบรกอีกครั้ง เขาเคลื่อนคันเปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์เดินหน้า รถยนต์ขยับได้เพียงเล็กน้อย แล้วจอดนิ่งสนิทเหมือนเดิม
“คุณกับเธอได้เจอกันไหมครับ”
“จากวันนั้นเราคุยกันทุกวัน บีเป็นคนโทร.มาคุยกับผม จนผมเริ่มรู้สึกดี ผมสบายใจมากที่ได้คุยกับบี เหมือนเจอคนเข้าใจกันและรับฟังได้ทุกเรื่อง”
“แล้วไงต่อครับ คุณนัดเจอเธอเลยทันที”
“ก่อนวันที่ผมจะขอนัดเจอเธอ ผมเล่าให้เพื่อนฟัง มันทำให้ผมลังเล คิดแล้วคิดอีกจะเจอเธอดีไหม”
“เพื่อนคุณรู้จักเธอหรือครับ”
“เปล่าครับ มันพูดให้ผมคิดว่าเธออาจไม่รู้สึกเหมือนกับผม เพราะผมไม่ใช่คนหน้าตาดี แล้วผมกลัวคำปฏิเสธจากบี จึงไม่กล้าพอจะพบหน้าเธอ” วินนึกถึงคำพูดของเพื่อนคนนั้นที่บอกว่าเขาผอมเหมือนโครงกระดูกเดินได้ หรือแม้แต่คำล้อที่เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลยังดังก้องอยู่ในสมอง ที่ว่าเขาเหมือนเสาไฟฟ้าเคลื่อนที่ได้
“เพื่อนผมพูดมา มันก็จริงครับ ใครจะชอบผู้ชายไม่หล่อและไม่หุ่นดีเหมือนนายแบบ ผู้หญิงทุกคนคงมีชายในฝันที่ดูดีใช่ไหมครับ”
“แต่ผมว่าหน้าตาหรือรูปร่างภายนอกก็แพ้คารมของผู้ชายธรรมดาครับ ถ้าคุณเห็นเมียผมจะนึกถึงเจ้าหญิงรูปงามกับตัวกัปปะ ผมนี่ชนะคนหล่อๆ มาด้วยคารมล้วนๆ แล้วเจอตัวจริงกันได้ไงครับ หรือพบกันโดยบังเอิญ”
วินอยากเล่าให้ฟัง แต่อีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ขอโทษด้วยนะครับ ผมต้องวางสายแล้ว เมียโทร.เข้ามา หรือจะโทร.มาเช็กผม ขี้หวงชะมัด เรื่องของคุณกับเธอคนนั้นน่าสนใจ แล้วผมจะโทร.มาฟังอีก ยินดีที่ได้รู้จัก” ฝ่ายนั้นรีบกดวางสาย
เขาสังเกตเห็นฟ้าแลบอยู่ไกลๆ เมฆสีดำทะมึนลอยมายังเส้นทางที่ต้องขับรถกลับบ้าน วินบอกตัวเอง วันนั้นตัดสินใจถูกแล้วที่ขอนัดพบเธอ
ภาพของผู้หญิงตัวเล็กๆ เข้ามาในห้วงคำนึง สาวใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย แต่รอยยิ้มของเธอถูกบันทึกในความรู้สึกและพิมพ์ลงไปในจิตใจตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน นั่นคือสิ่งที่เขาจดจำได้ถึงทุกวันนี้
คนที่วางสายไปเมื่อสักครู่ โทร.กลับเข้ามาอีกครั้งอย่างที่พูดไว้ “ผมยังคาใจ ถ้าไม่รู้คงนอนไม่หลับ แล้วคุณกับเธอพบกันได้ยังไงครับ”
“หลังจากผมนอนคิดและเถียงกับตัวเองอยู่สามคืน ผมขอนัดเจอเธอในวันหยุด เมื่อเราได้พบกัน ยิ้มของบีทำให้ผมขอคบกับเธออย่างจริงจัง”
“เธอตอบตกลงใช่ไหมครับ ผมเดาถูกแน่ๆ”
เขารู้สึกเมื่อยขาข้างที่เหยียบเบรกไว้ พอดีกับสามารถเคลื่อนรถตัวเองไปได้ แต่ไฟเบรกของรถคันหน้าสว่างขึ้นเป็นสีแดงอย่างฉับพลับ
“เฮ้ย!” เท้าขวากดแป้นเบรกกะทันหัน โชคดีที่รถสองคันไม่ชนกัน
“มีอะไรครับ หรือว่าเธอปฏิเสธคุณ” คู่สนทนาถามขึ้นทันที
“เปล่าครับ เธอตกลงคบกัน ผมให้เบอร์ส่วนตัวกับบี จากวันนั้นเราคุยกันทุกเย็น และผมยังได้ยินเสียงบีทุกคืนก่อนนอน เราได้รู้จักกันมากขึ้น วันหยุดไปเที่ยวด้วยกัน เป็นอย่างนี้เกือบเจ็ดเดือนครับ”
“ไม่น่าเชื่อ การตั้งเพจนี้ แค่หวังแก้เบื่อกับรถติดจะได้พบคนพิเศษ เรื่องของคุณกับเธอเหมือนพรหมลิขิต ขอให้คุณโชคดีกับการขอเธอแต่งงานในอนาคต ผมต้องลงไปซื้อข้าวให้เมียแล้ว ไว้คุยกันใหม่ครับ” ฝ่ายนั้นกดวางสายโดยไม่รอฟังเขากล่าวคำใดอีกเลย
วินได้ยินคำว่าแต่งงาน ภาพหญิงสาวที่อยากให้เป็นคู่ชีวิตอยู่ในความคำนึง
เขาเคยผิดหวังจากรักครั้งแรกและได้เรียนรู้มาแล้วครั้งหนึ่งว่าช่วงเวลาในการคบกันไม่สำคัญสำหรับเขา จากคนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ฝ่ายนั้นทิ้งเขาไป เพราะเจอคนใหม่หน้าตาดีกว่าเขา ชายหนุ่มจึงปิดตายประตูหัวใจเรื่อยมา รวมทั้งช่วงนี้เขาเห็นเพื่อนหลายคนแต่งงานและสุขสมกับการมีคู่ชีวิต วินจึงต้องการใครสักคนมาใช้ชีวิตร่วมกัน ในวันแรกที่พบหน้า ความเหงาและความเดียวดายทำให้วันนั้นเขาพูดความในใจ อีกทั้งความรู้สึกดีที่เขามีและท่าทางของเธอนั้นไม่รังเกียจคนอย่างเขา วินจึงขอคบกับเธอทันที รอยยิ้มของบีเปรียบดังกุญแจมาไขประตูหัวใจ
วันนั้นวินอาจเป็นผู้โชคดีที่เธอยอมสานสัมพันธ์ เมื่อมีคนปลดกลอนประตูหัวใจของเขา ชายหนุ่มจึงยอมใช้แรงตัวเองเปิดประตูบานนั้นแม้จะฝืดก็ตาม เพื่อให้บีเข้ามาในหัวใจอย่างยินดี
ท้องฟ้ายามโพล้เพล้ เมฆดำกำลังรอต้อนรับอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไฟหน้าของรถยนต์คันอื่นเปิดสว่างให้เห็นแทบทุกคัน เขาใช้มือหมุนสวิตช์เปิดไฟหน้ารถของตน สายตามองตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอแสดงข้อมูล ผ่านมาแล้วหนึ่งชั่วโมงกว่า อีกไม่นาน เขาจะหลุดพ้นเส้นทางที่รถติดมหันต์ สัญญาณเรียกเข้าดังขึ้นผ่านลำโพงรถยนต์ วินกดรับสายแล้วกล่าวคำทักทายตามปกติ
“สวัสดีค่ะ อยากโทร.มาคุยด้วย” คำทักทายของคนที่โทร.เข้ามา
“แถวนั้นฝนตกไหมครับ ที่นี่คงอีกไม่ช้า ถ้าฝนตกขึ้นมาคงแย่” วินสังเกตเห็นฟ้าแลบชัดเจนขึ้น
“ฝนตกรถติดเป็นของคู่กันค่ะ ต้องรับสภาพไป”
“แต่ฝนไม่ตก รถยังติดนะครับ ผมเจอทุกวันเลย”
“ทำไมคุณไม่หางานทำใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องมาเจอรถติดแบบนี้”
“งานที่นี่ได้เงินดีกว่า ชีวิตคนต้องพึ่งเงิน ของทุกอย่างมีราคา ถ้าไม่มีเงินคงอดตาย”
“ฉันอยากรู้เรื่องของเธอผู้นั้นที่คุณโพสต์ถึง” คนโทร.เข้ามาเข้าเรื่องทันที
“คุณคือคนที่แสดงความคิดเห็นเมื่อคืนใช่ไหมครับ ไม่คิดเลยว่าจะโทร.มาจริงๆ”
“ต้องโทร.มาสิคะ คุณเชื้อเชิญขนาดนั้น แล้วเรื่องของคุณกับเธอ ถ้านำไปเขียนนิยายคงมีคนชอบ ฉันเป็นนักเขียนค่ะ”
“แต่เรื่องของผมอาจไม่มีใครชอบก็ได้ครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันเชื่อตามสัญชาตญาณ คงเป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่เจอกันโดยบังเอิญแล้วลงเอยกัน ฉันอยากมีโมเมนต์อย่างนี้บ้างจัง เล่าให้ฟังได้ไหมคะ คุณคงไม่ว่ากันถ้าฉันนำไปเขียนนิยาย”
“ผมไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณฟังแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนกับผม”
จากนั้นชายหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวตอนขับรถกลับบ้านตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักเธอซึ่งออกจากปากเขาอีกครั้งในวันเดียวกัน จนถึงวันขอคบกับเธอและสนิทใจกันมากขึ้น
“หลังจากคบกันเป็นแฟนได้เจ็ดเดือนเป็นไงต่อคะ” อีกฝ่ายให้นิยามความสัมพันธ์ของเขาและเธอในช่วงนั้น
“วันที่ผมซื้อแหวนแทนใจเพื่อจะมอบให้เธอ วันนั้นเป็นวันที่ผมติดต่อบีไม่ได้อีกเลยครับ” เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมแหวนวงนั้นตรงหน้าอก ซึ่งนำมาห้อยกับสร้อยคอ
“เธอเคยหายไปแล้วครั้งหนึ่ง ฉันคิดว่าเธออาจจะโทร.มาบอกเหตุผลกับคุณอีกนะคะ”
“ผมหวังให้เป็นอย่างนั้นครับ สองเดือนกว่าแล้ว บียังไม่โทร.มาคุยกันเลย อยู่ดีๆ ก็หายไป”
“อาจต้องใช้เวลาค่ะ ฉันเป็นกำลังใจให้นะคะ”
“แต่ก่อนผมเป็นคนที่คิดเองและตัดสินใจเองคนเดียว จนได้คุยกับบี ผมเหมือนมีคนช่วยคิด ช่วยตัดสินใจ ต่างคนจะคอยรับฟังเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์ เป็นที่ปรึกษา ช่วยแก้ปัญหา หรือหัวเราะไปพร้อมกัน”
“แล้วคุณไม่คุยกับคนที่บ้านบ้างหรือคะ”
“ผมเป็นคนต่างจังหวัดครับ มาทำงานในกรุงเทพฯ และเช่าบ้านอยู่เพียงคนเดียว” วินอยากบอกมากกว่านี้ว่า เขาเป็นลูกชายที่พ่อแม่ไม่ค่อยให้ความใส่ใจ แต่คำกล่าวนั้นมันหายไปในลำคอ
“ฉันพอเข้าใจค่ะ เธอคงมีความสำคัญกับคุณมาก”
“ผมรู้สึกแค่ว่าเวลาที่ได้รู้จักกับบี มันคือช่วงชีวิตที่มีความสุข รอยยิ้มของเธอทำให้คนอย่างผมมีค่าขึ้นมา แต่ตอนนี้ระหว่างผมขับรถในช่วงเวลาที่ไม่ได้คุยกับบี นอกจากความเบื่อหน่ายที่ต้องเจอกับรถติดแล้ว ผมยังนึกถึงรอยยิ้มของเธออยู่เสมอครับ”
วินถามตัวเองว่าคิดถูกหรือไม่ที่โพสต์ถึงเธอผู้นั้น เพราะมีแต่คนโทร.เข้ามาถาม เขาจึงต้องเล่าเรื่องราวซ้ำๆ แต่ถ้าเขาไม่เล่า วินก็ยังนึกถึงเธอเป็นประจำทุกครั้งที่กลับบ้านอยู่ดี “ผมเคยคิดจะปิดเพจ ‘คุยกันวันรถติด’ ขว้างซิมทิ้งลงคลอง และอยากย้ายไปทำงานที่อื่น เพราะทุกครั้งที่ผมขับรถกลับบ้าน เสียงและภาพของบียังวนเวียนไม่เคยหายไป”
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ฝนตกอย่างหนักหน่วง พร้อมกับเสียงสัญญาณแสดงถึงสายนั้นหลุดไป
ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยสายน้ำ คล้ายคนสาดน้ำถังใหญ่ใส่กระจกหน้ารถ แสงไฟสีแดงของท้ายรถคันหน้าเห็นรางเลือน เขาจับคันโยกด้านซ้ายให้ใบปัดน้ำฝนทำงาน แม้วันที่มีเธอจะทำให้มีความสุข หากเวลานี้อาจเป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันมีความเสียดายและเสียใจปนกันอยู่ในความรู้สึก ชายหนุ่มอาจลืมนึกว่า เพราะเธอเดินเข้าไปในหัวใจของเขาได้ไม่ยาก เธอจึงเดินออกไปโดยไม่มีเยื่อใยหรือแม้แต่คำลา
เขาขับรถลงจากทางด่วน เท้าขวายังคงเหยียบเบรกค้างไว้ ใบปัดน้ำฝนทำงานเป็นพักๆ เสียงเม็ดฝนที่ซาลงกำลังตกกระทบรถยนต์ดังทั่วทั้งคันราวกับมีใครฉีดน้ำใส่แผ่นพลาสติกตลอดเวลา แสงไฟสีแดงท้ายรถทั่วท้องถนนทางด้านหน้า ซึ่งเห็นเป็นสายยาวเหมือนลำตัวงูมีสีแดงเป็นระยะ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยังได้กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศภายในรถยนต์ คอแห้งและน้ำลายเริ่มเหนียว วันนี้คงพูดกับผู้อื่นมากเกินไป วิน คว้าขวดน้ำเปล่ากระดกขึ้นดื่ม ผิวกายสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็นจนขนแขนตั้งชัน
สัญญาณโทรศัพท์เริ่มใช้ได้อีกครั้ง วินกดรับสายทันทีเมื่อมีคนโทร.เข้ามา “สวัสดีครับ” เขาพูดได้แค่นั้น เนื่องจากสายตามองกระจกด้านข้างเห็นระยะห่างทางขวามากพอที่จะเบี่ยงหัวรถแทรกเข้าไปได้
“สวัสดีค่ะ คุณคือคุณวินที่เป็นเจ้าของเพจคุยกันวันรถติดใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” ชายหนุ่มเอะใจที่หญิงสาวผู้นี้รู้จักชื่อเขา แต่ไม่คิดถาม
“ฉันเข้าไปอ่านที่คุณโพสต์ถึงคนพิเศษในหัวใจ เธอคนนั้นอยู่ไหนคะ”
ถ้าวินอยากให้เรื่องของเขาจบแบบนิทานอย่างมีความสุข อาจบอกไปว่า เธอรอทานข้าวอยู่ที่บ้าน แต่เขายอมเอ่ยความจริง “บีอยู่ในความทรงจำของผม และผมยังคิดถึงเธอทุกวันครับ”
“หมายความว่า…”
“ผมไม่ได้คุยกับเธอหลายเดือนแล้วครับ” เขาพูดแทรกขึ้นมาก่อนฝ่ายนั้นจะเอ่ยจบ
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ”
ต่างฝ่ายต่างเงียบไปสักพัก จนเขาเริ่มกล่าวขึ้นก่อน “ไม่เป็นไรหรอกครับ เธอคงมีเหตุผลของเธอ แต่ผมยังรอให้บีกลับมาคุยกันอีกครั้ง”
“แล้วถ้าเธอไม่กลับมาล่ะคะ”
คำถามนี้เป็นคำถามที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน เมื่อได้ยินแล้วลองถามตัวเอง วินรู้สึกเหมือนน้ำเอ่ออยู่ตรงหัวตาทั้งสองข้าง ขอบตาชุ่มไปด้วยน้ำ หายใจไม่ค่อยสะดวก ความเสียใจที่กักเก็บไว้ตลอดมาคงถึงเวลาปลดปล่อย ฝนตกในเวลานี้อาจไม่หนักเท่าน้ำตาที่ร่วงหล่นอยู่ข้างใน ซึ่งกำลังท่วมหัวใจของชายหนุ่ม
“คุณวินได้ยินฉันไหมคะ”
เขาเก็บก้อนสะอื้นลงคอ “ถ้าบีไม่กลับมาแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผมรู้แค่ว่า ถ้าความบังเอิญทำให้คนรู้จักกันได้ง่าย ก็อาจทำให้คนคนหนึ่งจากไปง่ายดายเช่นกันครับ”
วินบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือ “แต่ผมไม่เข้าใจว่า เวลาที่ผ่านมาผมไม่มีความหมายพอ ทำให้เธอมีเยื่อใยที่จะกลับมารู้จักกันอีกครั้งเลยเหรอ ถึงไม่มาคุยกันอีก” คนพูดพยายามอย่างมากที่สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ถึงแม้ไม่มีใครเห็นก็ตาม
“คุณวินคะ ถ้าบีได้ยิน คุณจะบอกอะไรกับเธอไหมคะ”
เขาไม่เคยระบายความรู้สึกตั้งแต่ไม่มีเธอคนนั้นให้คนอื่นฟังเลย หากได้พูดไปแล้ว ก็อยากพูดออกมาให้หมด “ผมไม่เคยโกรธบีที่เลือกทำแบบนี้ ถ้าไม่อยากรู้จักกันแล้ว โทร.บอกผมตรงๆ ก็ได้ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนี้ทำให้รู้ว่าผมไม่เคยมีค่ากับชีวิตเธอเลย”
เขากลืนน้ำลายเพื่อดับความเศร้าภายใน กะพริบตาไล่น้ำในดวงตา “ตอนแรกผมคิดจะปิดเพจนี้ แต่เปลี่ยนใจครับ ผมยังหวังและยังรอบีกลับมาคุยกันอีกครั้ง ผมจะเปิดเพจคุยกันวันรถติดไว้เพื่อรอเธอ”
หากหญิงสาวที่รับฟังเขาไม่มีคำพูดใดโต้ตอบกลับมา “ผมขอวางสายก่อนนะครับ พอดีมีสายซ้อน อาจเป็นบีโทร.เข้ามาก็ได้” เขากดวางสายทันทีหลังพูดจบ ไม่ใช่มีคนโทร.เข้ามาตามที่บอก แต่สิ่งที่อัดอั้นไว้กำลังล้นทะลักมาเป็นน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกจากหางตา พร้อมๆ กับหยดน้ำฝนที่ไหลลงเป็นสายตรงกระจกหน้ารถ แทนความรู้สึกของเขาที่เคยได้รู้จักกับเธอ
เมื่อรถยนต์ด้านหน้าเคลื่อนตัวห่างออกไป วินขับรถตามมุ่งตรงสู่บ้านพักซึ่งเป็นจุดหมายหลังเลิกงาน มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย ส่วนมืออีกข้างกุมแหวนวงนั้นไว้
เขายังมีความหวังว่าเธอซึ่งกลายเป็นคนสำคัญในหัวใจจะกลับมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง
ข้อความตัวหนาสีดำในใบปลิวโฆษณาบนเบาะข้างคนขับปรากฏให้เห็นชัดเจน ‘ตราบใดที่มีลมหายใจ ชีวิตย่อมมีความหวัง’
คนที่ถูกเขาตัดสายอย่างจงใจ หันหน้าไปถามผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งใช้มือปิดหน้า สะอื้นไห้อยู่ไปมา
“แกได้ยินแล้วใช่ไหม บี”
เธอคนนั้นรับฟังทุกคำพูดของเขาที่ดังออกจากลำโพงโทรศัพท์มือถือ นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมกับน้ำตาไหล ส่ายหน้าและย้ำกับเพื่อนซ้ำๆ ว่า “ฉันไม่กลับไปหาเขา”