ตอนที่ 14
โดย : สำสา
เรื่องหลังโรงพยาบาล เรื่องสั้นโดย สำสา คุณหมอผู้ชื่นชอบการสื่อสารเเละถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตเเละธรรมชาติออกมาเป็นงานศิลปะ และครั้งแรกของเขากับงานเขียนในรูปแบบเรื่องสั้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านกัน เรื่องราวของ ‘หมอบุญเสก’ เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับและการตายที่อาจมีเงื่อนงำ
หลังจากผิดแผนเมื่อคืนที่ผ่านมา ชายสองคนยังวนเวียนอยู่แถวบ้านพักเเพทย์ในโรงพยาบาล
ภารกิจที่ตั้งใจไว้ยังไม่บรรลุผล และเหมือนรู้ความเคลื่อนไหวและเป็นไปของหมอบุญเสก หลอดไฟนีออนหน้าบ้านหมอถูกถอดออก
เป็นเวลาสองทุ่มกว่าตอนที่หมอกลับมาบ้าน แต่ผิดคาดที่วันนี้มีชายที่แต่งกายเหมือนจะเป็น รปภ.จากโรงพยาบาลเดินกลับมาเป็นเพื่อน แผนการที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนหมอจะเข้าไปในบ้านจึงเป็นอันต้องเปลี่ยน
จนหมอบุญเสกเปิดประตูเข้าไปในบ้าน แล้วชาย รปภ.คนนั้นเดินคล้อยหลังไป ชายสองคนจึงรู้ว่าภารกิจของตนยังมีโอกาสสำเร็จ แต่หากจะต้องเปลี่ยนที่หมายจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้าน
บุญเสกรู้สึกหิว หลังอาบน้ำเสร็จจึงใช้กระทะไฟฟ้าต้มมาม่ากิน อาหารที่น้อยหน่าฝากมาให้ถูกวางลืมไว้นอกตู้เย็นซึ่งก็คงเสียหมด เขาเพียงแค่หยิบจดหมายซองสีขาวนั้นออกมาแต่ยังไม่กล้าอ่าน จึงเสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อนอนตรงหน้าอกและเดินขึ้นชั้นบน
ชายสองคนใจเย็นรอจนไฟชั้นล่างดับสักพักไฟบนชั้นสองในห้องนอนก็ติด จึงค่อยๆ สะเดาะกลอนประตูด้านหลังเข้าไปในตัวบ้าน จากตรงที่หลบซ่อนตัวอยู่ตรงป่ายางด้านหลัง
บุญเสกเดินไปเปิดสวิตช์พัดลม แล้วเอนตัวลงบนเตียงสปริงเบาะเเข็งๆ เอื้อมมือซ้ายไปกดปุ่มโคมไฟหัวเตียง ไฟไม่ติด มีเสียงดังแกร๊ก ทันใดนั้นเสียงพัดลมเพดานก็เบาลง
บุญเสกตกใจ แต่น่าจะเป็นเพราะฟิวส์ขาด อาจจะมีอาการลัดวงจรตรงไหนสักที่ เขาเอื้อมมือไปหาไฟฉายอันเมื่อครู่แต่ไม่พบ คว้าดูอีกทีปรากฏว่าแขนพลาดไปชนโดนจนตกกระเเทกลงบนพื้น ถ่านไฟฉายหลุดกระจายออกมาจากกระบอก เขาตัดสินใจไม่ประกอบไฟฉายกลับขึ้นมาอีก เพราะพื้นห้องดูมืดมองอะไรไม่เห็น เขาเปิดประตูห้องนอนออกไปมองหาแผงเบรกเกอร์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูนั่นเอง เขามองเห็นสวิตช์เบรกเกอร์สีขาวๆ ในความมืด เขายื่นมือขวาขึ้นไปเพื่อที่จะดันสวิตช์ ทันใดนั้นก็มีเสียงปั้งดังขึ้นพร้อมกับร่างของบุญเlกที่หมดสติ และร่วงลงไปตรงบันได
ชายสองคนผลุนร่างออกจากบ้านทางประตูหลังออกไปทางป่ายางตรงจุดที่พวกเขาเคยซุ่มอยู่ เงาสีดำทั้งสองเดินกึ่งวิ่ง มีเสียงสวบสวบจากการย่ำรอยเท้าบนใบยางแห้ง แล้วสุดท้ายทั้งเงาและเสียงก็เลือนหายไปพร้อมกัน
ตรงหน้าผมเป็นชายวัย 30 กว่าผิวเข้มไว้ผมรองทรงสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวขลิบเลือดหมูใส่ไว้ในกางเกงสีกากี ไม่ต้องมองเห็นตราโล่ที่อยู่ตรงอกเสื้อยืดก็พอเดาออกว่าใช่คนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมโทร.หาร้อยเวรท่านนี้ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ผมได้มาจากกระดาษโน้ตที่พี่พยาบาลท่านนั้นให้ไว้ โชคดีที่ครั้งนี้ผมโทร.เพียงครั้งเดียวก็ติดและปลายสายก็เป็นบุคคลที่ผมต้องการจะคุยด้วยพอดี เขาไม่สะดวกที่จะคุยกับคนแปลกหน้าซึ่งอ้างว่าเป็นหมอทางโทรศัพท์ ผมจึงจำเป็นที่จะต้องมาพบร้อยเวรท่านนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งโชคดีที่โรงพักที่เค้าทำงานอยู่มันไม่ได้ไกลจากที่ที่ผมอยู่เท่าไร
“ในคืนเกิดเหตุ เจ้าของสวนยางมาเจอไอ้สองคนนั้น มันตกใจทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้แล้ววิ่งหนีหายไปทางถนนด้านหน้าสวนยาง”
ร้อยเวรเริ่มเล่าเหตุการณ์ในคืนที่บุญเสกเสียชีวิตให้ผมฟัง
“เราสืบจากทะเบียนรถก็ไม่ได้พบหลักฐานอะไร เหมือนจะเป็นรถที่สวมป้ายหรือขโมยมาอะไรซักอย่างนี่แหละ ผมจำไม่ได้แล้ว”
ร้อยเวรเล่าต่อหลังจากที่สังเกตเห็นว่าบนใบหน้าผมมีประโยคคำถามตัวใหญ่ติดอยู่
“ผมก็สืบจากพยานด้วยนะครับคุณหมอ ลุงเจ้าของสวนยางแกก็บอกอะไรมากไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นผู้ชายสองคนแค่นั้น”
“แต่พยานหลายปากจากโรงพยาบาลให้การมาในแนวทางว่าสองสามวันก่อนแกตาย แกไปมีเรื่องโดนอาฆาตจากนักเลงท้องถิ่น เห็นว่าไม่พอใจที่หมอแกไปทำให้ลูกเมียมันตาย”
“แล้วเราไม่ไปสืบสวนดูต่อเหรอครับหากว่าสงสัยตามนั้น”
“โอ๊ยหมอ มันก็แค่สงสัยหลักฐานอะไรก็ไม่มีทั้งสิ้น อีกอย่างพ่อบ้านโรงบาลก็เป็นคนบอกผมเองว่าอย่าไปเอาเรื่องเอาราว คนตายไปแล้ว คนที่ยังอยู่จะลำบาก”
“พ่อบ้าน?”
“ครับ พ่อบ้าน แกเป็นคนกว้างขวาง อยู่อำเภอนี้มานาน เมียแกก็เป็นลูกกำนันดังในอำเภอนี้นะ”
“สรุปว่าคดีฆาตกรรมก็ปิดกันง่ายๆ แบบนี้เหรอครับ”
“เดี๋ยวสิเดี๋ยว ผมยังไม่ได้บอกซักคำว่าคดีนี้เป็นการฆาตกรรมนะหมอ”
“แล้วตายได้ยังไงล่ะครับ”
ผมพูดเสียงนุ่ม แต่ยังคงค้างสีหน้าเป็นประโยคคำถาม
“ก็มันไม่มีรอยยิงรอยแทงตรงไหน ไปพบศพอีกทีก็เช้าแล้วหมอ”
ร้อยเวรพูดจบทำท่าเก็บเอกสารบนโต๊ะแล้วเหมือนกำลังจะลุกขึ้นแล้วก็นั่งลงไปอีก มองนาฬิกาข้อมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม ทำสีหน้าเหมือนเบื่อการสนทนานี้เต็มทน
“และมีหลักฐานการชันสูตรไหมครับ”
“โอ๊ยไม่มีหรอกหมอ ก็บอกแล้วไง พ่อบ้านเค้าขอไว้ มีอะไรหมอไปคุยกับพ่อบ้านแล้วกัน”
ประโยคสุดท้ายนี้ทำให้คิดถึงวันที่ผมแวะมาสืบหาข้อมูลที่โรงพยาบาลชุมชน จำได้ว่าเป็นประโยคที่ทั้งพยาบาลและพนักงานชายขี้เมาเคยกล่าวไว้กับผมแบบนี้
ผมต้องกลับออกมาจากโรงพักแห่งนั้นด้วยความไม่เต็มใจและไม่รู้สึกว่าได้คำตอบอะไรเพิ่มเติมจากการมาในครั้งนี้ ผมยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวสาเหตุการเสียชีวิตของเพื่อนไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าน่าจะมีตัวละครสำคัญคนหนึ่งคือชายนักเลงที่ไม่พอใจบุญเสก เพราะลูกเมียตายระหว่างคลอด ถูกมองจากคนในโรงพยาบาลและตำรวจท้องที่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต แต่เรื่องมันไปถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ตรงที่ว่าแม้กระทั่งสาเหตุการตายก็ยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นการฆาตกรรม หรือจะเป็นอุบัติเหตุตามที่พูดๆ กัน
พ่อบ้าน! ผมจำคำบอกเล่าของพี่หมอเอกเมื่อหลายวันก่อนว่าแกก็ได้ทำเรื่องขอย้ายออกจากพื้นที่ตั้งแต่ก่อนที่จะโดนยิงเสียอีก และใช่เเล้ว แกบอกว่ามันเป็นเรื่องทุจริตในโรงพยาบาลที่เกี่ยวกับพ่อบ้านของโรงพยาบาล
ผมนึกถึงน้อยหน่า
หากได้คุยกับเธอ ผมน่าจะได้ข้อมูลอะไรมากกว่านี้ หรือเผลอๆ เธออาจจะรู้อะไรที่เป็นคำตอบของเรื่องนี้ก็ได้ แต่ทันทีที่ผมนึกถึงจดหมายของน้อยหน่าฉบับนั้น ความคิดต่างๆ เหล่านี้ก็วูบลง ผมไม่กล้าที่จะไปพบน้อยหน่า และผมรู้สึกว่าน้อยหน่าคงไม่อยากจะพบใครเช่นกัน