ตอนที่ 15
โดย : สำสา
เรื่องหลังโรงพยาบาล เรื่องสั้นโดย สำสา คุณหมอผู้ชื่นชอบการสื่อสารเเละถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตเเละธรรมชาติออกมาเป็นงานศิลปะ และครั้งแรกของเขากับงานเขียนในรูปแบบเรื่องสั้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านกัน เรื่องราวของ ‘หมอบุญเสก’ เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับและการตายที่อาจมีเงื่อนงำ
เป็นเวลาเกือบจะหนึ่งปีที่เรื่องราวของคุณหมอเอกชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ถูกลอบยิงจนมีอาการปางตายด้วยอุบัติเหตุของความรักที่เกิดขึ้นระหว่างหมอหนุ่มกับผู้ช่วยสาวในโรงพยาบาล โดยมีบุคคลที่สามคือพ่อของหญิงสาวเข้ามาเกี่ยวข้องและใช้ความรุนแรงเข้าตัดสิน
หมอย้ายไปพื้นที่อื่น แผลรอยกระสุนที่ท้องหายดีพร้อมกับเรื่องราวที่ถูกลืมและเลือนหายไป เหมือนใบไม้สีน้ำตาลทองของต้นยางพาราที่ร่วงหล่นผลัดใบแล้วถูกลมพัดลอยหายไปในหน้าร้อน
หญิงสาวรอหมอบุญเสกอยู่ทั้งวัน หลังจากรู้ว่าหมอจะเดินทางเข้าไปในตัวจังหวัดเพื่อพบกับแพทย์ใหญ่ เธอไม่รู้ว่าหมอจะไปคุยเรื่องอะไร สิ่งหนึ่งที่เธอกังวลคือเธอกลัวว่าจะเป็นเหมือนกับกรณีหมอเอกชัยที่ขอย้ายไปพื้นที่อื่น ซึ่งนั่นก็คงหมายถึงเธอจะโดนทิ้งเอาไว้ที่นี่อีก ครั้งนี้เธอไม่ได้บอกพ่อ เธอตั้งใจมาถามหมอบุญเสกให้รู้เรื่องราวว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร
เธอขี่รถมอเตอร์ไซค์ฝ่าความมืดเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านพัก ซึ่งตอนนี้มืดพอๆ กับถนนที่เธอขี่รถผ่านมา ไฟหน้าบ้านดับ มองขึ้นไปบนห้องนอนหมอบุญเสกก็มืดสนิท เธอคิดว่าหมอน่าจะเข้านอนแล้ว เธอใช้กุญแจสำรองที่เธอพกติดตัวไขประตูหน้าบ้านเข้าไป
ด้วยความคุ้นเคยเธอเอื้อมมือเข้าไปตรงด้านซ้ายของประตู ซึ่งเธอรู้ว่ามันเป็นสวิตช์ไฟภายในตัวบ้าน เธอกดซ้ำสองสามครั้งแต่ไฟไม่ติด เธอเริ่มสงสัยว่าไฟในบ้านน่าจะดับคงจะเป็นปัญหาเรื่องระบบไฟที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เธอมั่นใจว่าหมอคงกลับมาแล้วเพราะเธอเห็นรถที่หมอใช้เดินทางออกไปกลับมาจอดอยู่ในที่จอดรถของโรงพยาบาล
เธอเพียงแค่สงสัยว่าเหตุใดบ้านถึงได้เงียบสงัด ไม่มีสัญญาณว่าหมอบุญเสกอยู่ข้างบน เธอรู้ดีว่านิสัยของหมอจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะเข้านอน โดยเฉพาะหากรู้ว่ามีฟิวส์ขาดหรือไฟไม่ติด
ท่ามกลางความมืดสลัว เธอพยายามจ้องมองไปตรงทางขึ้นบันได ก็พบว่ามีรองเท้าคัตชูสีดำที่หมอบุญเสกใส่เป็นประจำ ถอดวางเอาไว้ตรงที่เดิมก่อนจะขึ้นไปบนชั้นสอง
เธอคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ราวกับเป็นบ้านของเธอเอง เพราะเกือบสองปีที่ผ่านมาเธอเข้า-ออกบ้านหลังนี้เป็นประจำในยามค่ำคืน แม้จะด้วยในฐานะที่ต้องปกปิดก็ตาม เธอจะเข้ามาในช่วงหลังสองทุ่มแล้วออกจากบ้านไปก่อนสว่างทุกครั้งหากเเต่ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านที่เธอเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เป็นลมหน้ามืดหลายครั้ง จนพ่อและเเม่ต้องบังคับให้เธออยู่กับบ้าน ไม่เที่ยวออกไปค่ำๆ และกลับมาตอนเช้ามืดเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เธอไม่ได้เชื่อพ่อเเม่ แต่เธอคิดว่าเธอตั้งครรภ์ จึงอยากพยายามพักผ่อนร่างกายให้มาก เธอบอกเรื่องนี้กับหมอบุญเสก แต่ในที่สุดการตรวจปัสสาวะก็ไม่พบว่าเธอมีการตั้งครรภ์เเต่อย่างใด
เสียงโครมเหมือนมีวัตถุขนาดใหญ่ตกลงบนพื้นบ้านชั้นสองพร้อมกับเสียงตึกตักดังอีกหลายครั้งซึ่งน่าจะเป็นการไถลลงมาที่บันได หญิงสาวใจหายเเล้วหยุดนิ่ง เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดต้องหยุดชะงัก
ภายหลังเสียงดังนั้นแล้วบ้านก็เงียบสงัดลง เหลือเพียงเสียงเต้นระทึกของหัวใจหญิงสาวที่ดังและรัวด้วยความสงสัยและตกใจว่าจะมีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับหมอ
“หมอ หมอคะ หมอ”
เธอเรียกหมอเบาๆ เเล้วค่อยค่อยเป็นตะโกนดังขึ้น ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
เธอรวบรวมสติและความกล้าค่อยๆ เดินขึ้นบันไดบ้าน เดินถึงชานพักบันไดเธอแปลกใจที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น เธอตัดสินใจเดินขึ้นบันไดต่อไป มองไม่เห็นว่าจะมีใครหรือหมอบุญเสกอยู่ตรงนั้น
“พี่หมอ พี่หมออยู่มั้ย”
“พี่หมอใช่ไหม”
เธอเริ่มมั่นใจว่าเงาคนที่เธอเห็นนั่งอยู่ตรงปลายเตียงเมื่อตาเธอมองผ่านประตูห้องนอนเข้าไปคือหมอบุญเสกนั่นเอง
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดังสนั่นเมื่อกี้มันเสียงอะไร”
หมอไม่ตอบยังคงนั่งนิ่ง หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องนอน หมอบุญเสกไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอแม้แต่น้อย…
“พี่หมอเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงเหมือนตกบันได”
“พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาไม่ได้หันกลับมามอง
“พี่ไม่เป็นไร และจะไม่เป็นอะไรอีกเเล้ว ทุกอย่างจบเเล้วและเรียบร้อยดี จะไม่มีใครต้องลำบากและเสียใจในเรื่องที่ทำอีกแล้ว”
หมอบุญเสกพูดอะไรแปลก เสียงเหมือนรำพันอยู่ในลำคอ
“เดี๋ยวหนูลงไปเอาผ้าเย็นๆ มาเช็ดตัวพี่หมอนะ”
“ไม่ ไม่ต้อง ไปตามช่างมาเเก้ไฟทีเถอะ”
เมื่อหมอบอกว่าไม่ก็คือไม่ และเธอแทบจะไม่เคยขัดคำสั่งเขา เธอจำใจหันหลัง รีบเดินออกจากห้องลงบันไดลงไป
เธอเป็นห่วงหมอ เเต่รู้ว่าต้องทำตามที่หมอบอก เธอรีบออกจากบ้าน คลำหามอเตอร์ไซค์ในความมืด สตาร์ตเครื่อง เเล้วรีบบึ่งออกไปตามช่างของโรงพยาบาลที่พักอยู่ตรงเรือนแถวซึ่งอยู่ห่างออกไปจากบ้านหมอไม่ไกลนัก
ถึงบ้านของช่างเธอบีบแตรเรียก มันเป็นเวลายังไม่ถึงเที่ยงคืน ไม่นานช่างก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่งัวเงีย
“ที่บ้านผอออไฟดับ ไปตรวจดูให้หน่อย” เธอตะโกนสั่งช่าง
“เหมือนแกจะตกบันได พี่ช่วยรีบไปดูไฟให้ก่อน เดี๋ยวหนูขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ห้องฉุกเฉิน ตามพยาบาลมาช่วยดูแผลให้แกด้วย”
เสร็จแล้วก็หันหัวรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไปมุ่งหน้าไปที่อาคารโรงพยาบาล
ช่างวิ่งเข้าไปในบ้านแค่อึดใจก็คว้ากล่องเครื่องมือวางลงในตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง สตาร์ตรถแล้วขับออกไปมุ่งหน้าไปที่บ้านพักแพทย์ผู้อำนวยการ
หญิงสาวไปถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เอาสแตนรถมอเตอร์ไซค์ลงแต่ยังไม่ได้ดับเครื่อง ตั้งใจจะเข้าไปตามพยาบาลหรือผู้ช่วยสักคนที่น่าจะยังทำงานอยู่ เธอพบพยาบาลอาวุโสที่คุ้นเคยกำลังดูคนไข้รายหนึ่งอยู่ภายในห้องฉุกเฉินที่ดูค่อนข้างจะวุ่นพอสมควร
“เดี๋ยวๆ รอพี่แป๊บเดียว ขอเวลาสองนาที เสร็จคนไข้รายนี้แล้วเราไปด้วยกัน”
ยังไม่ทันถึงครึ่งนาทีเสียงโทรศัพท์ในห้องฉุกเฉินก็ดังขึ้น หญิงสาวผู้กำลังร้อนใจรีบเดินเข้าไปรับโทรศัพท์แทนพยาบาลซึ่งยังไม่เสร็จงาน
“ห้องฉุกเฉินค่ะ”
เสียงช่างไฟตะโกนเลิกลั่ก “ช่วยด้วย ช่วยด้วย สงสัยผอออจะสิ้นใจแล้ว”
นั่นคือประโยคเดียวและประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยินผ่านสายโทรศัพท์