
เสน่หา บราชอฟ
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
รถไฟสายทรานซิลเวเนียพาผมจากกรุงบูคาเรสต์ขึ้นเหนือมา 166 กิโลเมตร ถึงเมืองเล็กๆ ชื่อ ‘บราชอฟ’ ในเวลาบ่ายแก่ๆ ของวันหนึ่งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มองจากกระจกหน้าต่างรถเมล์ที่นั่งจากสถานีรถไฟไปยังที่พัก เห็นตึกรามบ้านช่องดูทันสมัยแต่ไร้ตึกสูง สักพักก็เข้าสู่ย่านเมืองเก่า ลักษณะของอาคารบ้านเรือนเป็นแบบยุคกลางของพวกแซ็กซอน ดูเก่าแก่ขรึมขลังเหมือนอยู่กันคนละโลก
แมวอ้วนสีขาวเทาชื่อ ‘จูดี้’ เชื่องน่ารัก นั่งต้อนรับอยู่บนโซฟาห้องรับแขกของ Rolling Stone Hostel ‘ดิอานา’ พนักงานต้อนรับบอกว่าวันนี้มันดูเหงาๆ หน่อย เพราะแขกคนหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ในโฮสเทลแห่งนี้ถึง 9 เดือนได้เช็กเอาต์ออกไปเมื่อเช้าเพื่อกลับไปใช้ชีวิตในกรุงบูคาเรสต์ โดยที่ผ่านมาจูดี้นอนกับเขาเกือบทุกคืน

เมื่อผมเข้าห้องพัก ดิอานาก็จับจูดี้โยนเข้ามาในห้อง บอกว่า “ของคุณ” แล้วปิดประตู ระหว่างที่ผมเอาของออกจากกระเป๋าเป้ใบเล็ก เพื่อให้เหลือเฉพาะกล้องถ่ายรูป สมุด ปากกา และเสื้อกันฝน จูดี้ก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาเรียกร้องความสนใจ ผมนั่งลงกับพื้น เธอก็ขึ้นมานั่งบนตักอย่างรู้งาน แต่เล่นกับเธอได้ไม่นานเพราะหิวมาก ออกไปยังร้านอาหารชื่อ Casa Romaneasca ตามที่ดิอานาแนะนำ อยู่ตรงจัตุรัส Piata Unirii ใกล้ๆ โฮสเทล ถือเป็นร้านหรูประจำเมืองร้านหนึ่ง
ผมสั่งซุปผักท้องถิ่น สตูว์ไก่กับโพเลนตา ซึ่งทำจากแป้งข้าวโพดที่เสิร์ฟเป็นก้อนกลมแบน และเบียร์ Ciuc หนึ่งขวดเล็ก บริกรหนุ่มแนะนำเครื่องดื่มชนัพส์ (Schnapps) เพื่อเรียกน้ำย่อย เขาเรียกมันว่า Tuica ซึ่งเป็นบรั่นดีโฮมเมด กลั่นจากลูกพลัม กลิ่นหอม นิยมกันมากในยุโรปตะวันออก ผมยินดีรับข้อเสนอ เมื่อบริกรนำมาเสิร์ฟในแก้วช็อตทรงสูงปากกว้าง ผมถามเขาว่า “กี่ดีกรี่?” เขาตอบ “50 ดีกรี” จึงไม่กล้าดื่มรวดเดียว แค่จิบก็รู้สึกได้ถึงการเดินทางผ่านปาก คอ หลอดอาหาร และกระเพาะ แต่ถือว่ารสชาติไม่เลวเลยทีเดียว
ระหว่างที่กำลังจัดการกับสตูว์ไก่และโพเลนตา ก็เห็นสาวน้อยน่ารักที่มากับแม่นั่งโต๊ะข้างๆ หันมามองผมเป็นระยะๆ เมื่อผมจัดการอาหารเสร็จ เหลือเฉพาะเบียร์ จึงได้สนทนากับแม่ของสาวน้อย เธอบอกว่าลูกสาวสนใจใคร่รู้ว่าผมมาจากไหน จึงตอบไปว่ามาจากเมืองไทย สาวน้อยไม่รู้ว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก ประเทศในเอเชียที่เธอรู้จักมีแค่ประเทศจีน เพราะมีคนที่รู้จักคนหนึ่งมาจากเมืองจีน และชอบเล่นดนตรีจีนให้เธอฟังด้วย
ข้างนอกฝนกำลังตก เราจึงมีเวลาคุยกันนานพอสมควร โดยที่ผู้เป็นแม่เป็นล่ามให้เธอ สาวน้อยชื่อ “โจอานา” อายุ 10 ขวบ เรียนอยู่เกรด 2 (เริ่มนับจากเกรด 0) พูดตามแม่ของเธอเป็นภาษาอังกฤษว่า “Sorry, I cannot speak English”
โจอานาขอถ่ายรูปผม คงจะเอาไปโชว์เพื่อนว่าไปเจอเอเลี่ยนมา ผมจึงขอให้แม่ถ่ายรูปผมคู่กับโจอานาด้วย ก่อนลากันแม่ของเธอบอกว่าโตขึ้นเธออยากท่องเที่ยว อยากเห็นโลก และอยากมีปีก ผมบอกว่า “เธอจะบินได้โดยไม่ต้องมีปีก” โจอานายิ้มเมื่อได้ยินที่แม่แปลให้ฟัง
ฝนซาเม็ดลง ผมเรียกเก็บเงิน ราคาอาหารและเครื่องดื่มเทียบได้กับร้านระดับกลางๆ ของบ้านเรา เปิดกระเป๋าเป้เอาเสื้อกันฝนขึ้นมาสวม แล้วออกเดินไปบนถนนสายแคบๆ ที่ขนาบข้างด้วยอาคารเก่าๆ หลังเล็กๆ
เมืองบราชอฟแห่งนี้ เรียกตามแม่น้ำประจำท้องถิ่นที่ชื่อแม่น้ำบราชา สมัยที่ชาวแซ็กซอนหรือเยอรมันเข้ามาปกครองตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ได้เรียกเมืองนี้ว่า ‘ครอนสตัด’ (Kronstadt) ซึ่งหมายถึง ‘เมืองมงกุฎ’ เป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองป้อมปราการของชาวแซ็กซอนในภูมิภาคทรานซิลเวเนีย และในระหว่างปี 1950-1960 ช่วงหนึ่งที่ประเทศปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ก็ได้เรียกเมืองนี้ว่า Orasul Stalin หรือ ‘เมืองสตาลิน’ ซึ่งมาจากชื่อของ ‘โจเซฟ สตาลิน’ ผู้นำสหภาพโซเวียตขณะนั้น

ระยะเดิน 1 กิโลเมตรจากร้าน ‘คาซาโรมาเนสกา’ ไปยังจัตุรัส ‘พิอาตา สฟาตุลุย’ (Piata Sfatului) ถือว่ากำลังดีและไม่น่าเบื่อ ถนนแคบๆ เส้นนี้ไม่อนุญาตให้รถวิ่ง ผมเดินผ่านโรงเรียน มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ สนามกีฬา ประตูแคทเธอรีน ซึ่งในสมัยก่อนชาวบราชอฟต้องจ่ายเงินค่าเข้าเมืองให้กับเยอรมันผู้ปกครอง โบสถ์ดำ (Black Church) ซึ่งเป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่สุดในโรมาเนีย มีบางคนประกาศว่านี่คือโบสถ์สไตล์โกธิกที่ใหญ่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย และที่เรียกว่าโบสถ์ดำก็เพราะเมืองนี้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1689 ไฟและควันทำให้ผนังด้านนอกของโบสถ์เป็นสีดำ และด้านขวามือที่เด่นเป็นสง่าให้เห็นตลอดเส้นทางเดินก็คือภูเขาแทมปา (Tampa) ที่มีการนำตัวอักษรยักษ์สีขาวเขียนว่า BRASOV ขึ้นไปวาง คล้ายๆ กับเนินเขา HOLLYWOOD ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
จัตรัส Piata Sfatului คือจัตุรัสประจำเมือง วันนี้ดูเงียบเหงาเพราะฝนตกลงมา แม้จะไม่หนักแต่ไล่ผู้คนให้พ้นกลางแจ้งได้ กลางจัตุรัสมีแอ่งน้ำพุขนาดใหญ่ ปกติแล้วจะเป็นสถานที่โปรดของเด็กๆ ใกล้กันคือหอเมืองเก่า สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใช้เป็นที่ประชุมของพวกขุนนาง และยังมีส่วนที่เอาไว้ประจานคนทำผิดให้อับอายด้วย บางครั้งก็นำคนที่ถูกมองว่าเป็นแม่มดขึ้นไปทำโทษต่อหน้าสาธารณชน ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง
รอบๆ จัตุรัสคืออาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 หลังจากที่ชาวแซ็กซอนเข้ามาขับไล่ชาวมองโกล, ชาวเติร์ก และพวกอื่นๆ ออกไป แล้วสร้างเมืองให้อยู่ในกำแพง โดยมีป้อม 7 ป้อมรอบๆ เมือง คอยระวังภัยที่จะเข้ามา ปัจจุบันบริเวณจัตุรัสแห่งนี้จะมีการจัดงานคอนเสิร์ตที่ใหญ่โตชื่อ Golden Stag Festival เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 มีศิลปินจากทั่วโลกเข้าร่วม ในช่วงหลังไม่มีการกำหนดวันจัดงานล่วงหน้า โดยจะขึ้นอยู่กับความพร้อมของศิลปินดังๆ มากกว่า ทั้งนี้คำว่า Stag คือกวาง อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองบราชอฟ

เพราะฝนเพิ่งลงมาไล่ก่อนหน้านี้
ถัดจากจัตุรัสคือทางเดินใหญ่ของเมืองเก่าแก่แห่งนี้ สองข้างทางในปัจจุบันคือร้านอาหารที่มีการนำโต๊ะเก้าอี้มาวางกางร่มอยู่นอกร้าน หรือที่ฝรั่งเรียก ‘เทอเรซ’ ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วยุโรปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ก็ยังมีร้านขายเสื้อผ้ารองเท้า ร้านขายของที่ระลึก ผับ บาร์ พิพิธภัณฑ์เล็กๆ โรงละคร และอื่นๆ ในซอยย่อยก็ยังมีร้านรวงอีกมากมาย
เดินเล่นอยู่ในย่านเมืองเก่านี้จนฟ้าใกล้มืด ซึ่งในช่วงเวลานี้ของปีจะมืดประมาณ 3 ทุ่ม จึงเดินกลับโดยใช้ถนนอีกเส้นที่รถสามารถวิ่งได้ เจอร้านขายของชำ แวะเข้าไปหมายจะซื้อเบียร์ มีคนงานก่อสร้างเพิ่งเลิกงาน ซื้อเบียร์นั่งดื่มกันเป็นกลุ่มอยู่บนพื้นของร้าน หน้าตาดูเป็นมิตร ผมขอทางพวกเขาเพื่อเข้าไปหยิบเบียร์จากตู้แช่ ได้ยี่ห้อ Timisorena มา 1 กระป๋องใหญ่ เบียร์ตัวนี้อยู่ในเครือเดียวกับ Ursus บริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่ของโรมาเนีย แล้วหยิบเบียร์ขวดยี่ห้อ Bergenbier นำเข้าจากเยอรมนี เบียร์ทั้งสองยี่ห้อคิดเป็นเงินไทยแค่ประมาณ 50 บาทเท่านั้น ในร้านมีเด็กชายคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับโจอานาช่วยแม่ขายของอยู่ด้วย ผมถามว่าชื่ออะไร เขาตอบ “จอร์จี” ผมเลยต่อท้ายให้ว่า “จอร์จี ฮาจี” ทั้งลูกและแม่ก็หัวเราะ เพราะนี่คือชื่อของอดีตยอดนักฟุตบอลที่ชาวโรมาเนียเรียกเขาว่า ‘Regele’ หรือ ‘King’ เลยทีเดียว
เดินไปโผล่จัตุรัส Piata Unirii ซึ่งอยู่ใกล้ที่พัก เป็นจัตุรัสเล็กๆ ที่แทบไม่มีคนมานั่งเล่น มีอนุสาวรีย์ทหารนิรนามอยู่ที่มุมหนึ่ง ผมเปิดเบียร์ Timisoreana ขึ้นจิบ แล้วนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่งมองไปยังโบสถ์เซนต์นิโคลัสที่อยู่ใกล้ๆ กับจัตุรัส โบสถ์เริ่มแรกสร้างขึ้นด้วยไม้ในปี ค.ศ. 1392 แล้วจึงเปลี่ยนโครงสร้างมาเป็นหินในปี ค.ศ. 1495 เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไบแซนไทน์, โกธิก และบาโรก มีหอสูงแหลมอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยหอแหลมที่ต่ำกว่าจำนวน 4 หอ 4 มุม ข้างๆ โบสถ์คือสุสานขนาดเล็ก แต่ก็ได้ฝังบุคคลสำคัญๆ ของประเทศไว้หลายคน

ข้างๆ กันอีก คือโรงเรียนแห่งแรกของประเทศโรมาเนีย สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1495 พร้อมๆ กับโบสถ์เซนต์นิโคลัส แต่ตามคำบอกเล่าโรงเรียนแห่งนี้ได้มีการเรียนการสอนมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว และเนื่องจากขณะนั้นเป็นโรงเรียนเดียวในภูมิภาคทรานซิลเวเนีย (ภูมิภาคที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาคาร์เพเทียน) นักเรียนก็จะเดินทางมาจากเมืองต่างๆ ที่ไกลออกไป บางหมู่บ้านคัดเลือกนักเรียนขึ้นมาคนหนึ่งแล้วออกค่าใช้จ่ายให้เดินทางมาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้เพื่อจะกลับไปสอนคนในหมู่บ้านของตัวเอง มีบันทึกไว้ว่าตลอดการเปิดสอนมีนักเรียนทั้งสิ้น 1,730 คน โรงเรียนได้ปิดลงในปี ค.ศ. 1941 และได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของสะสมของโรงเรียนและสิ่งแสดงโบราณอื่นๆ รวมถึงแท่นพิมพ์แท่นแรกของประเทศที่ใช้พิมพ์ตำราเรียนให้กับโรงเรียน หนังสือแบบเรียนเล่มแรกและคัมภีร์ไบเบิลเล่มแรกซึ่งพิมพ์บนหนังแกะที่หนักถึง 7 กิโลกรัม ก็นำมาจัดแสดงด้วย

เบียร์ยังไม่หมดกระป๋องแต่รู้สึกว่าอากาศหนาวมาก แม้ว่าจะเข้ากลางเดือนพฤษภาคมแล้ว แต่อากาศปีนี้ยังหนาวอย่างพิลึก จึงเดินกลับโฮสเทลเข้าห้องพัก เสียบปลั๊กฮีตเตอร์ไฟฟ้าแล้วเปิดทีวี ปรากฏว่าทีวีโรมาเนียต้อนรับด้วยหนังเรื่อง Kickboxer หนังฮอลลีวูดปี 1989 นำแสดงโดยช็อง โคลด แวน แดม ถ่ายทำที่เมืองไทย เป็นเรื่องราวของพี่น้องฝรั่งอเมริกันที่คนพี่เป็นแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่ง เดินทางไปชกกับนักมวยไทยที่กรุงเทพฯ แต่โดนมวยไทยเตะจนเป็นอัมพาต น้องชาย (แวนแดม) แก้แค้นให้พี่ชายด้วยการไปเรียนวิชามวยไทย และสุดท้ายก็ได้ขึ้นชกกับนักมวยไทยคนนั้น ผลออกมาเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก ดูไปด้วยความสังเวชในความไม่สมจริงหลายประการ เปิดเบียร์ขวดที่เหลือปรากฏว่าไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ขวดเขียนไว้ว่า Fara Alcool ผมน่าจะเฉลียวใจก่อนหน้านี้ Fara นั้นแปลว่า Free ส่วน Alcool ก็คือ Alcohol จึงอาบน้ำอุ่นแล้วเข้านอน
ตื่นเช้าขึ้นมาฝนกำลังตกอย่างหนัก ดูอุณหภูมิจากโทรศัพท์มือถือลดต่ำเหลือ 5 องศาเท่านั้น หยิบเสื้อกันฝนขึ้นมาใส่ กลั้นใจวิ่งไปกดกาแฟจากตู้หน้ามินิมาร์ตข้างๆ จัตุรัส Piata Unirii ได้เอสเปรซโซ่มา 2 ช็อตในแก้วเดียวกัน เมื่อดื่มกาแฟหมดก็ขอแจ้งย้ายเข้าห้องดอร์ม (ห้องรวม) กับดิอานา เพราะทราบว่าวันนี้ไม่มีแขกคนอื่นอีกแล้ว เท่ากับได้ครอบครองห้อง 8 เตียงเพียงคนเดียว โดยที่จ่ายเงินน้อยลงเกือบ 3 เท่า ไม่ถึง 400 บาท
แถมด้วยแมวอ้วนชื่อจูดี้ เพราะนี่คือห้องที่เธอนอนเป็นประจำ