อาคารเจ้าหญิงและเจ้าชายขี่ม้าขาว
โดย : ไข่เจียวหมูสับ
อ่านเอาเล่าสนธยา เรื่องสั้นอ่านเพลิน โดย ไข่เจียวหมูสับ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลินไปกับเรื่องราวมากมายที่ยากจะคาดเดา พร้อมเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ ผ่านทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบคุณจะพบว่า บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมองชีวิตก็เปลี่ยน ลองสัมผัสกับ อ่านเอาเล่าสนธยา ที่ anowl.co เว็บไซต์นวนิยายที่คัดคุณภาพมาให้คนรักงานเขียนได้อ่านกัน
ไอ้หัวทู่เอ้ย มึงจะสามสิบหกแล้วยังอุตส่าห์รับงานสถุลแบบนี้อยู่อีก
คำด่าทอตัวเองดังลั่นในหัวแข่งกับเสียงฟ้าคำรามและฝนถล่ม อาณาในวัยเกือบจะเลขสี่เดินหลังค่อมวนไปมาในลานโล่ง สองมือหยาบหนาคว้าลังโลหะให้กลับมาตั้งอย่างมั่นคงอีกครั้ง
หนึ่งลัง สองลัง พอถึงลังที่สาม โลหะทรงเหลี่ยมที่สูงเกือบเมตรก็ทำให้หลังของเขาลั่นดังกร๊อบ
ไอ้เวรเอ้ย เขาสบถด่าเสียงดังแข่งกับฟ้าคำราม แน่นอนว่าสู้ไม่ไหว เสียงของตนจึงถูกกลบโดยสายฟ้าและพายุเสียหมดสิ้น ชายหนุ่มได้แต่แบกรับความพ่ายแพ้และจัดลังโลหะต่อ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงงานก็เสร็จ ลังโลหะที่ถูกพัดล้มหรือไม่ก็หลุดออกจากพื้นที่ทั้งหมด ได้รับการจัดสรรกลับเข้าไปอยู่ตำแหน่งที่ควรจะเป็นอีกครั้ง หรือก็คือครบทุกมุมของดาดฟ้าบนอาคารแห่งนี้ ทั้งหมดห้ามุม มุมละสิบลัง
ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมต้องไว้ตรงมุมอาคาร และต้องไว้มุมละสิบลังด้วย แต่พอทำเช่นนั้นแล้วระบบไฟฟ้าของเมืองนี้ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง
นั่นไงล่ะ มองออกไกลลิบก็พบว่าสิ่งปลูกสร้างสูงต่ำนับหมื่นรอบตัวอาคารนี้ เริ่มมีแสงไฟสว่างวาบออกมาแล้ว
ยังไม่จบหรอก ยังต้องจัดการระบบจ่ายไฟที่เริ่มรวนอีก ตัวฉนวนก็กำลังจะเสื่อมสภาพ คืนนี้ยังอีกยาวไกล
เมืองที่อาณาทำงานอยู่ถูกเรียกว่า ‘กรุงเทพฯ ๒’ ส่วนหมายเลขหนึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน สมัยเรียนประถมก็เคยมีสอนอยู่แต่ไม่ได้จำ มัวแต่ทำงานหาเงินงก ๆ แต่เคยได้ยินมาว่าคนไทยย้ายเมืองหลายเมืองมารวมกันที่ ‘กรุงเทพฯ ๒’ ภายหลังจากจบสงครามแบ่งแยกแผ่นดิน
แน่นอนว่าสงครามนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบเช่นกัน วัน ๆ ก็สนแต่จะทำงานตัวเองให้เสร็จก็พอ ไม่งั้นคงไม่มีไฟใช้กันหรอก
เขาทำงานในกลุ่มอาคารที่ใช้สำหรับควบคุมระบบไฟจำนวนสามสิบกว่าแห่ง ทั้งหมดมีความสูงสลับไปมา บ้านสองสามชั้น บางก็เสียดฟ้า แต่เกือบทั้งหมดตั้งห่างกันในระยะเดินเท้า อาคารเหล่านี้ทำหน้าที่ผลิตไฟให้แก่เมืองโดยรอบที่ถูกจัดวางเป็นเหมือนห่วงยาง โดยมีกลุ่มอาคารนี้อยู่ที่รูตรงกลาง
ถึงจะบอกว่าผลิตไฟ แต่ถ้าดูในแผนปฏิบัติงาน ก็พบว่าแค่รับไฟมาจากแหล่งอื่นที่ไม่แน่ชัด แล้วแจกจ่ายต่อก็เท่านั้น ทำเป็นบรรยายเสียใหญ่โต
ระบบผลิตและจ่ายไฟนั้นซับซ้อนและไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของอาณา เขาแค่ทำงานทั่วไปก็หมดพลังแล้ว
งานนี้มันเหนื่อยฉิบหายก็จริง แต่ค่าตอบแทนสูง ใครจะโง่ยอมลาออกวะ นั่นคือสิ่งที่เขาคอยพ่นใส่เพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยกว่าเกือบรอบ แต่มาวันนี้เริ่มคิดเรื่องเกษียณจริงจังแล้ว
อันที่จริงเงินตราที่หามาก็พอใช้จ่ายสำหรับชีวิตคนโสดนั่นแหละ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่อดตายหรอก แต่พอคิดภาพตัวเองที่ไม่ได้ทำงานแล้วก็แอบรู้สึกผิด นั่นเพราะเขาไม่เคยหยุดหาเงินมาตั้งแต่สี่ขวบ อีกอย่างฝีมือของแรงงานรุ่นใหม่ก็ห่วยเกินบรรยาย
พูดไม่ทันไรไฟก็ดับลงอีกครั้ง เขาที่เพิ่งได้พักเมื่อครู่รีบพุ้ยข้าวในจานให้หมด จากนั้นรีบขึ้นบันไดมายังดาดฟ้าของอาคารทันที ทว่าสิ่งที่พบกลับทำให้ต้องฉงน นั่นเพราะลังโลหะที่แสนหนักอึ้งนั้นยังอยู่ในสภาพปกติดีอยู่ มีสองสามลังที่เลยแนวเส้นพื้นที่มุมดาดฟ้าออกมา แต่ก็แค่สองถึงสามนิ้วเท่านั้น ไม่ได้มีผลให้ไฟดับทั้งเมืองแบบนี้หรอก
มองออกไปทิศเหนือ ที่ตั้งของเขตอาคารสำนักงานใหญ่ พบว่ายังคงมีไฟจาง ๆ อยู่ น่าจะเป็นเพราะไฟสำรอง แต่ก็คงสว่างได้ไม่ถึงสามชั่วโมงแน่
ไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงจากวิทยุกระจายเสียงที่ติดตามมุมต่างของอาคาร โชคดีที่ยังใช้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
นายอาณา เชิญพบกับหัวหน้าฝ่ายจัดการไฟฟ้าที่ชั้นสิบหก ด่วนที่สุด
อาณาหน้าซีด เพราะมันหมายความว่าเขาต้องขึ้นบันไดไปสิบหกชั้นเพื่อรับคำสั่ง แต่จะปฏิเสธก็คงไม่ได้ จึงเริ่มออกเดินทางพร้อมอาการปวดหลังและบั้นเอว
ในห้องประชุมขนาดย่อมที่สว่างจากไฟสำรอง เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับชายผู้มีหนวดเคราหรอมแหรม
ชายในชุดราชการตรงหน้าแม้จะร่างเล็ก แต่ก็ไหล่หนาผึ่งผายดูน่าเชื่อถือ บัตรพนักงานที่มีรูปเจ้าตัวหราอยู่ถูกแปะที่เสื้อตรงอกซ้าย เมื่อแนะนำตัวกันจึงทราบว่าชื่อคเชนทร์ เขารู้จักชื่อนี้ มันคือชื่อของหัวหน้าฝ่ายจัดการไฟฟ้าที่เลื่องลือนั่นเอง
เพราะง่วนอยู่แต่กับชั้นห้าสิบที่เป็นดาดฟ้าสูงลิบกับชั้นล่างสุดที่เป็นห้องพัก จึงไม่เคยมีโอกาสได้พบกันเป็นการส่วนตัว ได้แต่รับคำสั่งต่อ ๆ มาเท่านั้น
ทว่าคราวนี้คเชนทร์ในตำนานนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาในห้องประชุมเหม็นอับ ดูทรงก็เดาได้ไม่ยากว่าปัญหาไฟดับในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องทั่วไป
และเมื่อได้รับคำสั่ง ก็รู้เลยว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
“กลุ่มอาคารสีแดงหรือครับ”
“ถูกต้อง เรากำลังเจอปัญหาในระดับเมืองเหมือนว่าสามสิบปีจะเจอสักครั้ง และผมต้องการให้คุณไปจัดการอาคารสามจุดนั่น”
ผังสามมิติฉายขึ้นที่กลางโต๊ะสีขาว เป็นภาพเสมือนที่แสดงออกมาเป็นสีแดง อ่อนบ้าง เข้มบ้าง พอให้เห็นมิติของโครงสร้างอาคาร
อาคารสามแห่งวางเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า สองแห่งเป็นทรงกลมคล้ายแท่งกระบอกอะไรสักอย่าง อีกแห่งเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความสูงแต่ละอาคารประมาณสิบชั้นได้ นับว่าไม่สูงนัก ระยะห่างของแต่ละอาคารถ้าวัดคร่าว ๆ ก็ประมาณแปดร้อยถึงแปดร้อยห้าสิบเมตร เกินระยะที่จะเดินถึงได้อย่างสบายขาไปเล็กน้อย
เขาไม่เคยเฉียดไปบริเวณกลุ่มอาคารดังกล่าว แม้อาคารทั้งสามแห่งนี้จะตั้งอยู่ในระยะสายตาหากมองจากชั้นดาดฟ้าของอาคารนี้ แต่เพราะทิศทางนั้นมีกำแพงขนาดใหญ่ตั้งขวางอยู่ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าอาคารจริงจะต่างจากภาพสามมิติที่เห็นอยู่หรือไม่
แต่ที่มีปัญหาจริง ๆ คือตัวอักษรด้านบนอาคารสามแห่งที่ใช้ระบุชื่อเรียกต่างหาก
‘PRINCESS’ ‘PRINCE’ ‘ม้าขาว’
ชื่ออะไรของพวกมันวะ ไอ้ม้าขาวน่ะพอเข้าใจ แต่ภาษาอังกฤษอีกสองคำมันหมายความว่าอะไรกันนะ กลุ่มอาคารที่เคยทำงานด้วยก็มีแต่ชื่อภาษาไทย ตัวเลข ไม่ก็ ก ข ค เพิ่งเคยเจอชื่อภาษาต่างประเทศก็วันนี้
แม้จะยังมีการนำรูปประโยคหรือสำนวนของต่างประเทศมาใช้อยู่ตามความเคยชินของประชาชน แต่คนที่อ่านภาษายาก ๆ แบบนี้ออกในกลุ่มอาคารนี้คงมีไม่กี่คน และนั่นไม่ใช่เขา…
เมื่อสอบถามคเชนทร์ว่าคำเหล่านี้อ่านว่าอะไร ก็ถูกเอ็ดเสียงดัง
“ถามอะไรไร้สาระ อ่านไม่ออกก็จดไปสิ รีบไปทำงานได้แล้ว”
เพราะก่นด่าอย่างไร้เหตุผล แถมยังมีท่าทีหงุดหงิดผิดวิสัย จึงพอให้เดาออก คเชนทร์เองมีตำแหน่งใหญ่โตเสียเปล่า ที่แท้ก็อ่านภาษาอังกฤษไม่ออกเหมือนเขา
ก็ไม่น่าแปลกใจ ประเทศทุกแห่งบนโลกตัดขาดออกจากกันแทบจะสิ้นเชิงมาร้อยกว่าปีแล้ว แค่คนที่ทราบว่าอักษรเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษก็นับคนได้เลย ที่อาณาพอรู้ก็เพราะเคยมีเพื่อนเป็นผู้หลบหนีที่เขียนอังกฤษได้มาก่อน ทว่าไอ้หนุ่มตาสีฟ้านั่นถูกจับไปนานแล้ว จะตายห่าหรือยังก็ไม่อาจทราบ
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้โง่ คำอ่าน เอ บี ซี ก็ท่องพอจะได้ เพราะแอบเรียนกับเพื่อนผู้ดีมาตั้งแต่เด็ก แต่จะให้อ่านคำที่แต่ละตัวมารวมกันนั้น ดูจะเกินกำลังไปหน่อย
เมื่อรับงานเสร็จสิ้น คเชนทร์บุ้ยหน้าให้เขาออกจากห้อง พร้อมบอกว่าจะส่งมือดีมาช่วย โดยให้เขาไปรอที่ชั้นล่างก่อน
มือดีที่ว่านั้นคือชายวัยกลางคน ผู้เดินเข้ามาตบบ่าของอาณาพร้อมทักทาย
เฉพาะหน้าตานั้นดูใจดีพร้อมผมดกดำ แต่กลับซ่อนร่างล่ำสันในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขายาวชวนให้บรรยากาศน่าสะพรึง แม้จะสูงไม่ถึงมาตรฐานชายทั่วไปก็ตามเถอะ
“ข้าชื่อลุงทูล มีอะไรก็ถามมาได้” เสียงนั้นดังกว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย อาณามองว่าคงต้องการข่ม
จากนั้นผู้ที่ถูกส่งมาดูแลแจ้งต่อด้วยเสียงดังแข่งกับสายฝนด้านนอกอาคาร
“ที่มึงต้องทำนั้นโคตรง่าย ถ้าไม่โง่เสียอย่าง ยังไงก็ต้องทำสำเร็จแน่นอน”
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงใส่เสาไฟที่ด้านนอกประตูกระจก ไกลออกไปจากชั้นล่างไม่ถึงสิบเมตร ทั้งสองคนตัวงอเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่โดนร่างใครจึงเริ่มคุยกันต่อ
“มึงคงจะมีปัญหาในการเรียกชื่ออาคารสินะ” ลุงพูดอย่างมั่นใจ คงคาดเดาได้จากสีหน้าแววตา
“งั้นเรามาตั้งชื่อกันใหม่กันเถอะ อาคารที่ชื่อยาว ๆ ให้เรียกว่า ‘อาคารสองพยางค์ – PRINCESS’ ส่วนอีกอาคาร ‘อาคารพยางค์เดียว – PRINCE’ ส่วนอีกอาคารนั้น ชื่อแม่งอ่านออกอยู่แล้วจึงไม่ใช่ปัญหา”
แม้จะมองว่าไร้สาระ แต่เพราะอยากให้เสร็จ ๆ จึงได้แต่ตอบรับ
“สิ่งที่มึงต้องทำ อย่างแรกคือเดินไปยังตึกสองพยางค์ เพื่อตรวจสอบ หากพบว่าเกิดเหตุผิดปกติกับอาคารนั้น ให้วิทยุมาแจ้งกู”
เดี๋ยวกูเดี๋ยวข้า จะเรียกตัวเองว่าอะไรก็เอาสักอย่างสิ อาณาเริ่มสับสน แต่ก็ตั้งใจจะทำงานเต็มที่ตามปกตินิสัย ลุงทูลกล่าวจบแล้วส่งวิทยุสื่อสารสีแดงมาให้ ขนาดนั้นประมาณสองฝ่ามือได้
ตึกสองพยางค์ อันที่เขียนว่า PRINCESS สินะ ว่าแต่… แล้วยังไงถึงเรียกว่าผิดปกติเล่าลุง อาณาถามด้วยน้ำเสียงจริงใจ ไม่ได้ต้องการจะกวน แต่ดูท่าแล้วลุงทูลจะไม่ชอบใจ
“ถ้ามึงมีสมองอยู่ในกบาล ต่อให้โง่ฉิบหายขนาดไหน ยังไงเสียก็ต้องดูออกว่าผิดปกติ”
ไอ้ห่า กูจะไปรู้กับมึงไหม นั่นคือสิ่งที่คิดในใจ แต่พูดออกไปคงโดนหวดกบาล จึงได้แต่ส่งเสียงขานตอบว่าเข้าใจแล้วครับ แล้วเริ่มออกเดินทาง
อาคารแต่ละหลังในเมืองนี้มักจะเชื่อมต่อกันผ่านท่อขนาดใหญ่ทั้งบนดินและใต้ดิน บ้างก็เรียกว่าอุโมงค์ ด้านในทางเดินกว้างอย่างกับตึกทั้งหลัง บุด้วยวัสดุบางอย่างที่ทึบและกันได้แม้แต่ระเบิดปรมาณู การเดินทางไปยังอีกอาคารจึงมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แถมหลอดไฟที่ติดตามท่อก็ไม่ได้สว่างอะไร แต่ในสถานการณ์ที่ฟ้าถล่มเช่นนี้ การมีหลังคาคลุมหัวถือว่าโคตรโชคดี
ตึก PRINCESS ที่อยู่หลังกำแพงยักษ์นั้นตั้งอยู่ไกลจากสถานที่ทำงานประจำของเขามาก ใช้เวลาเดินเกือบยี่สิบนาทีก็ยังได้แค่ครึ่งทาง รู้สึกเหนื่อยฉิบหายแต่ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากกัดฟันเดินต่อไป
เสียงฟ้าร้องยังดันลอดเข้ามาในโถงทางเดิน แอบหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องทำใจกล้าไว้ งานเว้ย เพื่องาน… นั่นไงเล่า ทางออกสู่เขตอาคารสีแดงอยู่ข้างหน้าแล้วเว้ย มันอยู่เลยประตูที่เชื่อมไปยังส่วนอาคารม้าขาวเล็กน้อย
ก้าวไปต่ออีกไม่ถึงสิบก้าวก็มาถึงหน้าประตูเหล็กสีแดง เขากดลูกบิดแบบคันโยกลงด้านล่าง มันไม่ได้ล็อคเอาไว้ เมื่อออกแรงไปข้างหน้าประตูหนาทนทานก็เปิดออกพร้อมส่งเสียงเอี๊ยดดังลั่น
มันไม่ได้เชื่อมต่อไปยังตัวอาคารอย่างที่เคยคุ้นชิน แต่เปิดออกไปกลับเจอที่โล่งอันอุดมไปด้วยสายไฟเครื่องอุปกรณ์สูงขนาดครึ่งตัวคนถูกวางอยู่อย่างมั่วซั่ว เขาพยายามมองหาอาคารสองพยางค์
และแล้วก็ต้องตาโตราวไข่ห่าน เวรเอ๊ย
อาคารทรงกระบอกสีแดงแสนงดงามอันเป็นเป้าหมายนั้นปรากฏอยู่ด้านขวา ไกลออกไปประมาณร้อยกว่าเมตร เป็นระยะที่ตามองเห็นได้ง่าย ๆ แต่ที่มองไม่สังเกตในทีแรก นั่นเพราะอาคารสองพยางค์นั้น… มันกำลังลอยอยู่บนฟ้าลอยจากพื้นสักหลายร้อยเมตรได้
แม่งไม่ปกติ ไม่ปกติแน่นอน เขาลุกลี้ลุกลนหยิบวิทยุสื่อสารที่เหน็บไว้ตรงเอวขวาขึ้นมาเพื่อติดต่อหาลุงทูล
เมื่อมีเสียงตอบรับ เขารีบพ่นข้อมูลที่มี
“ลุง! ฉิบแล้ว ฉิบหายแล้ว ตึก… ตึกแม่งลอยอยู่บนฟ้าเว้ยลุง!”
ลุงทูลส่งเสียงสบถหยาบคายดังทะลุมาถึงหู “กูว่าแล้ว ไอ้ณาเอ๊ย มึงเจองานยากเข้าแล้ว”
“หมะ หมายความว่ายังไงลุง ผมงงไปหมดแล้ว”
“กูจะไม่บอกให้มึงใจเย็นนะ เพราะแม่งไม่มีทางทำได้หรอก แต่มึงลองกลั้นหายใจ และมองไปที่ด้านหลังของอาคาร มันมีสาเหตุของเรื่องนี้อยู่”
ด้านหลัง ด้านหลัง เขารีบทำตามแต่เพราะสับสนไปหมด จึงยืนตัวนิ่งและพึมพำไปมา
ลุงทูลที่น่าจะเดาอาการของอาณาออกเริ่มใช้เสียงที่เย็นขึ้น คงต้องการช่วยให้เขาสงบลงและไม่เสียงาน “อาคารจะหันหน้ามาทางประตูที่มึงเพิ่งเดินออกมา เดินออกจากบริเวณนั้น แล้วมองไปด้านหลังของอาคาร”
อาณาที่เริ่มได้สติออกเดินดุ่ม ๆ ไปทางขวา สายฝนยังคงสาดจากฟากฟ้า เพราะเป็นอาคารทรงกระบอก จึงยากที่จะเล็งว่าด้านหลังอยู่ตรงไหน แต่เมื่อเดินห่างไปสักพักมุมมองที่เห็นก็เริ่มเปลี่ยน และเขาก็เข้าใจสิ่งที่ลุงต้องการจะให้ดู
ด้านหลังของอาคารนั้นมีอะไรบางอย่างที่ปักบริเวณชั้นบนของอาคาร สองพยางค์ (PRINCESS) อยู่
ที่เรียกว่าปัก เพราะแม่งเป็นเหมือนแท่งสี่เหลี่ยมสีเทายาว ๆ ที่พุ่งมาปักติด ไม่ต่างกับถูกปาหอกใส่เลยทีเดียว
และอีกด้านของแท่งยาวนั้น คืออาคารอีกหลังที่เป็นสีเทาเข้ม ทรงเหลี่ยมธรรมดา แต่สูงทะมึนเกินจะเชื่อ แม้ว่าอาคารสองพยางค์จะลอยขึ้นจากพื้นประมาณเท่าหนึ่งของความสูงตัวเองแล้ว แต่อาคารสีเทาเข้มนั้นก็ยังอยู่สูงกว่าพอสมควร
และหากตามิได้ฝาด ไอ้แท่งเวรตะไลนั่น เหมือนกำลังลดสั้นลงเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ก็คืออาคาร สองพยางค์กำลังถูกดึงเข้าไปหาอาคารสีเทาอย่างช้า ๆ นั่นเอง
อาณารีบตะโกนใส่วิทยุสื่อสาร “ลุง ลุงโว้ย ตึกเทาแม่งกำลังดูดตึกแท่ง ๆ เข้าไปแล้ว”
ปลายสายวิทยุได้ยินเสียงคนกำลังซดของอะไรเหลว ๆ ดังอึก ๆ
“ลุงทูลครับ มึงอย่าเพิ่งกระดกเหล้าในเวลาอย่างนี้สิวะ” เขาตะโกนด่าแข่งกับเสียงฟ้า โดยไม่สนวัยวุฒิและตำแหน่งอะไรแล้ว
“แค่ก มึงอย่าเพิ่งขัด เรื่องนี้แม่งเป็นเรื่องใหญ่มาก กูต้องย้อมใจ” เอาล่ะ ไอ้อาณามึงโคตรโชคดีที่ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นี้ สิ่งที่มึงต้องทำ คือช่วยชีวิตของอาคารสองพยางค์อาไว้
“ช่วยชีวิตห่าอะไร อย่ามาล้อเล่นกับกูนะเว้ย”
ไอ้เชี่ยทูลแม่งไม่สนใจคำค้านของเขา แต่ยังคงอธิบายต่อด้วยเสียงดังฟังชัดเกินคาด
“มึงรีบย้อนกลับมาทางเดิมเดี๋ยวนี้ มุดเข้าทางเชื่อมต่อ แล้วไปให้ถึงอาคารม้าขาวให้ไวที่สุดเท่าที่ขายาว ๆ ของมึงจะปั่นเท้าได้ จำไว้ว่าอาคารที่จะช่วยสองพยางค์ได้ คืออาคารพยางค์เดียวเท่านั้น”
“เดี๋ยวสิลุง ถ้าอาคารที่ช่วยได้คือไอ้พยางค์เดียว ทำไมไม่ให้ผมไปหาอาคารนั้นเลยเล่า จะให้ไปหาม้าขาวทำเชี่ยอะไร”
“มึงแม่งโง่จริงโว้ย อาคารพยางค์เดียวถ้าไม่มีอาคารม้าขาว ให้เวลาแม่งสิบปีคงยังไม่ถึงตัวอาคารสองพยางค์เลยมั้ง”
อาณานั้นมึนราวกับเพิ่งถูกหวดหัวด้วยขวดเหล้า ไม่เข้าใจเจตนาของลุงทูลเลยแม้แต่น้อยดูท่าไอ้ลุงแม่งจะเข้าใจอยู่คนเดียวเสียแล้ว
เมื่อปลายสายตะโกนถามว่ามึงเริ่มวิ่งหรือยัง เขาไม่ตอบ แต่ปล่อยตัวเองยืนนิ่งตากลมฝน มองไปไกลเห็นอาคารสองพยางค์ถูกดึงเข้าไปเรื่อย ๆ คำนวณจากสายตาคร่าว ๆ แล้ว อีกไม่เกินสิบนาทีก็คงชนกัน
“ถ้าแม่งชนกันจริง ๆ เมืองทั้งเมืองจะไม่มีไฟฟ้าใช้อีกเลยนะเว้ย ไอ้อาณา” เขารู้สึกว่าเสียงของลุงทูลแม่งน่ารำคาญขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่นานไอ้ลุงเชี่ยก็เริ่มพูดด้วยเสียงอ่อนโยนกว่าเมื่อครู่มาก “กูรู้ดีว่ามันยาก และมึงอาจไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เชื่อกูเถอะว่ามึงเป็นคนเดียวในโลกที่จะช่วยเหลือประชาชนในประเทศนี้ได้ กูขอเถอะวะ ช่วยทำตามที่บอกไปเถอะ
มึงจำได้สินะว่าอาคารทั้งสามน่ะ เอ้อ… ไม่รวมไอ้ห่าตัวร้ายสีเทา ๆ นะ อาคารทั้งสามเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่เวลานี้อาคารสองพยางค์กำลังถูกดึงออกจากกรอบสามเหลี่ยมไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ต้องทำคือใช้อาคารหนึ่งพยางค์ไปกระแทกใส่อาคารสีเทานั่น”
อะไรของมึงวะเนี่ย แต่ช่างเถิด กูขอโยนสมองทิ้งแล้วฟังทีมันพูดอาจจะสบายใจกว่า อาณาตัดสินใจได้เช่นนั้น แล้วเริ่มวิ่งกลับไปทางเดิม ขณะที่ลุงทูลยังพล่ามไม่หยุด
“ขอบอกไว้เลยว่าแต่ละอาคารจะเคลื่อนที่ได้แค่ตามกรอบสามเหลี่ยมเท่านั้น ถ้าพูดอย่างนี้มึงก็คงมองออกว่าไม่มีมุมไหนเลยที่จะอำนวยให้อาคารพยางค์เดียวพุ่งชนได้ ยกเว้นอาคารสองพยางค์ที่กำลังถูกดึงออกจากวงโคจรนี้
และเมื่ออาคารตัวร้ายแม่งซ่อนที่ด้านหลัง พุ่งไปก็มีแต่จะชนอาคารสองพยางค์เท่านั้น”
แล้วจะให้ทำไงล่ะวะ แม้จะก่นบ่นในใจ แต่อาณาก็พาร่างเข้าประตูกลับมายังทางเชื่อมแล้ว วิ่งกลับมาทางเดินก็พบว่าทางซ้ายมีประตูที่ติดต่อกับเส้นทางเชื่อมสู่อาคารม้าขาวอยู่
เมื่อเปิดเข้าไปก็พบทางเดินในอุโมงค์ที่ยาวเกินกว่าจะประมาณได้
เสียงของลุงทูลยังพ่นออกมาจากวิทยุสื่อสารในกำมือ อาณายังคงจ่อวิทยุไว้ที่ปาก มันเป็นมุมที่ฟังได้ยินชัดที่สุด ขณะวิ่งจ้ำไปตามทางเดิน
“จริงอยู่ที่อาคารม้าขาวและอาคารหนึ่งพยางค์เคลื่อนที่ได้แต่ตามแนวกรอบ แต่นั่นหมายถึงเมื่อทั้งสองอาคารแม่งแยกกันอยู่เท่านั้น
แต่หากมึงทำตามที่กูบอก อาคารหนึ่งพยางค์กับตึกม้าขาวแม่งจะมาเจอกัน”
อาณาหยุดกึก “หมายความว่าไงลุง!”
“เอ้อ กูพูดตรงไป เอาเป็นว่าตึกสองตึกแม่งจะขึ้นขี่กันจะฟังเข้าใจกว่า”
นั่นไม่ได้ช่วยเลย อาณาตัดสินใจวิ่งต่อ “แล้วถ้าพวกแม่งขี่กันเสร็จ แล้วจะช่วยตึกสองพยางค์ได้ใช่ไหมลุง”
“อันที่จริงจะเรียกว่าขี่ก็ไม่ผิดหรอก แต่ไม่ใช่ในเชิงที่มึงคิด เอาเถอะ… ก็ประมาณนั้น ว่าแต่มึงจะถึงยังวะ”
เขาไม่ตอบ มิใช่เพราะหายใจไม่ทัน เรื่องนั้นใช่ปัญหา เพราะชายหนุ่มนั้นเหนื่อยเกินกว่าจะรู้สึกแล้ว แต่เงียบไปเพราะทางข้างหน้าเริ่มมืดลง หลอดไฟที่เรียงรายกันบนเพดานเริ่มติด ๆ ดับ ๆ คงเพราะไฟฟ้าสำรองกำลังจะหมด หรือไม่ก็เกิดจากฟ้าคะนองด้านนอก
ต้องรีบแล้ว…
ครู่หนึ่ง อาณาก็วิ่งมาถึงหน้าประตูสีเขียว เมื่อเปิดออกอย่างรีบร้อนพร้อมพาตัวเองก้าวผ่านเข้าไป ก็พบกับไอร้อนจากด้านในมาปะทะทันที
ความชื้นจากเสื้อผ้าที่ตากฝนผสมกับความร้อน ส่งผลให้รู้สึกมีไข้ แต่กระนั้นก็ยังต้องฝืนทน
ถัดจากประตูนั้นเป็นพื้นที่ในอาคารม้าขาว โครงสร้างนั้นเหมือนวงกลมที่มีรูตรงกลาง โดยรูตรงกลางอาคารเป็นที่ตั้งของตู้ชักรอกขนาดใหญ่สำหรับพาคนขึ้นลง ส่วนรอบวงกลมนั้นถูกจัดให้ดูคล้ายกับสวนป่าแทบทุกชั้น แม้จะไม่มีสรรพสัตว์แต่ก็เต็มไปด้วยพืชไม้นานับชนิด
จากประตูที่อาณาออกมานั้น เดินไปด้านหน้าสักเล็กน้อยก็มาถึงบริเวณหน้าตู้ชักรอกตรงกลางอาคารชั้นล่างสุดแล้ว พื้นที่ส่วนกลางนอกเหนือจากตู้นี้มีเนื้อที่ประมาณห้าสิบตารางเมตร พอจะให้หมุนตัวไปมาได้สบาย และจากสวนอันอุดมสมบูรณ์ล้อมเป็นวงกลมทั่วทุกชั้น ส่งผลให้เมื่อมองไปรอบทิศ ลานสายตาจึงมองเห็นแต่สีเขียวผ่อนคลาย ตรงข้ามกับสถานการณ์ที่กำลังเจอะในเวลานี้
หากจะนับว่าอาคารนี้มีกี่ชั้น คงประมาณได้ว่าเกินยี่สิบชั้น
“มึงมาถึงแล้วใช่ไหม” เสียงของไอ้ลุงปลุกจากความผ่อนคลาย
“จากนี้ที่มึงต้องทำ คือเข้าไปในตู้ชักรอก กดไปยังชั้นบนสุด ที่นั่นจะเป็นห้องเครื่องยนต์ จากนั้นมึงจะรู้เองว่าต้องทำอะไร”
อาณาทราบดีอย่างสุดซึ้ง ว่าการจะหาคำตอบจากลุงทูลนั้นยากกว่าภารกิจนี้เสียอีก จึงทำตามโดยไม่สนใจจะปริปากบ่น
เมื่อเดินเข้าไปที่ตู้ชักรอกตรงกลางอาคาร มันเหมือนห้องกระจกที่กว้างพอจะจุได้สักสิบคน มีหมายเลขของชั้นแปะอยู่ตรงกำแพงด้านซ้ายมือ เขาเอานิ้วจิ้มที่เลขยี่สิบห้า อันที่เป็นชั้นบนสุดของอาคารม้าขาว
ตู้ค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นไปโดยใช้กำลังจากไฟฟ้าสำรอง (หากเข้าใจไม่ผิดนะ เขาไม่ทราบหรอกว่ามันทำงานอย่างไร แถมยังเคยใช้แค่ไม่กี่ครั้ง) เกิดเป็นเสียงครึก ๆ น่าฟังอย่างประหลาด ใช้เวลาประมาณสองช่วงลมหายใจ ตู้ชักรอกก็หยุดกึก ประตูใสเปิดออกเชื้อเชิญให้ออกไป
ตำแหน่งนั้นคือพื้นที่ตรงกลางของชั้นสูงสุดแห่งอาคารม้าขาวนี้ มันแตกต่างจากชั้นอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นที่โล่ง โดยพื้นที่ส่วนอื่นในชั้นนี้นอกเหนือจากตู้ชักรอก กลับมีอุปกรณ์และเครื่องจักรน้อยใหญ่เกลื่อนเต็มไปหมด กำแพงสี่ด้านรอบตัวนั้นก็เป็นกระจกทึบแสงที่มองไม่เห็นด้านนอก
อาณามองซ้ายขวาอย่างลนลาน ด้วยตนไม่เคยเห็นอุปกรณ์เหล่านี้มาก่อน ไม่ทันไรสายตาก็ปะเข้ากับบางอย่างทางขวา เขาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
และสิ่งที่เห็นตรงหน้า ทำให้เขาทราบทันทีว่าต้องทำอะไร
มันเป็นภาพสามมิติสีแดงที่ฉายขึ้นมาจากโต๊ะอันอุดมไปด้วยเอกสารและสายไฟ ภาพนั้นจำลองถึงอาคารสามแห่งซึ่งวางมุมเป็นแนวสามเหลี่ยมด้านเท่า ไม่ต่างอะไรกับภาพจำลองที่เห็นในห้องของคเชนทร์ เพียงแต่มีบางอย่างที่ต่างออกไป
เรียกว่าผิดปกติเกินกว่าจะเบนสายตาออกจะเหมาะสมกว่า
สิ่งผิดปกตินั่นคืออาคารม้าขาวและอาคารสองพยางค์ อาคารทั้งสองกำลังซ้อนกัน!
จะเรียกว่าขี่ก็ไม่ผิด เพราะภาพจำลองนั้นฉายให้เห็นว่าอาคารสองพยางค์กำลังตั้งอยู่บนอาคารม้าขาวแห่งนี้จริง ๆ
และเท่านั้นยังไม่พอ อาคารทั้งสองยังค่อย ๆ เคลื่อนย้ายจากแนวสามเหลี่ยมด้านเท่า ตีโค้งออกไปราวกับครึ่งวงกลม วงโคจรนั้นโค้งไปถึงอาคารหนึ่งพยางค์ที่กำลังตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวจากนั้นภาพสามมิติก็ย้อนหลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ แล้วฉายซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
ใช่แล้ว… หากสองอาคารรวมกันจะสามารถหลุดจากกรอบแนวสามเหลี่ยมได้สินะ อาณาเข้าใจในทันใด แม้จะเป็นเรื่องเกินกว่าจะเชื่อก็ตาม แต่เขาโยนเหตุผลและตรรกะทิ้งไปสิ้นตั้งนานนมแล้ว
เสียงของลุงทูลติดต่อมาอีกครั้ง ทว่ากลับฟังดูขาด ๆ หาย ๆ
“ไอ้หนุ่ม เอ็งไปถึงห้องควบคุมแล้วใช่ไหม… รู้… ว่าต้องทำ… ด่วน… กูคงติดต่อ…”
ไม่มีคำพูดใดลอยออกจากวิทยุอีก มีเพียงเสียงซ่าแปลกที่ไม่ค่อยรื่นหูเท่านั้น แต่อาณาไม่ได้ใส่ใจ ในหัวทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
อาคารสูงสีเทานั้นพยายามชิงอาคารหนึ่งพยางค์ไป โดยดึงออกจากแนวสามเหลี่ยม ส่งผลให้ไฟฟ้าของทั้งเมืองขัดข้อง
และเขาต้องนำอาคารสองพยางค์และอาคารม้าขาวไปช่วย แม้จะเดาไม่ออกหรอกว่าเมื่ออาคารทั้งสองไปถึงตำแหน่งนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีเวลาสนใจแล้ว นั่นเพราะอาณาค้นพบปัญญาใหญ่กว่านั้นอยู่ตรงหน้า
…ภาพสามมิติที่เห็นในห้องของคเชนทร์นั้น เมื่อมองกรอบแนวสามเหลี่ยมจากด้านบน จะพบว่าที่หัวสามเหลี่ยมจะเป็นที่ตั้งของอาคารสองพยางค์ (PRINCESS) ล่างซ้ายเป็นที่ตั้งของอาคารม้าขาว (นั่นคืออาคารที่เขายืนอยู่) และล่างขวาเป็นที่ตั้งของอาคารพยางค์เดียว (PRINCE)
ส่วนภาพจำลองในห้องนี้ก็แนวเดียวกัน ต่างกันแค่อาคารสองพยางค์ย้ายมาตั้งบนอาคารม้าขาวเท่านั้น
นั่นแหละคือปัญหา เขาจะทำอย่างไรให้อาคารขนาดใหญ่นั้นลอยข้ามฟ้ามานั่งทับอาคารแห่งนี้ได้วะ
มองซ้ายขวาก็ไม่พบวิธีใช้ อันที่จริงก็มีตัวหนังสืออะไรยุบยับ บ้างก็เรียงกับเป็นบทความย่อม ๆ แต่ดันเสือกเป็นภาษาที่อ่านไม่ออกเสียอย่างนั้น
แต่แล้วก็พลันไปเห็นบริเวณด้านขวาบนของห้องนี้ มันมีแท่งควบคุมสีเงินที่ตั้งขึ้นมาจากพื้นสูงเกือบถึงอก แถมด้านบนของแท่นยังมีคันบังคับที่คล้ายพวงมาลัยอยู่ด้วย
…ใช้สำหรับขับขี่อาคารแห่งนี้ เพื่อไปรับอาคารสองพยางค์งั้นหรือ จินตนาการของอาณาได้รับประสบการณ์มามากพอจึงเกิดการพัฒนาแล้ว
ไม่รอช้า อาณาลองไปหมุนพวงมาลัยดู แต่ก็พบว่ามันหนักอึ้งและฝืดเอาเรื่อง แต่เมื่อออกแรงไปสุดตัว พวงมาลัยกลม ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว โดยหมุนเข็มนาฬิกาตามการส่งของเขา
อาคารทั้งหลังส่งเสียงครืนราวฟ้าถล่ม ก่อนจะเริ่มเคลือนไหวอย่างรุนแรงไม่แพ้แผ่นดินไหว ฝุ่นในห้องฟุ้งกระจายไปทั่ว แสบตาเกินกว่าจะมองอะไรเห็น ทว่าเมื่อน้ำตาไหลออกมาหล่อลื่นชำระดวงตาแล้ว สติก็พลันบังเกิด
ไอ้เชี่ยเอ๊ย กูหมุนกลับด้าน! กูต้องพามันไปด้านขวา ตามเข็มนาฬิกาสิวะ
เขาตะโกนลั่น ก่อนจะพยายามหมุนพวงมาลัยกลับทิศ
เมื่อนั้นจึงสังเกตุได้ว่ากำแพงทึบแสงเหล่านั้น กลายเป็นกระจกใสที่แสดงให้เห็นทิวทัศน์นอกอาคารไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ
ด้านล่างของแท่นเป็นลักษณะคล้ายคันเร่งของรถยนต์ คงไว้สำหรับเหยียบให้เดินหน้าเร็วขึ้น เขารอให้อาคารหันหน้าไปทางที่มีอาคารสองพยางค์ตั้งอยู่แล้วจึงเหยียบมิด นั่นไง ไกลออกไปลิบตา มีอาคารทรงกระบอกกำลังรออยู่
เสียงกึงกังดังมาจากทั้งในและนอกอาคาร ไม่รู้ทำไม่จึงฟังได้ยิน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
อาณาตระหนักได้แล้วว่ารอบอาคารแห่งนี้คือเส้นทางเชื่อมต่อในรูปแบบท่อ และมันโยงใยกันไปหมดเพื่อให้เข้าถึงอาคารต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก และการที่อาคารนี้เขยื้อน เท่ากับว่าท่อเชื่อมเหล่านั้น… อาจรวมไปถึงอาคารเล็ก ๆ อื่น ๆ ล้วนกำลังถูกอาคารม้าขาวนี้พุ่งชนบดขยี้!
เชี่ย เชี่ย ฉิบ ใช่แล้ว เมื่อมองภาพทิวทัศน์ภายในที่เห็นผ่านกระจกใสรอบห้อง จะเห็นว่าอาคารชั้นเดียวที่เป็นสำนักงานด้านต่าง ๆ และทางเดินเชื่อมท่อด้านล่าง กำลังถูกทำลายจากการเคลื่อนตัวของอาคารแห่งนี้ ท่อคอนกรีตถูกชนกระจายเป็นเศษหิน ตึกเล็ก ๆ ถูกทับบี้ขยี้ระเบิดออกเป็นกองไฟเต็มไปหมด
แทบไม่อยากนับเลยว่ามีคนติดอยู่ในท่อเชื่อมและอาคารเหล่านั้นอยู่เท่าไร
อาณาคลื่นไส้และขนลุกชันไปถึงร่องตูด เขาลุกลนคว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมา ตะโกนถามลุงทูลว่าควรทำอย่างไร ทว่าไม่มีเสียงตอบรับนอกจากสัญญาณซ่า เมื่อสติหลุดจึงพาลกดปุ่มของวิทยุไปทั่ว กระทั่งไปโดนปุ่มสีดำที่ใช้สำหรับฟังเสียงที่บันทึกไว้
เมื่อนั้นเสียงแหบอันคุ้นเคยของลุงทูลก็ดังขึ้น
“ไอ้หนุ่ม กูหวังว่ามึงจะได้ฟังเรื่องนี้นะ พอดีว่ากูไม่กล้าพูดกับมึงตรงๆ แต่พอมาใช้วิธีอัดเสียงแล้วค่อยพล่ามได้ราบรื่นหน่อย…
มึงคงกำลังรีบวิ่งมารับงานจากกู ขอบอกไว้เลยว่าเป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำหรอก แม้แต่ไอ้คเชนทร์ก็ตาม งานแบบนี้แม่งสำเร็จก็ตาย ล้มเหลวก็ตาย…
เอาเป็นว่าหากมึงสามารถขยับอาคารม้าขาวได้ นั่นเท่ากับว่ามึงมีโอกาสที่จะตายในฐานะของวีรบุรุษ กูขอภาวนาให้เป็นเช่นนั้น
เอ้อ สุดท้ายแล้ว จะทำห่าอะไร อย่าลืมบีบแตรแจ้งเตือนก่อน มันเป็นกฎพื้นฐานของการเคลื่อนย้ายอาคาร”
ไม่มีเสียงอะไรอื่นลอดออกจากลำโพงวิทยุแล้ว แต่แค่นั้นก็เพียงพอ เขารีบควานหาอะไรบางอย่างบนพวงมาลัย และพบบางสิ่งน่าสนใจติดตั้งบริเวณกึ่งกลาง มีลักษณะเป็นปุ่มยางสีดำ
แตร! มันคือแตรไงเล่า
เมื่อกระแทกแตรด้วยกำปั้น มันบังเกิดเสียงลั่นเสียดหู รับรู้เลยว่าดังไปทั่วอาคาร อาจจะลามออกไปถึงด้านนอกด้วยซ้ำ
สังหรณ์ใจด้านบวกว่าเสียงกังวานจะเปลี่ยนทิศของวิกฤตินี้ได้และเมื่อมองผ่านกระจกใสรอบกายก็พบว่าคิดถูก แต่ไม่ใช่อย่างที่คาดไว้
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือทั้งท่อเชื่อมและอาคารที่ขวางทางข้างหน้านั้น กำลังเคลื่อนตัวหลบเส้นทางสัญจรของอาคารแห่งนี้ ราวกับว่าพวกมันมีชีวิต
ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือทิวทัศน์ด้านนอกเริ่มแปลกไป นั่นเพราะอาคารที่อาณากำลังควบคุมอยู่ เริ่มจะลอยจากพื้นขึ้นเรื่อย ๆ
กูไม่ไหวแล้ว มันเกิดเชี่ยอะไรขึ้นวะเนี่ย
อาณาลงไปนั่งกอดเข่าคร่ำครวญอยู่บนพื้นสักพัก ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีมิใช่หรือวะ อาคารม้าขาวจะไม่ชนกับอะไรแล้ว นั่นคือเรื่องที่ควรจะเป็นไงเล่า เมื่อครู่ตนตกใจและหวาดกลัวเกินจะมองภาพรวมออก อะไรที่เกินคาดก็ตีความเป็นด้านร้ายเสียหมด
ใช่แล้ว มีโอกาสที่งานจะสำเร็จ ที่เหลือก็แค่ให้อาคารนี้ลอยไปหาอาคารสองพยางค์
ทว่าราวกับกลั่นแกล้ง อาณาเริ่มระแวงขึ้นมาฉับพลัน
เพดานการลอยตัวของอาคารนี้เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว กว่าจะไปถึงอาคารสองพยางค์ ความสูงคงเกินพอที่จะทับไปด้านบนของอาคารนั่น
และมันผิดตำแหน่งยังไงล่ะ
ภาพจำลองด้านหลังมันแสดงให้เห็นชัด ว่าอาคารม้าขาวแห่งนี้จะต้องเป็นฐานให้อาคารสองพยางค์ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปมันคงสลับกัน
แต่อาณาตระหนกเพียงครู่เดียว ใจก็เริ่มเย็น
ไม่ต้องกงวล มันมีทางออกแน่นอน ค่อย ๆ หาสิ เขากวาดสายไปรอบ แต่ไม่พบอะไรที่เข้าใจได้เลย
อย่าตกใจ ทุกอย่างมันง่ายกว่าที่คิด อะไรที่มึงไม่เข้าใจ แสดงว่าแม่งไม่ใช่ของที่จำเป็น ตั้งแต่พวงมาลัย แตร ตู้ชักรอก และภาพจำลอง ทุกอย่างล้วนเห็นแล้วเข้าใจในทันใดทั้งนั้น
เมื่อคิดได้จึงใช้ตีนเหยียบสิ่งที่เหมือนจะเป็นเบรก… เสียงแสบแทงหูดังขึ้น เยี่ยม อาคารชะลอตัวแล้ว ห่างจากเป้าหมายประมาณไม่กี่ช่วงอึดใจ อีกสามนาทีก็คงไปถึงส่วนบนของอาคารสองพยางค์
อาณาใช้สองมือจับพวงมาลัย แล้วกดลงสุดแล้วจากทั้งมุมซ้ายและขวา ได้ผล… มันสามารถกดลงไปได้ประมาณสองนิ้ว และส่งผลให้อาคารนี้ค่อย ๆ ลดเพดานลง
ไม่ช้าอาคารม้าขาวก็ลดระดับมาเกือบถึงพื้น ท่อเชื่อมและอาคารอื่นถูกเคลื่อนย้าย (หรือเรียกว่าเคลื่อนย้ายตนเองจะดีกว่า) ออกไปนอกเส้นทางหมดแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะชนอะไรอีก
นอกเสียจากอาคารสองพยางค์เจ้ากรรมนั่นเอง
ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้อาคารสองพยางค์ที่ตั้งเด่นนั้นขึ้นขี่อาคารที่เขากำลังบังคับอยู่
อาคารม้าขาวเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อย ๆ ลดเพดานลงมาเกือบเสมอกับอาคารทรงกระบอกตรงหน้าแล้ว ไม่ถึงสองนาทีก็คงปะทะกัน
ฝ่ามือทั้งสองขยี้แตรรัว ๆ ส่งเสียงดังปวดหูแต่อาคารสองพยางค์กลับยังไม่เขยื้อน ทำไงดีวะ ทำไงดี
แต่แล้วราวกับปาฏิหาริย์ เพราะเมื่อเข้าใกล้ถึงระยะไม่ถึงหนึ่งนาที อาคารสองพยางค์กลับรู้งาน! และเริ่มยกตัวสูงขึ้นจากพื้นอย่างว่องไว รวดเร็วผิดกับขนาดใหญ่โตของอาคารมากทีเดียว
และไม่ถึงสามสิบวินาที อาคารสยองพยางค์ก็ลอยขึ้นจากพื้น สูงพอที่อาคารนี้จะลอดเข้าไปได้แล้ว
อาณาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนแทบจะไส้กระตุกออกมา อันเนื่องมาจากอาคารม้าขาวเริ่มลอดเข้าไปใต้ของอาคารสองพยางค์ ข้าวของในห้องพังกระจายเละเทะ ตัวเขาได้แต่เพียงก้มลงกับพื้นใช้มือคลุมหัว บางจังหวะก็ลอยขึ้นไปชนเพดานแล้วหล่นลงมานอนจุก
แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือสมุดบันทึกเล่มเขื่องที่ปลิวมาชนกระหม่อมอย่างจัง นั่นทำให้สติแทบจะหลุดลอยออกไป แม้จะยังรับรู้ตัว แต่ตานั้นเริ่มปิดลง ไม่รู้ว่าช่วงที่โดนฟาดนั้นตัวเขากำลังยืนหรือนั่งอยู่ รู้แค่เพียงรู้สึกลอยล่องไปตามแรงกระเทือน
แรงสั่นนั้นสะเทือนอยู่อีกเกือบสามนาที ก่อนจะหยุดลง แต่มุมมองของเขานั้นยังหมุนวนไปมาไร้ที่สุดสิ้น
รู้เลยว่ากำลังจะตายแล้ว เพราะได้ยินเสียงแม่ที่กำลังเล่านิทานให้ฟังในสมัยเด็กลอยมาแต่ไกล ป่านนี้ทั้งพ่อและแม่คงรออยู่ที่บ้าน โดยไม่ทราบว่าเขานั้นนอนตายอยู่บนตึกที่ขึ้นขี่กัน
นิทานเรื่องนั้นมีเนื้อหาอย่างไรนะ แม้ได้ยินเสียงเล่านิทานอยู่ แต่ฟังไม่ได้ศัพท์
เจ้าชายขี่อะไรสักอย่าง ช่วย… สำเร็จ
ทั้งสองอยู่กัน…
มีความสุข
อะไรต่ออีกนะ ไม่ได้ยินอะไรแล้ว
อาณาลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาล ไฟสีขาวพุ่งจากเพดานเจิดจ้าใส่ตาเขา แสงจากหลอดไฟงั้นหรือ ไฟฟ้ากลับคืนมาแล้วใช่ไหม
เขาลุกพรวดขึ้นมา และพบว่าตนเองไม่ได้อู่ลำพังในห้องพยาบาลอันกว้างขวาง
รอบกายคือหญิงชายในชุดผู้ดี ยืนจ้องเขาด้วยความชื่นชม
หลังจากนั้นข้อมูลมากมายจากปากของพวกนั้นก็แล่นเข้าหัวอย่างไม่สนใจว่าเขาพร้อมฟังหรือไม่ จับใจความได้ว่าตนได้ช่วยเมืองนี้เอาไว้ บัดนี้กระแสไฟฟ้าจะมีใช้เหลือเฟือไปอีกหลายสิบปี
อาคารทั้งสามดูเหมือนจะกลับสู่ตำแหน่งปกติของพวกมัน ส่วนอาคารปริศนาที่พยายามดึงอาคารพยางค์เดียวเข้าหานั้น เท่าที่ฟังดูไม่เห็นมีใครพูดถึง แม้อยากจะถาม แต่ก็ไม่มีเรี่ยงแรงจะเปิดปาก ได้แต่พยักหน้าไปเรื่อย
เวลาผ่านไปสามสัปดาห์เขาก็ได้ออกจากโรงพยาบาล พ่อและแม่ของเขามารับด้วยรถยนต์สีขาวคันใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่จริงแล้วรถยนต์เป็นสิ่งหายากในเมืองนี้ด้วยซ้ำ แถมยังแต่งตัวเสียหรูหราทั้งคู่
เมื่อขึ้นรถตรงเก้าอี้หลัง พบว่าฝั่งหนึ่งมีลุงทูลนั่งอยู่ ลุงหันมายิ้มให้พร้อมยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลใส่มือเขา ข้างในเป็นเช็คที่สั่งจ่ายให้กับอาณา ระบุเงินจำนวนมหาศาล ลุงแจ้งว่าเขาถูกให้ออกจากงาน แลกกับเงินและคำสัญญาว่าจะเก็บเรื่องทั้งหมดเป็นความลับ
แน่ล่ะว่าอาณายินยอมแต่โดยดี
ลุงทำท่าจะลงจากรถ แต่แล้วก็หันกลับมากระซิบใส่หูอาณา
“อย่าลืมนะว่าห้ามบอกใคร แต่เอ็งแม่งโคตรโชคดีที่รอดมาได้ แถมยังไม่ทำใครตายสักคน เบื้องบนเลยเห็นว่าจะเชือดทิ้งก็ดูเชี่ยเกินไป เลยยอมให้มีชีวิตแสนสุขสบาย พวกคเชนทร์กับกูเลยได้เงินรางวัลไปด้วย เรียกว่าเสวยสุขกันทั้งหน่วย มีอะไรขาดเหลือก็บอกพวกกูได้ ยินดีช่วยมึงเสมอนะ ไอ้หนุ่ม”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงยิ้มให้แล้วเอ่ยขอบคุณ
รถสีขาวแล่นออกไป ทางขรุขระเพราะในเมืองไม่เหมาะต่อการขับขี่รถยนต์ ทว่าผ่านไปสักพักก็ออกสู่ขอบเมืองซึ่งมีพื้นถนนยางมะตอย อาณาเริ่มรู้สึกง่วงจึงหลับตาลง ก่อนที่แม่จะเปิดวิทยุให้ฟัง เสียงที่ออกมานั้นไม่คุ้นหู คงเป็นรายการใหม่ แต่อันที่จริงที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้มีเวลาฟังเท่าไรนัก
แม้จะง่วง แต่ก็พอจับใจความได้ว่าเป็นเสียงเล่านิทาน เจ้าของเสียงนั้นน่าจะเป็นเด็กสาวอายุไม่เท่าไร
เนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหญิงรูปงามที่ถูกปีศาจร้ายลักพาตัว หมายจะบังคับให้สมรสกับมันโดยไม่สนความยินยอม ไม่ช้าก็มีเจ้าชายรูปงามที่ขี่ม้าขาวมายังเมืองนี้…
ยังไม่ทันได้ฟังเนื้อหาต่อ เขาก็เริ่มผล็อยหลับลงด้วยความเหนื่อยล้า พลางรับรู้อยู่ภายในใจ
ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาตนคงไม่เหลือความสนใจในนิทานเรื่องนี้อีก