คำสัญญา
โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ
When We Met โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากรส ของผู้คนอันหลากหลาย ที่เราได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ หรืออาจขมบ้างเป็นบางเวลา ที่พร้อมแบ่งปันให้ผู้อ่านได้จดจำนึกถึงและสุขสำราญไปด้วยกัน
ควันสีขาวที่พวยพุ่งเหนือปล่องเมรุ ลอยอ้อยอิ่งอยู่เป็นนานก่อนจะเลือนหายไปบนท้องฟ้า เหมือนกำลังกล่าวขอบคุณและบอกลาผู้คนที่เดินทางมาส่งเป็นครั้งสุดท้ายว่าตอนนี้เธอไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่เป็นอะไรอีกแล้วอย่างที่ทุกคนปรารถนา
หากแต่สำหรับเด็กหนุ่มวัยต้น 20 ที่เฝ้ามองกลุ่มควันจางหายไป มันคือความรู้สึกของความห่างไกลที่ต่อให้เอื้อมไปจนสุดมือคว้ามันก็คือความว่างเปล่า ความสูญเสียแรกของชีวิตที่จู่ๆ ก็กระโจนเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัวเต็มไปด้วยเจ็บปวดและย้ำบอกให้รู้ว่าชีวิตจากนี้ไปเขาต้องอยู่ให้ได้เมื่อไม่มี “เธอ”
“กรุณา” เป็นหญิงวัยต้น 50 ที่เกิดและโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ พ่อแม่ประคมประหงมตามใจเลี้ยงดูอย่างดี เธอและพี่ชายจึงไม่เคยรู้จักคำว่า “ลำบาก” เพราะในวัยเด็กเธอกับพี่ชายอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากได้ของเล่นชิ้นไหนก็ได้ อยากเรียนหนังสือก็เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร เพราะพ่อแม่มีสมบัติและที่ทางมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกได้จนแก่เฒ่า เธอกับพี่ชายจึงเรียนจบแค่ระดับชั้นการศึกษาภาคบังคับ หลังจากที่พี่ชายและเธอแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาได้เกือบ 10 ปี พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจแบ่งทรัพย์สินและที่ดินที่มีให้เธอกับพี่ชายไปครอบครองดูแล โดยหวังว่าเธอและพี่ชายจะทำให้ทรัพย์นั้นให้งอกเงยเพื่อดูแลครอบครัวของตัวเองได้ในยามที่ไม่มีพ่อกับแม่
หลังได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินของพ่อกับแม่ พี่ชายก็มีเพื่อนมากหน้าหลายตามาให้คบหา บ้างก็มาขอหยิบยืมเงินทอง บ้างก็มาชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจด้วยกัน แต่ไม่เคยมีธุรกิจไหนประสบความสำเร็จให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน นานวันเข้ากรุณาก็กลายเป็นที่พึ่งของพี่ชายในการหยิบยืมเงินทอง และไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เธอจะปฏิเสธ เพราะเห็นแก่คำว่าพี่น้อง
ในวัยแรกรุ่นกรุณาก็เหมือนหญิงสาวจำนวนมากที่ฝันอยากมีสามี มีครอบครัวที่ดี แต่ชายที่เธอตัดสินใจตกลงปลงใจแต่งงานด้วย ค่อยๆ เผยด้านมืดออกมาให้เห็น จากคนที่เคยขยันขันแข็งทำงานกลายเป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ เงินทองที่มีหมดไปกับการใช้จ่ายเพื่อสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆ เมื่อเอ่ยปากเตือนก็ถูกสามีกล่าวหาว่าหาเรื่องชวนทะเลาะ เธอจึงจำใจเงียบปากเพราะไม่อยากให้ลูกเห็นและได้ยินพ่อกับแม่มีปากเสียงกัน แต่นานวันเข้าสามีก็เริ่มใช้กำลังตบตีทำร้ายร่างกาย เมื่อพ่อแม่รู้เข้าก็บอกให้เลิกและกลับมาอยู่บ้าน แต่เธอก็ดื้อดึงทนอยู่โดยบอกกับทุกคนว่ามันไม่เป็นไร สงสารลูกที่กำลังโตไม่อยากเห็นลูกต้องขาดพ่อ
ชีวิตที่เคยสุขสบายของกรุณาค่อยๆ หายไป เมื่อพี่ชายเริ่มหยิบยืมเงินเธอบ่อยขึ้น มีคนมาถามหาตัวพี่ชายและตามระรานพ่อกับแม่ จนพ่อแม่ต้องขอให้เธอขายที่ทางจากการแบ่งสรรปันส่วนมาช่วยเหลือคนเป็นพี่อย่างที่เธอเคยทำมาตลอด เพื่อไม่ให้พี่ชายต้องติดคุกเป็นคดีความ ฝั่งสามีก็เมาหัวราน้ำ ตบตีทำร้ายร่างกายไม่เว้นวัน หนำซ้ำยังไม่เคยเหลียวแลว่าลูกจะกินอยู่หลับนอนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเรียนหนังสืออยู่ชั้นไหนอย่างไร
วันที่พ่อแม่เสียชีวิต เธอก็เหมือนคนที่หลังชนฝาเพราะไม่เหลือเงินทองใดๆ ให้ช่วยเหลือใครได้อีกแล้ว ตอนนี้เธอเหลือแค่บ้านหลังเล็กๆ บนเนื้อที่ไม่กี่ตารางวา กรุณาตัดสินใจบอกเลิกกับสามี เพราะเธอพบว่าในวันที่สามีไปขี้เหล้าเมามายอยู่ที่อื่นโดยไม่กลับบ้านเป็นอาทิตย์ๆ มันคือความสงบสุขของเธอกับลูก จากที่เคยคิดว่าลูกจะอยู่ไม่ได้หากขาดพ่อจริงๆ แล้วเป็นเธอต่างหากที่ยึดติดกับคำว่า “ครอบครัว” ที่ต้องมี พ่อ-แม่-ลูก อยู่พร้อมหน้า
ในวัย 30 ปลายๆ เป็นครั้งแรกที่กรุณาเริ่มออกหางานทำ เธอรู้ดีว่าความรู้ที่มีไม่มากพอที่จะทำให้เธอได้งานดีๆ เธอจึงไม่เกี่ยงงอนงานหนัก ไม่ว่าใครจะมาจ้างทำสวน-ทำไร่, ทำงานบ้าน, รับจ้างเลี้ยงเด็ก, เฝ้าร้านขายของ เพื่อแลกกับเงินเล็กๆ น้อยๆ เธอก็พร้อมทำ ขอแค่ให้มีเงินมาเลี้ยงดูลูก เพื่อที่ลูกจะได้มีชีวิตมีอนาคตที่ดีกว่าเธอ กรุณาไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไม่เคยซื้อของกินดีๆ อย่างที่พ่อแม่เคยทำให้ในวัยเด็ก เงินทุกบาทถูกเก็บออมไว้ให้ลูกชายคนเดียว ภาพชินตาของผู้คนในชุมชน คือเด็กหนุ่มที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันเก่าของแม่แล้วตะโกนทักทายผู้คนระหว่างทางเข้าตลาดไปหาอะไรกินในทุกๆ เช้า ด้วยความสุข เธอและลูกต่างเป็นโลกอีกใบของกันและกัน
หลายปีมานี้กรุณาย้ายมาทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะการเดินทางที่ไม่ไกลจากบ้านนัก เธอเป็นผู้ช่วย ที่ช่วยทำทุกอย่างในร้านด้วยความใส่ใจประหนึ่งเป็นร้านของเธอเอง จนลูกค้าจดจำและคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี ในวันที่ลูกชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ไกลกันคนละจังหวัดได้ เธอก็เริ่มฝันถึงใบปริญญาและอาชีพการงานที่ดีของลูก กรุณาทำงานมากหนักขึ้นเพื่อเก็บเงินทุกบาทไว้ให้ลูกชาย เพราะรู้ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยต่อให้เป็นนักศึกษากู้ทุนรัฐมาเรียน มันก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ลูกต้องใช้ เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่นมีเพื่อนมากขึ้น ทั้งคู่ก็ไม่ค่อยได้โทรหากันบ่อยนัก แต่วันไหนที่กรุณายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำงานอย่างอารมณ์ดี ทุกคนในร้านรวมทั้งลูกค้าขาประจำจะรู้ดีว่าวันนี้ลูกชายโทรมาหา
ควันสีขาวจางหายไปจากปล่องเมรุนานแล้ว 2-3 ปี ก่อน แม่ถูกหมอในโรงพยาบาลจังหวัดตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ แม่ต้องเดินเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเพียงลำพัง และไม่เคยหยุดทำงานหาเงิน แม่บอกเขาเสมอว่าแม่ไม่เป็นไร แม่มีลูกค้าที่แม่รู้จักและสงสารคอยมาอยู่เป็นเพื่อนดูแลแล้ว ให้เขาตั้งใจเรียน ถ้าเอาเวลามาดูแม่ก็ต้องเสียค่ารถราในการเดินทางโดยใช่เหตุ วันนี้แม่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะทำงานหนัก หรือเจ็บปวดเพราะโรคร้ายอีกแล้ว แต่แม่ก็ใจร้ายที่ทิ้งให้เขาไว้กับความเจ็บปวดที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหายดี
ปีใหม่ที่ผ่านมาเขาบอกแม่ว่าปีนี้จะกลับบ้านไปฉลองกับแม่ 2 คน เขารู้ว่าแม่คงนับวันรอด้วยความดีใจ แต่ก่อนปีใหม่ไม่กี่วันเป็นเขาเองที่ผิดสัญญากับแม่ เพราะอยากไปเที่ยวกับเพื่อน แม่ไม่ว่าอะไร แต่เขารู้ว่าแม่คงแอบน้อยใจ เขารีบบอกรักและขอคำอวยพรจากแม่ พร้อมสัญญาว่าหลังปีใหม่จะกลับไปหา แต่ใครจะคิดว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงและคำอวยพรจากแม่ที่ขอให้เขามีความสุข ดูแลตัวเองให้ดี และสามารถสอบชิงทุนไปฝึกงานในต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจได้เป็นผลสำเร็จ
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ร่างของแม่นอนนิ่งอยู่ในเตาเผา ไม่มีแม้แต่เงาของพ่อและลุงในงาน มีแต่คนแปลกหน้าที่รู้จักและรัก “แม่” จากงานที่แม่ก้มหน้าก้มตาทำ คนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทายเขาเหมือนรู้จักคุ้นเคยกันมานาน คอยเฝ้าปลอบโยนเสมือนหนึ่งคนในครอบครัว และบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ที่แม่เคยทำให้พวกเขา และพยายามทำเพื่อเขา เขาเห็นความลำบากของแม่มาทั้งชีวิต แต่กลับเพิ่งได้รู้ว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่มองเห็นเหน็ดเหนื่อยของแม่ด้วย
สิ่งที่แม่ทำกลายเป็นตัวอย่างของความขยันขันแข็งให้คนอื่น และมันก็ทำให้เขายิ้มอย่างภูมิใจในตัวแม่แม้ในวันที่เศร้าที่สุด ยิ้มโดยที่ไม่รู้ว่าความเสียใจที่มีในวันนี้จะหายไปเมื่อไหร่ แต่ความพยายามของแม่จะไม่สูญเปล่า เขาจะแข้มแข็ง ตั้งใจเรียนให้จบ และมีชีวิตที่ดีอย่างที่แม่ฝันไว้ให้ได้ นั่นคือคำสัญญาที่มีต่อเถ้ากระดูกชิ้นเล็กๆ ในกำมือ ที่จากนี้ไปเขาจะพาแม่ไปกับเขาในทุกๆ ที่