ความทรงจำที่หายไป

ความทรงจำที่หายไป

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

When We Met  คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากรสของผู้คนอันหลากหลายที่เราได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวนิดๆ  หวานหน่อยๆ  หรืออาจขมบ้างเป็นบางเวลา ที่พร้อมแบ่งปันให้ผู้อ่านได้จดจำนึกถึงและสุขสำราญไปด้วยกัน

 

ในวันที่ใครสักคนลืมคุณไปจากใจคุณจะยิ้มให้เขาได้อีกไหม?  ตั้งแต่จำความได้แม่ของน้ำเป็นผู้หญิงที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะเสื้อผ้า หน้าผม เวลาออกจากบ้านไปขายของแต่ละที แม่จะสำรวจแล้วสำรวจอีกว่า วันนี้ดูดีพอที่จะก้าวขาออกนอกบ้านได้หรือยัง แถมแม่ยังเป็นคนช่างจดช่างจำ ใครทำอะไรใคร ใครยืมเงินไป 5 บาท 10 บาท แม่จำได้หมด แต่ที่น่าแปลกคือในบรรดา 3 คนพี่น้องของน้ำ ไม่มีใครได้ความเนี้ยบของแม่มาสักคน ทุกคนได้ความง่ายๆ สบายๆ จากพ่อมาหมด

ตอนน้องชายคนเล็กของน้ำแต่งงาน และมีหลานคนแรกให้แม่ แม่ดีใจจนแทบเซ็นต์ยกมรดกที่มีทุกอย่างให้  ยิ่งตอนที่ลูกๆ  บอกให้พ่อกับแม่เลิกทำงาน แม่รีบหยุดทำงานทันที แล้วบอกทุกคนว่าต่อไปนี้ฉันจะเป็นคุณยายเลี้ยงหลานเต็มเวลา  ความสนใจที่มีในตัวลูกๆ เคลื่อนที่ไปอยู่กับหลานแบบปุ๊บปั๊บฉับไว จนลูกๆ ถึงกับแซวแม่ว่าอย่ารักหลานจนลืมลูก  แต่แม่ก็หาได้สนใจ  ยิ่งเวลาลูกๆ อยากให้แม่ทำอะไรให้กิน แม่ก็จะทำหูทวนลม จนบางครั้งเธอกับน้องต้องไปสิงหลานตัวน้อยให้บอกต่อยายอีกที ถึงจะได้สิ่งนั้น กิจวัตรของแม่แต่ละวันหมดไปกับการช่วยลูกชายและลูกสะไภ้ดูแลหลานที่เอามาส่งให้ตอนเช้า ระหว่างที่ทั้งคู่ไปทำงาน ก่อนจะมารับกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักในตอนเย็น

ในวันที่หลานสาวคนโปรดเริ่มขึ้นชั้นอนุบาล 1 แม่ก็เริ่มหลงๆ ลืมๆ  เหมือนความเนี้ยบที่เคยมีเริ่มหย่อนลง แม่เริ่มลืมเรื่องง่ายๆ  เช่น หาของที่วางไว้ไม่เจอ, ลืมกินยารักษาโรคประจำตัวที่มาพร้อมกับความสูงวัยอย่าง ไขมัน ความดัน  พอลูกทักถาม แม่ก็เหมือนนึกขึ้นได้แล้วก็เดินไปกิน ทุกคนในบ้านคิดว่าแม่แค่หลงลืมประเดี๋ยวประด๋าวตามประสาคนแก่ จนกระทั่งวันที่หลานเริ่มขึ้นอนุบาล 3 แม่เริ่มย้ำคิดย้ำทำ บางครั้งก็เดินวนไปวนกระวนกระวายอยากจะออกไปรับหลานที่โรงเรียนทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนจนพ่อต้องคอยปราม บางวันแม่อาบน้ำให้หลานคนโปรดโดยไม่ฟอกสบู่ หนักสุดคือการที่แม่เดินหายออกจากบ้าน ทำเอาทุกคนออกตามหากันให้วุ่นเพราะไม่มีใครรู้ว่าแม่ไปไหน ก่อนจะมีคนขับรถพาแม่มาส่งที่บ้านแล้วบอกว่าแม่เดินเปิดประตูเข้าไปเดินอยู่ในบ้านเขา  ซึ่งบ้านหลังนั้นเป็นบ้านเก่าที่น้ำกับน้องๆ เพิ่งขายให้เขาไปได้ไม่นาน  นับว่ายังโชคดีที่บ้านเก่ากับบ้านใหม่อยู่ไม่ไกลกัน และเจ้าของบ้านรู้จักบ้านใหม่ของน้ำ เลยพาแม่มาส่งถูก  พ่อถามแม่ว่าแม่ไปไหนมา แม่บอกสั้นๆ แค่ว่า “แม่อยากกลับบ้าน” และหลังจากวันนั้นแม่ก็เริ่มบ่นว่าอยากกลับบ้านตลอดเวลา

ทุกคนเริ่มวิตกกับอาการที่แม่เป็น  และเริ่มคาดเดาคำตอบในใจได้คำตอบเดียวว่าแม่คงเป็นอัลไซเมอร์  แม่เริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษา หมอบอกว่าแม่มีภาวะสมองเสื่อม ระยะที่ 2   โรคนี้ไม่มีทางที่จะดีขึ้น มีแต่ยืนระยะอยู่ในขั้นเดิม และถดถอยลงไปเรื่อยๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการดูแล ทุกคนในครอบครัวเริ่มทำใจว่าอีกไม่นานความทรงจำของแม่คงค่อยๆ หายไป แม่จะจดจำใครไม่ได้อีกเลย..แม้แต่ตัวเอง

“ปล่อยฉันออกไป พวกแกเป็นใครมาขังฉันไว้ทำไม ฉันจะกลับบ้าน” เสียงเขย่าลูกกรงประตูพร้อมเสียงร้องโวยวายด้วยความหงุดหงิดขัดใจของแม่ เริ่มกลายเป็นเสียงแห่งความคุ้นเคย ที่ทำให้ทุกคนต้องละมือจากงานตรงหน้า แล้วค่อยๆ ดึงความสนใจแม่ให้ไปทำอย่างอื่นด้วยกัน เพราะในความทรงจำของแม่มีแต่บ้านหลังเก่าที่เคยอยู่มานานกว่า 60 ปี  บางวันนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแต่แม่ก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่มีใครมาเลยเนอะ” มันเป็นภาพจำของแม่ที่มักบ่นกับพ่อเสมอๆ ในช่วงที่ลูกๆ ทุกคนเติบโตไปมีครอบครัว มีบ้านของตัวเองแล้วไม่ค่อยได้กลับมาหาแม่  บางครั้งแม่ก็มักถามโน่นถามนี่ ซ้ำๆ จนทุกคนเบื่อหน่าย  อารมณ์เกรี้ยวกราด เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ในระยะแรกๆ ส่งผลกระทบกับทุกคนในครอบครัวให้หงุดหงิดโมโหไปกับทุกอารมณ์ของแม่ และเริ่มขว้างอารมณ์ใส่กันเองเป็นทอดๆ จนความสุขของทุกคนค่อยๆ หายไป

น้องชายเริ่มไม่พาหลานมาบ้านเพราะกลัวว่าแม่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และเด็กจะมีภาพจำจากพฤติกรรมที่ไม่ดีโดยไม่ได้เจตนาของยาย  ขณะที่ตัวน้ำเองบ่อยครั้งเธอก็ต้องออกไปตั้งสติตามบ้านเพื่อน หรือตามโรงแรม เพื่อปรับจูนอารมณ์ของตัวเองก่อนเข้าบ้านไปรับมือกับอารมณ์และการกระทำที่คาดเดาไม่ได้ของแม่ บางครั้งเธอก็พาตัวเองออกไปเที่ยวไกลๆ ครั้งละหลายๆ วัน เพื่อรักษาใจของตัวเองแล้วทิ้งแม่ไว้ข้างหลังอย่างคนเห็นแก่ตัว ก่อนจะกลับมาแตะมือกับน้องๆ เพื่อให้ทุกคนได้วนกันออกไปพัก

ทุกครั้งที่พาแม่ไปหาหมอ เหมือนหมอก็รับรู้ได้ถึงความหม่นหมองของญาติ จนต้องย้ำเสมอๆ ว่าให้ดูแลแม่อย่างเข้าใจ ว่าแม่ไม่ใช่คนเดิม อย่าไปยึดติดเก็บเอาอารมณ์ของแม่มาทำให้ตัวเองทุกข์ แค่พยายามทำให้แม่กินอิ่ม นอนหลับ มีสุขอนามัยที่ดี ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็เหมือนได้ยืดระยะเวลาไปสู่ขั้นที่ค่อยๆ แย่ลงของโรคให้แม่ได้  แรกๆ เธอหงุดหงิดใส่ตัวเองและทะเลาะกับแม่ทุกครั้ง เพราะแค่กิจวัตรธรรมดาๆ อย่างกินข้าว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ควรใช้เวลาไม่กี่นาที แต่เธอกับแม่ใช้มันร่วมชั่วโมง แม่ไม่ได้ทำแค่ความทรงจำของตัวเองหายไป แต่เหมือนแม่กำลังขโมยเวลาไปจากเธอ  บางครั้งเธอเถียงกับแม่ที่เอาแต่โวยวายจะออกไปนอกบ้านจนต้องร้องไห้ออกมาที่พูดยังไงแม่ก็ไม่ฟัง หากแต่ยังไม่ทันจะปาดน้ำตาให้แห้ง จู่ๆ แม่ก็เปลี่ยนอารมณ์ถามว่า “กินอะไรมาหรือยัง”

แต่นานวันไปเธอก็ค่อยๆ เริ่มเรียนรู้และเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่ความทรงจำที่หายไปของแม่หรอกที่ทำร้ายและเอาความสุขไปจากทุกคน แต่เป็นความทรงจำของทุกคนต่างหากที่กำลังทำร้ายและโยนความสุขของตัวเองทิ้งไป เพราะคาดหวังว่าแม่ต้องทำแบบนั้น ไม่ทำแบบนี้   เธอกับน้องๆ  ค่อยๆ เริ่มปรับตัวเข้าหาแม่ใหม่  เวลาแม่ถามอะไรซ้ำๆ ก็พยายามเออออห่อหมกคุยกับแม่ไป เวลาแม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว เธอก็ใช้ความนิ่งและความใจเย็นโต้กลับ  เวลาแม่ดูทีวีแล้วปรบมือไปเรื่อยๆ เธอก็เอื้อมไปเอามือแม่มากุมไว้

ทุกวันนี้เกือบ 10 ปีแล้ว ที่เธอไม่ได้สนใจความสุขของแม่ เพราะแม่เลยจุดที่จะรับรู้ความสุขไปแล้ว และต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้า บางทีแม่ก็ยังถามหาตัวเธอกับเธอเลยว่า “น้ำไปไหน”  เธอได้แต่ยิ้มแล้วบอกแม่ไปว่า “น้ำไปทำงานเดี๋ยวก็กลับ”  ช่างความทรงจำของแม่ปะไรว่าแม่จะจำเธอได้หรือไม่ได้ ในเมื่อตัวและหัวใจยังเราอยู่ด้วยกัน

เธอสนใจแค่วันนี้ทำให้แม่กินอิ่ม นอนหลับ ก่อนออกจากบ้านไปทำงานก็ขอกอดแม่และให้แม่ยิ้มให้ดูสักทีให้ชื่นใจ เท่านั้นก็พอแล้วกับความทรงจำที่หายไปของแม่

 

Don`t copy text!