พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.1  : อ้อมกอดแห่งขุนเขา

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.1 : อ้อมกอดแห่งขุนเขา

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

พอรถเริ่มเข้าเขตป่าสนและสูงขึ้นไปบนไหล่เขาอันคดเคี้ยว คนปากเก่งที่คุยอวดว่าฉันไม่เมารถแน่นอน กลายเป็นคนแรกเวียนหัวจนต้องร้องขอถุงพลาสติก ก่อนจะอาเจียนออกมา

เส้นทางเลี้ยวซ้ายขวาไปมา รถโคลงเคลงเหวี่ยงไปมา เพราะถนนแคบมาก ข้างหนึ่งเป็นป่าทึบ อีกข้างหนึ่งเป็นหุบเหว ระหว่างทางที่รถไต่ระดับขึ้นไป มีก้อนหินขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาขวางกลางถนนเป็นระยะ หากคนขับไม่ชำนาญทาง รถเหยียบขึ้นไปแรงๆ อาจทำให้พลิกคว่ำได้ไม่ยาก

อย่าว่าแต่นารีญาเลย ขนาดเขาเองก็ยังเริ่มจะเวียนหัว นี่ถ้าไม่ได้ยาแก้เมารถที่คินซาส่งให้กินก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าอีกคนที่อาเจียนแข่งกับนารีญาคงเป็นตัวเขานั่นเอง

“ไหวไหมคุณ หยุดพักก่อนไหม” ลิ่วลมหันกลับมาถาม เขานั่งหน้าคู่กับเยชิที่เป็นคนขับ อัญญาวีร์กำลังลูบหลังให้หลานสาว ขณะที่เยชิช่วยถือถุงพลาสติกในมือ นารีญาหน้าซีดหน้าเซียว แต่ยังโบกไม้โบกมือเป็นทำนองว่าไม่เป็นไร

“หยุดพัก ลงไปเดินสักหน่อยดีกว่าครับ” เยชิตัดสินใจแทน ผ่านจากโค้งข้างหน้าเป็นที่โล่ง มีบริเวณกว้างพอให้จอดรถพักได้

“แถวนี้ไม่มีห้องน้ำ ใครปวดปัสสาวะก็หาที่หาทางกันเองเลยนะครับ” เยชิบอกง่ายๆ “ต้องเดินทางกันอีกไกลพอสมควร กว่าเราจะถึงที่ตั้งแคมป์”

อากาศเย็นฉ่ำจนเกือบจะเป็นความหนาว ลิ่วลมกระโดดลงจากรถแล้วรีบเดินอ้อมไปช่วยประคองนารีญาลงมา ท่าทางของหญิงสาวดูอ่อนล้า หมดฤทธิ์หมดเดช นี่ถ้าไม่เห็นว่านารีญาหน้าซีดหน้าเซียว ลิ่วลมคงจะหัวเราะขำคนอวดเก่งไปแล้วก็ได้

“โอ้โห สวยจัง”

พอเห็นดอกป๊อปปี้สีน้ำเงินผลิดอกบานอยู่เต็มพื้นที่ ได้สัมผัสกับความเวิ้งว้างของหุบเขาตรงหน้า กับแนวเขาลดหลั่นกันสุดลูกหูลูกตา นารีญาก็อุทานออกมาได้ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดภาพวิวเก็บเอาไว้จนพอใจ

“อ้ะ…ถ่ายให้หน่อย”

เธอส่งโทรศัพท์ให้ชายหนุ่ม

“เดี๋ยว” ลิ่วลมอ้าปากค้าง “อ้วกขนาดนี้ยังจะถ่ายรูปอีกเหรอ”

“ก็ต้องถ่ายมะ” นารีญาเถียง ทว่าเสียงอ่อนอ่อย “ไม่ได้มาทุกวันนี่”

“ไม่พักให้หายเวียนหัวก่อนหรือไง” อัญญาวีร์ท้วง แม้จะไม่เมารถเหมือนหลานสาว แต่ก็เริ่มจะมีอาการเวียนหัวขึ้นมานิดหน่อย

“หนูหายแล้ว ไม่เวียนแล้ว” นารีญาฉีกยิ้ม เธอหันมาเร่งเร้าลิ่วลม “เร็วเข้า แสงกำลังสวย”

“ให้ตายเถอะ” ลิ่วลมส่ายหน้า หากยอมทำตามแต่โดยดี

ยัยตัวแสบคงจะยังไม่หายเวียนหัวอย่างปากว่า เพราะคราวนี้นารีญาไม่สั่งให้เขาถ่ายมุมโน้นมุมนี้เหมือนอย่างเคย ลิ่วลมสงสารเลยพยายามถ่ายภาพให้หลายๆมุม ก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้กับหญิงสาว แล้วคณะก็ออกเดินทางกันต่อ

เส้นทางจากจุดที่หยุดพัก ไปจนถึงจุดพักแรม วิบากกว่าช่วงแรกหลายเท่า

ถนนแคบลงทุกที พื้นผิวก็ขรุขระทำให้เยชิควบคุมรถด้วยความยากลำบาก ลิ่วลมเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคินซาต้องเรียกญาติของเธอมาช่วย ประสบการณ์ของเยชิที่เคยทำงานแถวนี้ช่วยให้การเดินทางง่ายขึ้น

ถนนยังคงสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ลิ่วลมสัมผัสถึงละไอหมอกสีขาวขุ่นลอยอวลอยู่รอบๆ รถ เหมือนรถกำลังวิ่งผ่านไปในกลุ่มเมฆ

นารีญาหลับไปแล้ว ครั้งนี้หญิงสาวยอมกินยาแก้เมารถโดยไม่อิดออด หลังจากขึ้นนั่งรถได้ไม่ถึงสิบนาที หลานสาวของอาจารย์อัญญาวีร์ก็หลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว

ลิ่วลมหันกลับไปมองแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ นึกในใจว่าถ้ายังไม่หลับ นักอุตุนิยมสาวอย่างนารีญาคงเล่าถึงก้อนเมฆแบบนั้นแบบนี้เสียงแจ๋วไปแล้ว

หลังจากรถข้ามยอดเขาสูงชันไป ก็เริ่มไต่ระดับลงสู่หุบเขาเบื้องล่าง อากาศยะเยือกเย็นทั้งที่แสงแดดยังส่องสว่าง อัญญาวีร์หยิบผ้าห่มขนสัตว์ห่มให้หลานสาวที่ยังคงหลับสนิท

แคมป์ที่ทุกคนจะหยุดพักคืนนี้เป็นที่ทำการป่าไม้

ลิ่วลมเห็นกลุ่มบ้านพักหลังเล็กๆ ปลูกแบบพื้นเมืองกระจัดกระจายอยู่สามถึงสี่หลัง ลิ่วลมมองไม่เห็นสายไฟ จึงอดกังวลไม่ได้ว่าคืนนี้จะเอาไฟฟ้าที่ไหนใช้ แต่พอมองเลยไปทางด้านหลังของกลุ่มบ้านพักก็เห็นว่ามีแผงโซลาร์เซลตั้งอยู่จำนวนมาก

เยชิอธิบายว่าเมื่อก่อนที่ยังไม่การตัดถนนไฮเวย์ เส้นทางนี้คือเส้นทางหลักที่จะเดินทางไปซัมเซ หลังจากที่ถนนไฮเวย์สร้างเสร็จ เส้นทางสายนี้ก็ลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ ผู้คนที่เคยปลูกบ้านอยู่สองข้างทางก็ย้ายไปสร้างบ้านเรือนอยู่ตามแนวถนนไฮเวย์ เพราะนอกจากเดินทางสะดวก ยังสามารถทำธุรกิจรองรับนักท่องเที่ยวได้ดีกว่า สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่บนเส้นทางสายนี้ก็คือที่พักของคนที่ทำงานป่าไม้

“เยชิ” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนโผล่หน้าออกมาทักทาย เขาสวมชุดพื้นเมืองและห่มคลุมด้วยเสื้อขนสัตว์ตัวหน้า ดวงหน้าของชายผู้นั้นอวบอูมและแดงราวมะเขือเทศ “ผมจัดที่พักให้พวกคุณเรียบร้อยแล้ว มีบ้านสามหลัง พวกเทนซิลสี่คนอยู่กันหนึ่งหลัง”

เขาหมายถึงลูกหาบที่เยชิพามาด้วย

“คุณกับคินซาอยู่หนึ่งหลัง อีกหลังเป็นของแขกคนไทย”

“ขอบคุณมากโซนัม” เยชิตบไหล่ลูกน้องเก่าของเขา “ผมเคยทำงานอยี่ที่สถานีป่าไม้นี้หลายปี”

ประโยคหลังเขาหันมาเล่าให้ลิ่วลมและคนอื่นๆ ฟัง

นารีญายังมีท่าทางงงๆ แต่อาการเวียนหัวนั้นหายไปแล้ว อัญญาวีร์กับลิ่วลมช่วยกันยกกระเป๋าสัมภาระจากหลังรถแล้วเดินไปยังบ้านหลังที่เป็นของพวกเขา เยชิให้เวลาทุกคนพักผ่อนนิดหนึ่ง เขานัดให้ทุกคนมาพบที่อาคารหลังใหญ่ตอนหนึ่งทุ่มตรง เพื่อรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

บ้านพักที่โซนัมจัดให้มีสองห้องนอน ห้องน้ำมีห้องเดียวใช้รวมกัน ลิ่วลมเลือกห้องนอนที่มีขนาดเล็กกว่า ยกห้องใหญ่ให้นารีญานอนกับน้าของเธอ

ห้องพักมีแค่เตียงนอนและผ้าห่ม ทุกอย่างดูเรียบง่าย ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ และแน่นอน อยู่กลางหุบเขาอย่างนี้ ไม่มีทั้งสัญญาณโทรศัพท์หรือไวไฟแต่อย่างใด โทรศัพท์มือถือในมือของลิ่วลมไม่สามารถใช้ติดต่ออะไรกับใครได้เลย

นั่งพักได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาที่เยชินัด ตอนที่พวกเขาไปถึงอาคารหลังใหญ่นั้น เยชิ คินซา โซนัมลูกน้องพนักงานป่าไม้ของเขากำลังสนทนากันอย่างเคร่งเครียด ลิ่วลมสังเกตว่าลูกหาบของเยชิหายไปคนหนึ่ง

…นัมเก เชริงไม่ได้มากินข้าวด้วย…

“นัมเกไม่ค่อยสบาย อยากขอนอนพักน่ะครับ” เยชิรีบบอกเมื่อเห็นสายตาสงสัยของแขกชาวไทย

ลิ่วลมกำลังจะอ้าปากถามถึงอาการของนัมเก แต่ร่องรอยหนักใจบนดวงหน้าคร้ามแดดของเยชิทำให้เขาเปลี่ยนใจ ยังไม่ทันที่ลิ่วลมจะได้เอ่ยปากถามอะไรอื่น เยชิก็หันมาบอกเสียก่อนว่า

“มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นก่อนเรามาที่นี่ครับ”

 



Don`t copy text!