พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.1 : ผู้พิทักษ์ขุนเขา

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.1 : ผู้พิทักษ์ขุนเขา

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“หยุดเดี๋ยวนี้” ชายผู้นั้นตวาดและบีบมือของลิ่วลมแน่น “นั่นคุณกำลังจะทำอะไร”

“เยติ…นั่นมันเยติ” ลิ่วลมดิ้นขลุกขลัก

ก่อนจะเดินทางมาภูฏาน เขาพยายามค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่น่าจะมีประโยชน์ในการช่วยหาตัวล่องเมฆ หนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวข้องกับภูฏานพูดถึงเยติ…หนึ่งในเรื่องลี้ลับของเทือกเขาหิมาลัย

ตำนานปรัมปราเล่าว่าเยติคือมนุษย์ดึกดำบรรพ์ มีขนสีขาวยาวปกคลุมร่างกาย มีรูปร่างใหญ่โตกว่ามนุษย์ทั่วไป อาศัยอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีบันทึกว่ามีคนเคยพบเยติปรากฏตัวแถวทิเบต เนปาล และภูฏาน ในบันทึกบางฉบับเรียกเยติว่ามนุษย์หิมะ หรือ Snow Man บางทีก็เรียกว่าไอ้ตีนโต หรือ Big Foot

เซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี ชาวนิวซีแลนด์ที่พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ เคยพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปถึงสองหรือสามเท่า ระหว่างการปีนเขา เขาได้มอบกะโหลกชิ้นนั้นให้กับวัดคุมซุง ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของเนปาล นั่นเป็นหลักฐานสำคัญอีกหนึ่งชิ้น ที่ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงของเยติ ทุกวันนี้ใครที่ได้เดินทางไปยังวัดแห่งนั้นก็ยังจะได้เห็นกะโหลกศีรษะที่ว่าตั้งแสดงเอาไว้ในห้องบูชา

“ใช่…เยติ ตัวจริงของจริงเลยละ” ชายผู้นั้นแค่นเสียง “แล้วยังไง คุณจะยิงพวกเขาหรือ”

“ผมแค่ป้องกันตัว…มันกำลังจะทำร้ายเรานะนัมเก” ลิ่วลมว่า “แน่ะ…เดินมาแล้ว”

“เขายังไม่ได้ทำร้ายเราสักหน่อย” มือที่จับแขนของลิ่วลมยังจับเอาไว้แน่น “ทำไมจึงคิดว่าเขาจะทำร้ายเราล่ะ”

“ก็…” ลิ่วลมตอบไม่ได้ “ไม่รู้สิ…ผมก็แค่ระวังตัวเอาไว้ก่อน”

“ตอนนี้คุณอยู่เฉยๆ เลย อย่าเพิ่งพูด อย่าเพิ่งส่งเสียงอะไรทั้งนั้น” ชายผู้นั้นสั่ง เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปาก เป็นทำนองบอกให้ลิ่วลมเงียบเสียง

“คุณไม่กลัวเหรอ” ลิ่วลมถาม

“ไม่กลัว…พวกเขามาช่วยเรา” ชายผู้นั้นตอบ

“อะไรนะ” ลิ่วลมอ้าปากค้าง “เยติ…มาช่วยเรา”

“ใช่” ชายผู้นั้นพยักหน้า ภาษาไทยของเขาชัดเจน เขาคลายมือที่ล็อกลิ่วลมออกนิดหนึ่ง และจังหวะนั้นเองที่ลิ่วลมหันไปมอง และพบว่าผู้ชายที่จับตัวเขาเอาไว้แน่น ไม่ใช่นัมเก เชริง

“เดี๋ยวก่อนนะ…นายไม่ใช่นัมเกนี่” ลิ่วลมร้องคราง “นัมเกอยู่ไหน”

“นัมเก…” ชายวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงล่ำสันถอนใจยาว ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุดว่า “นัมเกไม่ได้มาด้วย”

“นายปลอมเป็นนัมเก” ลิ่วลมได้คำตอบทั้งหมดในตอนนั้นว่าเหตุใด ‘นัมเก’ ที่ร่วมอยู่ในขบวนเดินทาง จึงพยายามหลบหน้าหลบตาทุกคน แม้แต่ตอนรับประทานอาหาร ก็แยกไปคนเดียว

“นายเป็นใคร”

“ผมเป็นใครไม่สำคัญ” ชายผู้นั้นส่ายหน้า “รู้เอาไว้ว่าผมเป็นมิตร”

“คนที่เป็นมิตรทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้หรือ” ลิ่วลมรู้สึกไม่พอใจ หากชายคนนั้นกลับบีบแขนของเขาแน่นและบอกว่า

“เงียบได้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เยติพวกนั้นยุติการช่วยเหลือ”

“หมายความว่ายังไง” ลิ่วลมยังพึมพำ หากยอมลดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม

“ต้นไม้ที่ล้มขวางทาง มีขนาดใหญ่เกินกำลังของพวกเราจะจัดการกันเอง” ชายผู้สวมรอยเป็นนัมเกอธิบาย “ถ้าผมไม่ขอให้พวกเยติมาช่วยเคลื่อนย้าย รับรองว่ารออีกสองวันเราก็ยังเลื่อยไม่เสร็จ แล้วการเดินทางไปซัมเซก็จะยิ่งช้าออกไป”

“คุณเรียกเยติได้หรือ” ลิ่วลมพึมพำ

ก่อนที่ลิ่วลมจะแอบย้อนกลับมาที่นี่ วังโมบอกให้ฟังว่านัมเกเรียกเพื่อนให้มาช่วย…ใครจะคิดว่าเพื่อนของนัมเกไม่ใช่มนุษย์ปกติ!

“พวกเขาเป็นเพื่อนผม”

ชายผู้นั้นพยักหน้า พร้อมกับส่งเสียงผิวปากเป็นจังหวะ

“คินกา…กลับไป…กลับไป” เขาพึมพำและโบกมือให้เยติตัวใหญ่ที่กำลังเดินมุ่งหน้ามา “ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ศัตรูของเรา…เขาไม่มีอันตรายอะไร…กลับไป”

ลิ่วลมเห็นเยติตัวที่เดินมุ่งหน้ามาทางเขาหยุดชะงัก ใบหน้ากลมใหญ่ที่ปกคลุมด้วยขนรกรุงรังทำท่าเอียงไปมาราวตั้งใจฟังคำพูดของชายที่ปลอมตัวเป็นนัมเก ดวงตากลมและใสกระจ่างของเยติตัวนั้นเหมือนเขม้นมอง และทันทีที่สบตาที่เต็มไปด้วยความซื่อบริสุทธิ์คู่นั้น ลิ่วลมก็คลายความหวาดกลัวลงในทันใด…ถึงแม้จะสื่อสารกันไม่ได้ แต่ดวงตาของเยติบ่งบอกถึงความเป็นมิตร…

“กลับไป คินกา กลับไป” ชายลึกลับยังคงโบกมือไปมา

เยติที่มีชื่อว่า ‘คินกา’ ครางเสียงประหลาดในลำคอ ก่อนจะยอมเดินกลับไปแต่โดยดี

คินกาเดินกลับไปสมทบเยติอีกสองตัวที่เหลือ จากนั้นทั้งหมดก็ช่วยกันขยับต้นไม้อย่างขะมักเขม้น สองมือที่มีขนาดใหญ่จับกิ่งไม้ที่รกเรื้อหักออกอย่างง่ายดาย

ต้นไม้ที่ขวางทางมีขนาดใหญ่มากจริงดังที่ชายลึกลับผู้นั้นว่า ลิ่วลมคิดถ้าหากจะเคลื่อนย้ายกันจริงๆ ต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ถึงจะทำได้ การเลื่อยตัดลำต้นเป็นท่อนอย่างที่เยชิว่าไม่ง่าย ยิ่งไม่มีเลื่อยไฟฟ้ายิ่งต้องใช้เวลามาก แต่ด้วยพละกำลังของเยติทั้งสามกลับไม่ใช่ปัญหา พวกมันกำลังช่วยกันลากต้นไม้ใหญ่ออกไปให้พ้นทาง

“นายพูดกับมันได้” ลิ่วลมยังไม่หายประหลาดใจ

“ผมบอกแล้วว่าเราเป็นเพื่อนกัน” ลิ่วลมยังถูกล็อกแขนเอาไว้ จึงเห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายไม่ถนัด

“เพื่อนกับเยติเนี่ยนะ”

“คุณจะไปรู้อะไร” น้ำเสียงของชายผู้นั้นดูแคลน “มนุษย์ที่เติบโตมากับสังคมเมืองและเทคโนโลยีไม่รู้หรอกว่า ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน โลกใบนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับมนุษย์เท่านั้นหรอกนะ แต่สรรพชีวิตทั้งหลายต่างมีสิทธิในการอยู่ในโลกของเราโดยเท่าเทียมกัน จะว่าไป…เยติอยู่ที่นี่มาก่อนมนุษย์ด้วยซ้ำ มนุษย์ที่มาทีหลัง แต่กลับยึดครองทรัพยากรทุกอย่าง ล่าและทำร้ายเพื่อนสัตว์โลกเพราะความเห็นแก่ตัว และแม้กระทั่งกับมนุษย์ด้วยกันก็ทำได้หน้าตาเฉยไมมีความละอาย”

“จะปล่อยผมได้หรือยัง” ลิ่วลมพยายามขยับตัวอย่างอึดอัด

“ได้ ถ้าคุณสัญญาว่าจะไม่ถ่ายรูป ไม่ไปยุ่งกับเพื่อนของผม” ชายผู้นั้นแค่นเสียง “ปล่อยให้พวกเขาได้อยู่กันอย่างสงบ เหมือนที่เคยเป็น”

“ผมสัญญา” ลิ่วลมรับปาก และชายผู้นั้นก็ปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

“ขอบใจ” เขาพึมพำ พร้อมกับหมุนกายกลับมาเผชิญหน้า ‘นัมเก’ ตัวปลอม ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยสุ้มเสียงเครียดขรึม

“แล้วทีนี้…จะบอกความจริงได้หรือยัง ว่านายคือใคร ทำไมถึงต้องปลอมตัวเป็นนัมเก ร่วมเดินทางมากับคณะของเรา”



Don`t copy text!