พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 18.1 : สี่เทพผู้พิทักษ์

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 18.1 : สี่เทพผู้พิทักษ์

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

 

เปลวเพลิงที่ลุกลามสถานีป่าไม้แห่งที่สองสงบลงแล้ว ทว่ากรุ่นควันที่เกิดจากไฟไหม้ยังคงลอยอ้อยอิ่ง และส่งกลิ่นเหม็นไปรอบบริเวณ อาคารตรงหน้าเหลือเพียงซากและเถ้าถ่าน

โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ทุกคนในที่นั้นได้แต่มองภาพตรงหน้าแล้วนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ด้วยไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงเช่นนี้

อัญญาวีร์ยังคงยืนกรานว่าจะร่วมเดินทางไปด้วย ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะอันตรายเพียงใด เชวัง ทินเลย์ ฟังแล้วได้แต่นิ่งอึ้ง ไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว แม้แต่ลิ่วลมที่เป็นตัวตั้งตัวตีในตอนแรกที่จะให้อาจารย์ของเขากลับทิมพูไป แต่พอมาเจอประโยคนั้นของอัญญาวีร์เข้า ลิ่วลมเองก็พลอยหมดคำพูดไปด้วยอีกคน

ทุกคนในมหาวิทยาลัยรู้ดีว่าอาจารย์อัญญาวีร์เป็นคนหนักแน่นยิ่งกว่าหินผา เวลาตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างต้องทำจนสำเร็จ ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดของอาจารย์ได้

ถ้าเธอจะไป เธอก็จะไป…ไม่มีใครเปลี่ยนใจเธอได้

สิ่งเดียวที่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงของชายหนุ่ม คือ ภาพนิมิตที่เขาเห็น

สุดท้ายมันจะเกิดขึ้น…นิมิตของเขาแม่นยำเสมอมา

แม้ภาพจะเกิดขึ้นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ทว่าชัดเจนพอที่ลิ่วลมจะเห็นมีการปะทะกับใครหรืออะไรบางอย่าง ส่งผลให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน…

มีใครบ้าง ทุกคนกำลังทำอะไร เกิดเหตุที่ไหน

และเขาจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้หรือเปล่า

ต้องได้สิ เขาจะพยายาม…ลิ่วลมบอกตัวเอง นิมิตคือภาพอนาคตที่ยังไม่เกิด บางทีการที่เบื้องบนอนุญาตให้เขาเห็นเหตุการณ์อนาคต เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น และเขาจะต้องหาวิธีให้ได้

ไม่ใช่เพียงแต่ลิ่วลมเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด ทว่านารีญาก็เป็นอีกคนที่ขยับตัวด้วยความอึดอัด เพราะเธอรู้ว่าคนที่น้าอัญเอ่ยถึงคือใคร

คนที่ไม่รักษาสัญญา…เชวัง ทินเลย์นั่นยังไง

และเขาคนนั้น ก็มายืนอยู่ตรงหน้าอัญญาวีร์ในตอนนี้แล้ว

หญิงสาวรู้สึกชื่นชมน้าของเธอที่เก็บความรู้สึกได้เก่งมาก นารีญาคิดว่าถ้าเป็นตัวเอง เธอคงไม่ยอมให้เชวังนิ่งเฉยแน่ แต่จะต้องคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงทิ้งคนรักไปโดยไม่มีเยื่อใย หายตัว ขาดการติดต่อไปนานนับสิบปีแบบนี้

“ตกลงไม่มีใครคัดค้านใช่ไหม” อัญญาวีร์ยิ้มเยือกเย็น “ถ้าไม่มีใครคัดค้าน ก็เป็นอันตกลงตามนี้ ฉันกับรีญาจะไปซัมเซกับพวกคุณตามแผนเดิม เอาละ…มาวางแผนได้แล้วว่าเราจะเดินทางกันอย่างไร”

“ผมยืนยันคำเดิม เราต้องใช้เส้นทางมันโดลาถึงจะปลอดภัยที่สุด” เชวังว่า “พยับฟ้าโพยมดินคือแผนที่…เราต้องใช้พยับฟ้าโพยมดินนำทาง”

เชวังหันมาทางลิ่วลม ดวงตาคู่คมของเขาจ้องดวงหน้าคมสันของชายหนุ่มชาวไทยแน่วนิ่ง

“เอาพยับฟ้าโพยมดินออกมาดูกันเถอะ”

“ไม่ได้หรอกครับ” ลิ่วลมลังเล เพราะข้อตกลงสามข้อที่เคซังขอให้เขาสัญญา ก่อนจะมอบ ‘พยับฟ้าโพยมดิน’ ให้มา

“ทำไมไม่ได้ เพราะเคซังสั่งเอาไว้ใช่ไหม” เชวังพอจะเดาได้ “เขาให้คุณสัญญาแบบนั้น เพราะกลัวว่าพวก Linn Plant จะได้ผ้าไป”

“คุณเคซังรู้เรื่องฝรั่งพวกนี้ด้วยหรือคะ” นารีญาเป็นฝ่ายถาม

“ใช่ครับ” เชวังพยักหน้า “เคซังรู้ทุกเรื่อง เขาเป็นเพื่อนสนิทของผม ทุกอย่างที่ผมรู้…เขาก็รู้เหมือนกับผม และผมนี่ละ ที่เป็นคนเอาพยับฟ้าโพยมดินจากวิหารโบราณที่ซัมเซไปให้เคซัง บอกให้เขาหาทางซ่อมแซมผ้าส่วนที่ถูกไฟไหม้ ให้กลับมาสมบูรณ์ดีดังเดิม”

“ถ้าพยับฟ้าโพยมดินสำคัญมากอย่างนั้น ทำไมพวกคุณถึงยอมให้ผ้าผมมา” ลิ่วลมยังไม่เข้าใจ

“เพราะน้องของคุณยังไง ผมบอกเคซังเองว่าให้มอบผ้าให้กับคุณ” เชวังสารภาพ “ถ้าจะหาน้องของคุณให้พบ…ผ้าผืนนี้จะนำทางคุณไป”

“แล้วคุณไปบอกเคซังได้อย่างไร คุณไปบอกเขาตอนไหน แล้วทำไมคุณรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเรา คุณสะกดรอยพวกเราใช่ไหม…วันนั้นที่อนุสรณ์สถาน…คุณสะกดรอยตามฉัน” อัญญาวีร์จ้องหน้าเชวัง

“ใช่” เชวังพยักหน้ารับ “ผมไม่ได้ตั้งใจสะกดรอยพวกคุณหรอกนะ ผมกำลังติดตามพวก Linn Plant ต่างหาก ผมรู้ว่าพวกมันมาถึงทิมพูแล้ว ผมเลยมาจากซัมเซ เพื่อคอยติดตามดูพวกมัน วันนั้นพวกมันไปที่อนุสรณ์สถาน…”

“ฝรั่งกับคนอินเดียกลุ่มนั้นแน่ๆ” นารีญารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เธอจำฝรั่งกับคนอินเดียที่เดินวุ่นวายไปมาได้ “นี่ใช่ไหมคะ”

หลานสาวของอัญญาวีร์ยื่นโทรศัพท์ให้เชวังดู

“พวกเขาอยู่โรงแรมเดียวกับเรา แล้วยังตามมาที่วิหารม้าเทวดาด้วย”

“ใช่” เชวังพยักหน้า “พวกนี้ละ…พวกนี้คือฝรั่งกลุ่มที่สองที่ไล่ตามหลังเรามา”

แล้วพวกมันก็คือพวกที่บุกรุกไปวิหารฟ้าคะนองด้วยใช่ไหม” ลิ่วลมถอนใจยาว

“คาดว่าใช่” เชวังพยักหน้า “แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะจับพวกเขาได้ เพื่อนของผมที่อังกฤษส่งข่าวพวกมันให้รู้มาระยะหนึ่งแล้ว พอได้ข่าวว่าพวกมันเดินทางมาถึงทิมพู ผมจึงรีบเดินทางจากซัมเซมาที่นี่ เพื่อสะกดรอยตามพวกมัน…ใครจะคิดว่าผมจะเจอพวกคุณเข้าพอดี…ส่วนเรื่องที่ว่าผมติดต่อกับเคซังอย่างไร นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะวันที่พวกคุณไปหาเคซัง ผมอยู่ที่นั่นด้วย”

“ทำไมเราไม่เห็นคุณ” นารีญาพึมพำ “หรือเพราะเราไม่ทันได้สังเกต”

“พวกคุณไม่เห็นผมหรอก” เชวังว่า “แต่ผมเห็นพวกคุณตลอดเวลา”

“ภาพคุณแม่ของเคซัง”

ต้องใช่แน่ๆ…ดวงตาของลิ่วลมเบิกกว้าง

ตอนอยู่ในห้องเก็บผ้าของเคซัง เขารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

ตอนนั้นเขานึกไม่ออก แต่ตอนนี้เขานึกออกแล้ว

“คุณเป็นคนฉลาด…ลิ่วลม” เชวังพยักหน้า “มีห้องเล็กๆ อยู่หลังกำแพง มีช่องเจาะอยู่ตรงกับภาพดวงตาของคุณแม่รินเชน ลุนดรัป และผมก็เฝ้ามองดูพวกคุณอยู่ตลอดเวลา เอาละ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย…เอาพยับฟ้าโพยมดินออกมาดูกันได้แล้ว”

ลิ่วลมส่ายหน้ายอมแพ้ เขาปลดกระบอกโลหะที่สะพายอยู่บนไหล่ แล้วนำเอา ‘ทังกา’ หรือ ‘ผ้าพระบฏ’ เก่าแก่ที่มีนามว่า ‘พยับฟ้าโพยมดิน’ ออกมา และกางลงบนโต๊ะหินตรงหน้า

แสงแดดอ่อนจางที่ส่องลอดเงาไม้ลงมาตกต้องผ้าโบราณผืนนั้น เส้นไหมสีเขียวอมฟ้าสะท้อนเปลวแดดเกิดเป็นประกายมลังเมลือง ยิ่งมองลิ่วลมยิ่งรู้สึกหลงใหล เขาไม่เคยเห็นผ้าปักผืนใดละเอียดและงดงามเท่าพยับฟ้าโพยมดินมาก่อน

เชวังโบกมือให้ลูกหาบทั้งสามกับเจ้าหน้าที่ของสถานีป่าไม้แห่งที่สองถอยไป มีเพียงตัวเขา เยชิ คินซาและชาวไทยทั้งสาม จ้องมองลวดลายบนผืนผ้าอย่างตั้งใจ

“เราอยู่ตรงนี้” หลังจากพยายามเทียบสัญลักษณ์อยู่นาน ในที่สุดเชวังก็ชี้นิ้วลงบนที่ราบกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง “และผมคิดว่าเราต้องไปที่ถ้ำตรงนี้ เพราะดูจากแผนที่แล้ว…อยู่ใกล้ที่สุด”

เชวังชี้นิ้วไปยังสัญลักษณ์ถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ตรงหน้าถ้ำมีสถูปสี่องค์เล็กๆ ตั้งรายเรียงตามทิศทั้งสี่ จากปากถ้ำมีเส้นทางสายแคบๆ จากปากถ้ำดิ่งเข้าไปใจกลางภูเขาสูง ถ้ามองให้ดีแล้วจะพบว่าในบริเวณนั้นมีถ้ำอยู่หลายแห่ง ทุกแห่งล้วนมีเส้นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยว แต่สุดท้ายทุกเส้นทางก็ไปบรรจบพบกัน และเกิดเป็นเส้นทางใหญ่ภายใต้ภูเขา

“แผนที่แม่นยำมาก” เยชิเอ่ยชม “ไม่ไกลจากนี้มีถ้ำแห่งหนึ่งจริงๆ ที่หน้าถ้ำมี Four Guardians Choten…คนพื้นที่เรียกกันว่าสถูปสี่เทพผู้พิทักษ์…เป็นสถูปเก่าแก่ อายุหลายร้อยปี สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้”

“สี่เทพผู้พิทักษ์” นารีญาว่า “มีอะไรบ้างหรือคะ”

“เสือ สิงโตหิมะ ครุฑ และมังกรครับ” เยชิอธิบาย “สัตว์ทั้งสี่เป็นผู้พิทักษ์ศาสนา ครุฑ หมายถึงอำนาจ สติปัญญาและความกล้าหาญ…เป็นตัวแทนของพลังลม”

สถูปที่ปรากฏบนพยับฟ้าโพยมดินมีรูปร่างคล้ายพญาครุฑของคนไทยจริงดังที่เยชิว่า

“ส่วนนี่…” เขาชี้ไปที่สถูปที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปเสือ “หมายถึงความมั่นใจ ความมีระเบียบวินัยและความสุภาพเรียบร้อย เสือเป็นตัวแทนของพลังไฟครับ”

“นั่นสิงโต” นารีญาชี้

“สิงโตหิมะ” เยชิอธิบายต่อ “เป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิต ศักดิ์ศรีและความบริสุทธิ์ ส่วนพลังของสิงโตหิมะก็ตรงตามชื่อครับ…พลังน้ำแข็ง และสุดท้าย…”

เยชิลากนิ้วไปยังสถูปที่สี่ รูปร่างเป็นมังกรตัวเล็กๆ คล้ายกับลายปักบนผ้าพันคอที่โซเทน ทินเลย์ปักให้กับอัญญาวีร์

“ดรุก…หรือมังกร”



Don`t copy text!