พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 19.1 : ศรีวัตสะ

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 19.1 : ศรีวัตสะ

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“นั่นโดรนนี่คะ” นารีญาชี้ไปที่วัตถุสีดำขนาดเล็ก มีใบพัด หน้าตาคล้ายเฮลิคอปเตอร์ลำจิ๋ว

“โดรนจริงด้วย” เชวังใจหายวาบ “แย่ละ…พวกมันส่งโดรนตามเรามา”

สิ้นสุดประโยคนั้นของเขา ก็เกิดเสียงปืน ปัง ปัง ติดกันหลายนัด พร้อมกับกระสุนที่เฉียดผ่านทุกคนไปอย่างรวดเร็ว

โดรนที่สะกดรอยตามพวกเขามาไม่ใช่โดรนถ่ายภาพธรรมดา แต่เป็นโดรนสังหาร

พวกมันบินมาอย่างเงียบเชียบจนคณะเดินทางไม่รู้ตัว และมันไม่ได้มาแค่ลำเดียว แต่ยังมีอีกหลายลำที่เพิ่งโผล่พ้นแนวยอดสนมา

ทันทีที่พวกมันตั้งลำได้ โดรนสังหารพวกนั้นก็สาดกระสุนใส่มนุษย์ที่ยืนอยู่เบื้องล่างอย่างไม่ยั้ง

ปัง!

แทนที่จะปล่อยให้มันยิงเอาฝ่ายเดียว เชวังกระชากปืนจากข้างเอวออกมายิงใส่มันบ้าง

ตูม!

เสียงโดรนตัวหนึ่งถูกกระสุนของเชวัง เสียหลักตกลงมากระทบพื้นเบื้องล่าง ก่อนจะระเบิด และเกิดประกายไฟพวยพุ่ง

“หลบเร็ว” เชวังโบกมือให้ทุกคนวิ่งไปหลบหลังสถูป ตัวเองและเยชิกับบรรดาลูกหาบทั้งสามต่างชักปืนออกมา กระหน่ำกระสุนยิงสู้กับโดรนสังหารเป็นพัลวัน

นารีญาเหลือบมองปืนในมือ ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปบ้าง หญิงสาวเล็งปลายกระบอกปืนไปที่โดรนตัวหนึ่ง ก่อนจะเหนี่ยวไกเสียงดังปัง พร้อมกับเสียงดังแคร่กๆ ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังตูม เมื่อโดรนตัวนั้นถูกนารีญาสอยจนร่วงลงมาอีกลำ

“อุ๊ย…ฉันก็แม่นเหมือนกันนะคุณ” หญิงสาวหันมาหัวเราะกับลิ่วลม ทั้งที่สถานการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน

“ไม่ใช่เวลามาตลกนะรีญา” ลิ่วลมเอ็ด

“เหมือนเล่นเกมเลย” นารีญาพึมพำ ก่อนจะเล็งปืนไปที่โดรนตัวสุดท้ายบนอากาศ จากนั้นก็เหนี่ยวไก สอยมันร่วงลงมาบนพื้นอย่างง่ายดาย “ไม่เสียแรงที่เล่นเกมเป็นประจำ ทีนี้น้าอัญจะได้เลิกบ่นเวลาฉันเล่นเกมเสียที”

“ใช่เวลาจะมาคุยเล่นไหมรีญา” อัญญาวีร์เสียงสั่น เธอไม่คิดว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงถึงขั้นยิงกัน

“เจ็ดลำ” คินซานับซากโดรนที่ควันคละคลุ้งบนพื้น

“ตามผมมาเร็วเข้า” เชวังโบกมือให้ทุกคนวิ่งตามเขาเข้าไปในถ้ำ ซึ่งซ่อนอยู่หลังสถูปทั้งสี่องค์

ปากถ้ำแคบจนต้องเดินเรียงเดี่ยวเข้าไปทีละคน เยชิและคินซาเขย่าแท่งฟลูออเรสเซนต์ในมือ เพื่อให้ความสว่างแทนไฟฉาย คนไทยทั้งสามเห็นดังนั้น เลยหยิบแท่งฟลูออเรสเซนต์ออกมาจากเป้ แล้วเขย่าบ้าง

ทันทีที่ปรากฏความสว่าง ประกายระยิบระยับจากผนังถ้ำก็เรืองรอง สว่างไสว ราวกับผนังทุกด้านถูกโรยด้วยกากเพชร อัญญาวีร์และนารีญาอ้าปากค้างด้วยความทึ่งแกมตกตะลึง ไม่คิดว่าภายในถ้ำที่มืดมิดจะงดงามขนาดนี้

“ระวังด้วยนะครับ” เชวังรองเตือนมาจากทางด้านหลัง เพราะพื้นถ้ำที่พวกเขากำลังย่ำเดินเข้าไปนั้น ไม่ได้เป็นพื้นเรียบ ทว่ามีแท่งหินงอกโผล่ขึ้นมาเป็นระยะ ขณะที่บางช่วงของเพดานถ้ำมีหินย้อยงอกลงมาเป็นแท่งแหลม ทำให้คณะเดินทางต้องคอยก้มศีรษะต่ำเพื่อหลบเลี่ยง

เยชิเดินนำทุกคนไปข้างหน้า ลิ่วลมสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดผ่านมารวยริน ค่อยยังชั่วที่ถ้ำนี้มีช่องสำหรับระบายอากาศ ทำให้ไม่อึดอัดจนเกินไป

ทางเดินทอดขึ้นสูงและลาดลงต่ำ สลับกันไปมา เมื่ออยู่ภายในถ้ำที่ไม่เห็นแสงสว่างภายนอก ลิ่วลมจึงไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายหรือค่ำ เขารู้แต่ว่าขาสองข้างอ่อนล้า และเป้ที่สะพายอยู่บนหลังหนักขึ้นทุกขณะ

เขาหันไปมองเพื่อนร่วมทางด้านหลัง เห็นอัญญาวีร์ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่นารีญาเริ่มยิ้มไม่ออก และทำท่าเหมือนอยากพัก

ลิ่วลมกำลังจะตะโกนบอกเชวัง ขอให้หยุดพักสักครู่ ก็พอดีกับที่เยชินำทุกคนมาจนถึงโถงถ้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า

“พักกันตรงนี้สักหน่อยนะครับ” เยชิเห็นทุกคนเริ่มเหนื่อย อีกทั้งเดินมาถึงพื้นที่โล่ง จึงอนุญาตให้หยุดพักได้

ลิ่วลมสังเกตเห็นลำแสงจากเพดานเบื้องบนทอดลงมาเป็นลำยาว

เพราะบนเพดานมีรอยแตกขนาดใหญ่นั่นเอง นั่นทำให้แสงจากภายนอกสามารถส่องลอดเข้ามาได้ แม้เป็นรอยแตกขนาดไม่ใหญ่มากนัก ทว่าแสงที่ส่องลงมา สว่างพอที่จะมองเห็นหน้าและสภาพแวดล้อมภายในโถงถ้ำ เยชิบอกให้ทุกคนเก็บแท่งฟลูออเรสเซนต์เอาไว้ก่อน ลิ่วลมสะบัดแท่งที่ให้แสงสว่างในมือแรงๆ สองสามหน ก่อนที่แสงเรืองรองจะดับลง

พื้นที่ตรงนั้นปราศจากหินงอกและหินย้อย พื้นถ้ำเป็นดินราบเรียบเหมือนมีคนมาปรับเอาไว้ มีก้อนหินขนาดใหญ่วางรายรอบเหมือนเก้าอี้สำหรับนั่งประชุม ลิ่วลมกำลังจะอ้าปากถาม แต่ไม่ทันนารีญา

“เหมือนเป็นลานประชุมเลยนะคะ”

“ก็อาจเป็นได้” เชวังแบ่งรับแบ่งสู้ “เคยมีคนพบขวานหินขัดของมนุษย์สมัยก่อนประวัติสาสตร์ และภาชนะดินเผาแถวนี้และที่ซัมเซ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณที่มีชื่อว่า มอนยุล – Monyul ซึ่งแปลว่าแผ่นดินแห่งความมืดมิด แต่บางคนก็เรียกว่า โลมน –  Lho Mon หรือดินแดนแห่งความเร้นลับ ที่เรียกเช่นนี้ เพราะว่าผู้คนในยุคนั้นจะเลี้ยงสัตว์ และย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เพื่อหาแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เราเชื่อว่าคนพวกนี้ละ คือบรรพบุรุษของคนภูฏานในปัจจุบัน”

“โอ…ดูนี่สิครับ” เสียงของลิ่วลมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เขานั่งดื่มน้ำอยู่บนแท่นหินแท่นหนึ่ง แล้วใช้มือลูบแท่งหินเล่นๆ ไม่ได้ตั้งใจจริงจังนัก แต่กลับกลายเป็นว่า ปลายนิ้วของลิ่วลมสัมผัสเข้ากับร่องรอยอะไรบางอย่าง ครั้นเมื่อลองก้มลงไปมองใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นรอยสลักรูปสี่เหลี่ยมไขว้กันไปมา

“Srivatsa” เชวังทำเสียงตื่นเต้น

“เงื่อนไม่รู้จบ” อัญญาวีร์พลอยตื่นเต้นไปด้วยอีกคน เธอรีบลุกขึ้น เอื้อมมือไปแตะที่สัญลักษณ์นั้น พร้อมๆ กับเชวัง ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

อัญญาวีร์รีบดึงมือกลับมา ขณะที่เชวังรีบอธิบายเพื่อแก้เก้อว่า

“ศรีวัตสะ แปลว่าเงื่อนไม่รู้จบ”

“มาจากภาษาสันสกฤต” ลิ่วลมพยักหน้า เขาเป็นนักภาษาศาสตร์ จึงรู้ที่มาที่ไปของคำนั้น

“ใช่” เชวังพยักหน้า “ศรีวัตสะเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นสัญลักษณ์ของสติและปัญญา ที่มีความเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก เป็นสายใยที่นำทุกๆ คำสอนของพระพุทธองค์ มายึดเหนี่ยวเป็นเกลียวพันกันไม่รู้จักจบสิ้น…”

 



Don`t copy text!