พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 34.1 : รักษาตัว

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 34.1 : รักษาตัว

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

ล่องเมฆประคองลิ่วลมให้ค่อยๆ เดินลงไปตามเส้นทางสายเล็กของเนินเขานอกเมือง ครั้นเมื่อลงไปถึงเชิงเขา ล่องเมฆก็โบกรถของชาวบ้านที่ผ่านมา แล้วขอให้เขาช่วยพาลิ่วลมไปโรงพยาบาลซัมเซ

โรงพยาบาลเป็นอาคารสองชั้น ก่อด้วยปูนประดับลวดลายอันเป็นศิลปะเฉพาะถิ่น ในห้องโถงใหญ่คับคั่งไปด้วยคนป่วย เมื่อรถของชาวบ้านไปถึง เขาก็ตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ให้เอาเปลมารับตัวลิ่วลมไป ล่องเมฆหันไปขอบคุณและถามเรื่องค่ารถ หากชายคนนั้นกลับโบกมือแล้วขับจากไปอย่างรวดเร็ว ล่องเมฆไม่ทันแม้แต่จะถามชื่อ

ลิ่วลมหมดสติอีกรอบแล้วในตอนนั้น ดวงหน้าของพี่ชายฝาแฝดของเขาซีดเผือด เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลประเมินอาการคนเจ็บเบื้องต้น แล้วก็รีบเข็นลิ่วลมเข้าห้องฉุกเฉินทันที

ล่องเมฆนั่งรออยู่นาน ก่อนที่แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินจะออกมาถามรายละเอียด ล่องเมฆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจึงบอกเพียงว่าลิ่วลมปีนเขาแล้วได้รับอุบัติเหตุ

“ร่างกายพี่ชายของคุณกระทบกระแทกรุนแรงมาก มีแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะ” หมอว่า แต่แปลกมากที่แผลกลับแห้งสนิท”

“เพื่อนของผมพอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง” ล่องเมฆเล่า แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมด “เขาเอาสมุนไพรประคบที่แผล เลือดเลยหยุดไหลครับ”

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสมุนไพรอะไรสามารถหยุดเลือดและสมานแผลได้ดีแบบนี้” หมอเองยังรู้สึกทึ่ง “สมุนไพรชื่ออะไร พอรู้ไหมครับ”

“อืม…” ล่องเมฆยังไม่อยากบอกเรื่อง ‘เลือดมังกร’ กับคุณหมอ เขาจึงตอบเลี่ยงไปว่า “เอาไว้ผมจะลองถามเพื่อนให้นะครับ”

หมอบอกจะส่งลิ่วลมไปเอกซเรย์ เจาะเลือด และตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอีกหลายรายการ เขาบอกอีกด้วยว่าโรงพยาบาลที่นี่มีเครื่องไม้เครื่องมือจำกัด หากพบว่ามีความผิดปกติร้ายแรง อาจจำเป็นต้องส่งตัวลิ่วลมไปรักษาต่อที่ทิมพู

รออยู่อีกพักใหญ่ เจ้าหน้าที่ก็เข็นลิ่วลมกลับมาที่ห้องฉุกเฉิน หลังจากดูฟิล์มเอกซเรย์แล้ว หมอบอกว่าลิ่วลมกระดูกซี่โครงหักสามซี่ แต่เป็นการหักแบบไม่เคลื่อนที่ กระดูกไม่ทิ่มปอด ดังนั้นไม่ต้องทำอะไร แค่พักผ่อนรอให้รอยหักสมานตัวเอง

สำหรับศีรษะก็ไม่มีรอยกะโหลกแตก แต่ในสมองนั้นไม่รู้ว่ามีเลือดคั่งหรือเลือดออกหรือไม่ เพราะที่นี่ไม่มีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หมอแนะนำให้แอดมิตนอนโรงพยาบาลสักสองสามวัน เพื่อสังเกตดูอาการกับให้เลือดทดแทน เพราะลิ่วลมเสียเลือดไปมาก มีภาวะเลือดจาง หมอคิดว่าที่เขาอ่อนเพลียมากเกิดจากที่เสียเลือดเป็นหลัก หลังจากได้เลือด อาการน่าจะดีขึ้น

ล่องเมฆอาสาบริจาคเลือดให้พี่ชาย เขาบอกกับหมอว่าเป็นฝาแฝดกับลิ่วลม มีเลือดกลุ่มเดียวกัน หมอพยักหน้าและให้พยาบาลพาล่องเมฆไปที่คลังเลือด เจ้าหน้าที่จัดการไม่นานก็ได้เลือดถุงใหญ่ สำหรับเตรียมเอาไว้ให้ลิ่วลมเมื่อไปถึงวอร์ด

“ญาติเฝ้าไม่ได้นะคะ”

พยาบาลบอก เมื่อเห็นล่องเมฆตามติดคนป่วย

“อนุญาตให้เยี่ยมตามเวลาเท่านั้น”

เขาพยักหน้ารับทราบ ขณะที่กำลังนึกว่าจะไปพักที่ไหนนั้น สตรีสูงวัยผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในหอผู้ป่วย พอ ล่องเมฆหันไปเห็นเธอผู้นั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“คุณย่า”

โซเทน ทินเลย์ มารดาของเชวัง…ย่าของยังเชนนั่นเอง

“ยังเชนบอกว่าพี่ชายของสกายเข้าโรงพยาบาล” โซเทนเอ่ย สีหน้า แววตา และน้ำเสียงเต็มไปด้วยความปราณี “ย่าเลยแวะมาดู เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”

อันที่จริงโซเทนรับรู้เหมือนกับที่เชวังรับรู้ คือเพื่อนของยังเชนที่ชื่อสกาย มาทำวิจัยปริญญาเอกเรื่องพืชสมุนไพรที่ซัมเซ หลังจากเก็บข้อมูลเสร็จเรียบร้อย ก็เดินทางกลับอังกฤษไปแล้ว

แต่กลายเป็นว่าเรื่องราวกลับสลับซับซ้อนกว่าที่เธอรู้ เพราะนอกจากสกายจะยังไม่กลับไป พี่ชายฝาแฝดของเขากลับได้รับบาดเจ็บและมาแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาล ยังเชนโทรศัพท์มาบอกให้ย่าช่วยแวะมาดูความเรียบร้อยให้หน่อย และโซเทนก็ไม่อยากถามหลานว่า สกายมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เธอคิดว่าถ้าหากยังเชนสะดวกใจจะเล่าเมื่อไร ก็คงจะเล่าให้ฟังเอง

“ผมขอไปพักกับคุณย่าได้ไหมครับ” ล่องเมฆเอ่ยปาก ตอนแรกเขาคิดว่าจะหาโรงแรมหรือที่พักแบบง่ายๆ แต่คิดไปคิดมา ขอไปพักกับคุณย่าโซเทนน่าจะดีกว่า บางทีอาจจะได้พบยังเชนที่นั่น แล้วจะได้เคลียร์เรื่องที่ค้างคาใจกันให้เรียบร้อย

“ได้สิ” โซเทนพยักหน้า “บ้านของเราออกจะกว้างขวาง”

หลังจากเฝ้าลิ่วลมจนหมดเวลาเยี่ยม เขาก็ออกมากับโซเทน พี่ชายของเขายังหลับสนิท และหมอเพิ่งจะเริ่มให้เลือด พยาบาลบอกให้เขากลับมาอีกครั้งวันพรุ่งนี้

โซเทนจอดรถไฟฟ้าคันเล็กๆ เอาไว้ที่ลานหน้าโรงพยาบาล ย่าของยังเชนเป็นคนทันสมัย ขับรถไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่ว แม้จะอายุมากแล้ว

บ้านของครอบครัวทินเลย์อยู่นอกเมืองออกไปไม่ไกล เป็นหมู่บ้านที่สงบสุขซึ่งมีชื่อว่าเชงมารี มีถนนสายหลักผ่านด้านหน้า

รอบบ้านไม่มีรั้ว เพราะที่ซัมเซไม่มีขโมย ตัวบ้านเป็นอาคารไม้กึ่งปูนสองชั้น หลังคาเป็นแบบภูฏานแท้ๆ มีลวดลายดอกไม้และมังกรสลักเอาไว้สวยงาม ยังเชนเล่าให้ล่องเมฆฟังว่าบ้านหลังนี้อายุนับร้อยปี อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นทวด

โซเทนจัดให้เขานอนห้องเดิมที่เคยมาพักตอนมาถึงซัมเซใหม่ๆ บ้านทั้งหลังไม่มีเครื่องปรับอากาศเพราะอากาศที่ซัมเซเย็นสบายตลอดทั้งปี ทุกห้องมีเตาผิงสำหรับฤดูหนาวที่บางปีมีหิมะตก มองจากหน้าต่างบานยาวออกไปจะเห็นทุ่งดอกป๊อปปี้สีน้ำเงินบานสะพรั่ง และอ้อมกอดของหิมาลัยที่ทอดตัวเป็นแนวยาว

“ยังเชนล่ะครับ”

เขาอดถามถึงเธอมิได้

“ยังอยู่ที่โกวชู” โซเทนหมายถึงหมู่บ้านสุดท้ายก่อนเข้าเขตถ้ำรังเซ เน

ตอนแรกที่ยังเชนพาเขาไปที่นั่นเพื่อเก็บ ‘เลือดมังกร’ ล่องเมฆไม่เข้าใจว่าเหตุใดครอบครัวทินเลย์ จึงได้สร้างกระท่อมอยู่ที่เมืองเล็กๆ ที่ทั้งห่างไกลและกันดาร

แต่พอเขาได้พบพัลเดน…เขาก็ได้คำตอบ

มันเป็นพันธะสัญญาที่สืบทอดกันต่อมาในตระกูลทินเลย์

ตระกูลผู้พิทักษ์มังกร…



Don`t copy text!