บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี ตอนที่ 2 : คดีอื้อฉาว

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี ตอนที่ 2 : คดีอื้อฉาว

โดย : ตฤณภัทร

Loading

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี นวนิยายออนไลน์สนุกๆ โดย ตฤณภัทร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องราวของฮวง ลูกหลานชาวจีนที่กลายมาเป็นปลัดจีนผู้สร้างความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องชาวจีนในสยาม แต่แล้วเขาก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่มาพร้อมเรื่องรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์สำคัญของสยาม

ชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาจากถิ่นฐานเดิมนั้นเรียกตนเองว่าหัวเฉียว ส่วนลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลที่เกิดและเติบโตนอกแผ่นดินเช่นฮวงนั้นเรียกว่าหัวอี้

ชายหนุ่มไม่เคยไปเยือนที่เมืองจีนอันเป็นถิ่นกำเนิดของบรรพบุรุษ เขาเกิดและเติบโตในสยาม ดินแดนแห่งนี้นับเป็นดินแดนที่ให้โอกาสผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ นอกจากชาวจีนหลากหลายพวกอย่าง ฮกเกี้ยน ไหหลำ กวางตุ้ง จีนแคะ หรือแม้กระทั่งชาวแต้จิ๋วเช่นเขา ก็ยังมีฝาหรั่ง วิลาศ หลายเชื้อชาติเดินสวนกันไปมาอย่างอิสระ ฮวงเองก็มีความคุ้นเคยกับคนพวกนั้น ฮวงถึงกับเคยเป็นเสมียนให้แก่หมอชาวอเมริกันผู้บุกเบิกกิจการโรงพิมพ์ในสยามอย่างหมอแดน หรือที่ชาวสยามคุ้นเคยกันในนามว่าหมอปลัดเลย์ผู้ล่วงลับ ฮวงทำงานอยู่ให้แก่มิสชันนารีชาวอเมริกาผู้นั้นหลายปี ก่อนชีวิตจะพลิกผันเมื่อพบว่าตนเองมีสมาคมที่รอให้กลับไปสืบทอดดูแล

กิจการของชาวจีนในสยามนั้นมีเรื่องให้ดูแลมากมาย โดยเฉพาะหากเป็นพวกที่อพยพเข้ามาใหม่ ที่ง่ายต่อการโดนคดโกง การเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมใดสมาคมหนึ่งนั้นถือเป็นทางเลือกที่ดี ในสยามจึงมีสมาคมจีนหลากหลาย ทั้งที่เปิดเผยเช่นสมาคมซิงจิ่งของเขา หรือแบบสมาคมลับอย่างของบิดาเขาในอดีต

ทว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป สมาคมซิงจิ่งภายใต้การนำของฮวงค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบ หัวใจสำคัญของสมาคมคือการดูแลพี่น้องชาวจีนที่อยู่ใต้อาณัติให้ทั่วถึง ดังนั้นนอกจากการจัดการธุรกิจต่างๆ ที่สร้างรายได้ การจัดการคนก็เป็นเรื่องน่าปวดหัว และให้พลังทั้งกายใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

โดยเฉพาะในยามที่เอี่ยกังน้องชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ผู้นำสมาคมใหญ่อีกสมาคมหายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากการตายของซิ่วลั้งผู้เป็นภรรยา ประมาณเดือนก่อนหญิงสาวถูกพบเป็นศพที่บริเวณท่าน้ำใกล้กับย่านสำเพ็ง ที่คอมีร่องรอยการถูกรัด โปลิศที่ชันสูตรคาดว่านั่นน่าจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิต

…ภรรยาของเขาถูกฆาตกรรม

“นายท่านขอรับ” อาตงเอ่ยเรียก ดึงเขาจากภวังค์ความคิดที่มีอยู่นาน เขาเฝ้าสงสัยว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นฆาตกร และมันทำเช่นนั้นกับซิ่วลั้งทำไม

“เป็นอย่างไรบ้าง” เขาสอบถามความคืบหน้า เพราะตัวเขามีกิจธุระรัดตัว เรื่องการสืบหาเบาะแสของเอี่ยกัง จึงตกเป็นของอาตงและตีหุย

“มีศพต้องสงสัยขอรับ” เขาเอ่ยด้วยทีท่าสำรวม

“อยู่ที่ใด” ฮวงสอบถามพิกัดที่อยู่ ก่อนเร่งรุดไปตรวจสอบ

 

หาใช่ไม่ฮวงเอ่ยขึ้นหลังจากพิจารณาศพของชายผู้หนึ่งอย่างละเอียด เขากำลังตามหาเอี่ยกังแทบพลิกแผ่นดิน เพราะเอี่ยกังผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากที่ซิ่วลั้งผู้เป็นเมียตาย โดยมีปากคำของผู้คนหลายคนที่ยืนยันว่าทั้งสองมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงก่อนหน้านั้น

ทว่าผ่านเวลามาแรมเดือน ทั้งคน ทั้งศพ ก็ยังไม่มีเบาะแส และนี่เป็นอีกครั้งที่เขาคว้าน้ำเหลว

“ทำไมนายท่านจึงมั่นใจนัก” อาตงถาม เพราะแม้ว่าศพจะขึ้นอืดเหมือนตายมานาน ทว่าเสื้อผ้า ลักษณะโดยรวมนั้นเขาก็เห็นว่าคล้ายเอี่ยกังอยู่หลายส่วน

“มือของศพนั่นไม่มีรอยแผลเป็น” ฮวงตอบ

เอี่ยกังมีแผลเป็นรอยใหญ่ที่มือซ้าย เขาเล่าว่ายามที่เป็นเด็กนั้นต้องหนีการตามล่าทั้งจากทางการ และศัตรูของผู้เป็นบิดาที่นับเป็นตั้วเหี่ยคนสำคัญที่ก่อเหตุในสยามจนมีการปราบปรามกวาดล้าง ซึ่งส่งผลให้ครอบครัวของพวกเขาต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทาง

มารดาของเขาและมารดาของเอี่ยกังเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่เป็นลูกของผู้นำสมาคมในรุ่นแรก ภายหลังต่างมีคู่ครอง โดยบิดาของฮวงนั้นแต่งเข้าตระกูลของมารดา ทว่าน้าสาวของเขานั้นได้แต่งงานเป็นเมียคนที่สองของบิดาของเอี่ยกัง

ครั้งที่ทางการเข้าปราบปรามทางกงสีของบิดาของฮวงนั้น เป็นไปโดยละม่อม ตัวเขาซึ่งเป็นทายาทจึงถูกแยกออกมาเลี้ยงดูในครอบครัวชาวสยามเพื่อเป็นหลักประกันว่าทางกงสีของบิดาของเขาจะไม่แข็งขืนกับทางการ ดังนั้นฮวงจึงกลายเป็นเจ้าลม เติบโตอย่างดี ได้รับการศึกษา ใช้ชีวิตเรียบง่าย จนได้กลับคืนสู่ครอบครัวชาวแต้จิ๋วอีกครั้งในเวลาที่เหมาะสม

ในทางตรงกันข้ามเอี่ยกังไม่ได้โชคดีเช่นเขา เพราะบิดาของเอี่ยกังนั้นคิดการถึงขั้นก่อกบฏ จึงถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด ครอบครัวก็ถูกตามล่า เอี่ยกังจึงเติบโตขึ้นมาด้วยความลำบาก รวบรวมสมัครพรรคพวก สร้างตัวขึ้นมาด้วยตนเอง ทำให้น้องชายผู้นี้มีความเป็นตัวของตัวเองจนถึงบ้าบิ่นเลยก็ว่าได้

อาตงลุกขึ้น สั่งการคนให้จัดการกับศพนี้ตามสมควร

ภายหลังจากการตายของซิ่วลั้งที่เป็นนายหญิง ก็มีการสืบสวนอย่างหนัก ทางการนั้นเห็นว่าเอี่ยกังเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้เพราะมีประจักษ์พยานที่ยืนยันถึงการมีปากเสียงของคนทั้งคู่ จนตอนนี้มีข่าวลือเซ็งแซ่

…ว่าทั้งสองนั้นอาจจะลักลอบคบชู้

ทว่าเขาดูออกว่าผู้เป็นนายยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างเอี่ยกัง ซึ่งอาตงเองก็ไม่อาจเข้าใจ หลายปีมานี้อาตงสืบทอดตำแหน่งของจุงไช้ผู้เป็นบิดาในการเป็นมือขวาของฮวง เขาพบว่าสมาคมซิงจิ่งของเขานั้นมีแนวทางที่แตกต่างจากสมาคมที่เอี่ยกังเป็นผู้นำ

ภายนอกทั้งสองสมาคมคล้ายจะเป็นพันธมิตร ทว่าก็มีความขัดแย้งกันอย่างมาก ด้วยมีทิศทางการดูแลคนในสมาคม ทั้งยังมีธุรกิจที่แตกต่างกันถึงแม้ฝั่งของเอี่ยกังจะไม่ได้ทำธุรกิจผิดกฎบ้านกฎเมืองอย่างในอดีตแล้ว แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาอยู่ในที่แจ้ง แม้จะมีสายเลือดเดียวกัน แต่ทั้งสองผู้นำของสมาคมนั้นก็ไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน หลายครั้งเอี่ยกังยังเคยปรามาสผู้เป็นนายของเขาด้วยซ้ำ

‘ลื้อมันเป็นทาสสยามเสียแล้วละ พ่อลมเอ๋ย’

ไหนจะเรื่องอิทธิพลในกงสี ด้วยเพราะฮวงยังใช้แซ่ของผู้นำตระกูลรุ่นแรกเพราะบิดาแต่งงานเข้าตระกูล ทำให้เขาเกิดมาพร้อมตำแหน่งผู้นำ การที่เอี่ยกังยอมเกี่ยวข้องด้วยนั้นอาตงก็เห็นว่าเป็นเพราะผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง เพราะชายผู้นั้นเมื่อทำอะไรคำว่าผลประโยชน์ย่อมมาเป็นที่หนึ่ง

เดิมทีเมียของนายท่านที่มีเชื้อสายจากสมาคมใหญ่ในภูเก็ต เดิมทีผู้ใหญ่มองให้ร่วมหอเสียกับเอี่ยกัง ภายหลังมีการสลับตัว การแต่งงานครั้งนี้สร้างความเป็นปึกแผ่นและอิทธิพลให้ฮวงเป็นอันมาก การเป็นแบบนี้เอี่ยกังที่สูญเสียอำนาจไปจะคั่งแค้นจนอยากจะให้พี่สะใภ้ลงโลงไปเสียก็คงไม่แปลก

อาตงยอมรับกับฮวงว่าตนเองมีอคติกับเอี่ยกัง การตั้งตนเป็นสมาคมใหญ่นั้นสุ่มเสี่ยงต่อการที่สยามจะมองว่าจะเป็นภัยคุกคาม ช่วงเปลี่ยนรัชกาลใหม่ๆ ก็เห็นว่าสมาคมจีนที่ก่อเหตุปล้นชิง หรือเป็นอันธพาลก็โดนกวาดล้าง ปราบด้วยอาญาไปเสียมาก สมาคมอื่นๆ แม้จะมิได้เกี่ยวข้องในข้อหากบฏเขาก็เห็นว่าโดนใส่ร้ายอยู่มากมาย การที่สมาคมของพวกเขานั้นข้องเกี่ยวกับสมาคมของเอี่ยกังก็อาจทำให้โดนหางเลขไปด้วย

แต่ฮวงนั้นคิดไปอีกทาง เขารู้ดีว่าวิธีการของเอี่ยกังก็คือการดูแลพี่น้องชาวจีนในแบบของเขา เพราะชาวจีนที่เข้ามาในสยามนั้นถือเป็นคนต่างด้าว หากไม่มีผู้คุ้มครองดูแล ก็อาจโดนเอาเปรียบรังแก

…นี่จึงเป็นเหตุผลที่มีสมาคมจีนเกิดขึ้นมา

ฮวงเชื่อมั่นว่าหากเขาและพี่น้องพิสูจน์ตนเองแก่ทางสยาม สยามก็จะกลายเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกเขา ฮวงไม่เคยเห็นแผ่นดินแต้จิ๋ว เขาเกิดและเติบโตบนผืนดินสยาม แม้จะตระหนักถึงสายเลือดและวัฒนธรรมแต้จิ๋ว แต่ฮวงก็เชื่อว่าเขาเองก็รักสยามไม่ต่างจากคนสยามคนอื่นๆ

หลายปีมานี้เอี่ยกังก็ถือว่าอ่อนลงมาก มิได้กระทำการที่สุ่มเสี่ยงมากมายดังเช่นครั้งก่อน การตัดสินใจนี้ก็ทำให้เกิดความแตกแยกในกงสีของเขาจนทำให้เสียมือซ้ายคนสนิทไป นั่นก็พิสูจน์ความแน่วแน่ในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสมาคมของเขาได้เป็นอย่างดี

และอีกความเชื่อมั่นของเขาก็คือ เอี่ยกังไม่มีทางเป็นคนฆ่าซิ่วลั้งอย่างแน่นอน

“เพิ่มกำลังคนออกตามหา อั๊วคิดว่าอากังต้องยังไม่ตาย” ฮวงสั่งการ

เขาคิดว่าตอนนี้เอี่ยกังย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ยามนี้ทางการก็มีหมายจับออกมาแล้ว เขาต้องการเจอผู้เป็นน้องชายก่อนใคร และต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่

…ซิ่วลั้งจะต้องไม่ตายเปล่า เขาสัญญากับตัวเอง

 

ร่างบางของดรุณีคนหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากมุมกำแพงวัด เธอนุ่งขาวห่มขาวราวกับเป็นนางชีผิดแต่เพียงว่าไม่ได้ปลงผม เกศาของเจ้าหล่อนยังดกดำและถูกปิ่นไม้เรียบง่ายขมวดเป็นมวยที่ท้ายทอย เธอเยื้องย่างผ่านม่านราตรีในยามวิกาล โดยมีเพียงแสงจันทร์คอยนำทางเพียงอย่างเดียว เธอไม่กล้าที่จะจุดไต้นำทางด้วยกลัวจะถูกพบเอาได้ ยามปกติเธอจะสวดมนต์แล้วหลับเสียตั้งแต่หัวค่ำ ทว่า ‘คน’ ที่รออยู่ทำให้เธอต้องเดินทางสู่สถานที่ซึ่งคนทั่วไปนั้นกริ่งเกรง และจะทวีความขยาดยิ่งขึ้นในยามกลางคืน

…ป่าช้า…

แสงจันทร์วันเพ็ญที่สุกสกาวส่องให้เห็นกระท่อมร้างของอดีตสัปเหร่อชราที่เขาเคยใช้เป็นที่พักพิง และประกอบพิธีกรรมให้คนตาย แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตที่แห่งนี้ก็ไร้เจ้าของ ยามนี้ประตูกระท่อมก็ปิดอยู่ ก่อนที่หญิงสาวจะได้เปิดประตู ก็มีมือแข็งแกร่งปิดปากเธอเอาไว้ มืออีกข้างก็โอบรัดเอวบางไว้แน่น ในคราแรกเธอรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อนาสิกได้กลิ่นยาที่เคยคุ้นเธอก็ค่อยๆ คลายใจ

รุ่งใช้มือเล็กค่อยตบไปที่มือใหญ่ที่โอบเอวของเธอเบาๆ

“ขออภัย” เจ้าของมือนั้นรำลึกได้จึงคลายมืออย่างรวดเร็ว แล้วทั้งสองก็หลบหายเข้าไปในกระท่อม

“ดีจริง หลงลุกได้แล้ว” รุ่งค่อยๆ จุดเทียนไขเพื่อให้แสงสว่าง เธอไม่กล้าที่จะเปิดหน้าต่างเพื่อให้แสงจันทร์ลอดเข้ามาเพราะเกรงจะมีคนมาพบเห็นเข้า

“อืม” ‘หลง’ ตอบ

รุ่งไม่ได้แปลกใจกับการสงวนถ้อยคำของชายหนุ่มที่เธอได้ช่วยเหลือเอาไว้นัก ด้วยปักใจว่าอาการบาดเจ็บที่หนักหนาย่อมส่งผลต่อสติและความทรงจำไม่มากก็น้อย ที่ผ่านมาเขาเองก็เพียงนอนพักและขยับตัวได้เล็กน้อย พอเห็นคนที่ช่วยไว้ลุกยืนได้เช่นนี้ก็นับว่าการรักษาของคนที่มีความรูงูๆ ปลาๆ อย่างเธอมีความคืบหน้าอยู่

…หรือว่าออกไปแล้วเราจักเป็นหมอเพื่อหาเลี้ยงชีพดี…

หญิงสาวคิดกับตนโดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกอาชีพหมอนั้นมีเพียงบุรุษที่ทำได้ สำหรับสตรีนั้นหมอเดียวที่จะเป็นได้ก็คือหมอตำแยผู้ทำคลอดเท่านั้น

“เจ้ากระต่าย เจ้านก หิวหรือไม่ ฉันเอาของอร่อยมาให้พวกเจ้าด้วยละ” รุ่งว่าด้วยน้ำเสียงสดใส ในกระท่อมนอกจากชายหนุ่มแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่อีกสองตัว นกหนึ่ง กระต่ายหนึ่ง ทั้งคู่นั้นก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มร่างสูง หนวดเครารุงรังที่นั่งอยู่บนแคร่ ต่างถูกหญิงสาวที่แต่งกายคล้ายนางชีคนนี้ช่วยเหลือ ให้ที่พักพิงและอาหารเหมือนกัน

ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าอย่างปลงๆ

…ก็ยังดีละนะที่อย่างน้อยแม่หญิงผู้นี้ก็ไม่เรียกเขาว่าเจ้าคน ยังเมตตาตั้งชื่อให้ว่าหลง

…แม้ว่าจะฟังดูน่าอนาถใจไม่น้อยก็ตาม

…ไม่สิ จะว่าไปเขาก็เห็นจีนบางพวกออกเสียง เล้ง เป็นหลง ที่แปลว่ามังกรนี่นา คิดเช่นนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย

“เอาละ ทีนี้ก็ของหลง” หญิงสาวเปิดหม้อดินที่มีโจ๊กผสมปลาแห้ง ถึงแม้จะไม่ได้ร้อนกรุ่น แต่ก็ทำเอาคนที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันท้องร้องด้วยความหิวได้ “ที่เดินออกไปด้านนอกคงเพราะหิวสินะ ขอโทษหลงนะที่วันนี้ฉันมาช้า พอดีที่วัดมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย อีกอย่างแม่ชีท่านก็เริ่มสงสัย”

เอี่ยกังรู้สึกอดสู ทว่าเขากลับทำเพียงรับโจ๊กชามนั้นมากินอย่างหิวโหย อย่างไรเสียหญิงสาวตรงหน้าก็เห็นสภาพที่แย่กว่านี้ของเขามาแล้ว นับว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาทางตอบแทนให้จงได้

…คุณธรรมข้อสำคัญของคนจีนอย่างเขา ก็คือเมื่อมีบุญคุณ อย่างไรเสียก็ต้องตอบแทน

และเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ดวงตาของเขาก็วาวโรจน์

…และแน่นอน มันผู้ใดที่ทำเช่นนี้กับเขา เขาย่อมตอบแทนแค้นนี้อย่างสาสมแน่นอน

รุ่งมองชายหนุ่มที่สภาพร่างกายของเขาดูดีขึ้นอย่างพิจารณา นับว่าตัวยาที่เธอลักลอบนำมารักษาเขานั้นได้ผลไม่น้อย ถ้านับจากครั้งแรกที่ได้เจอหลงก็ผ่านเวลามาแรมเดือนแล้ว ยามนั้นเธอกำลังทำความสะอาดลานวัด และไปพบเขาลอยมาติดท่าน้ำ แรกทีเดียวรุ่งคิดว่าเขาคงไม่รอด ทว่าชีพจรที่เต้นอ่อนๆ นั้นบ่งบอกถึงสัญญาณของชีวิตที่ยังดิ้นรนต้องการมีชีวิตรอด

…รุ่งตัดสินใจในคราวนั้นว่าจะต้องช่วยชีวิตชายคนนี้ให้ได้

“เอ้านี่ ดื่มยาเสีย” เธอส่งกระบอกไม้ไผ่ให้เขา กลิ่นยาโชยคลุ้งจนเขาต้องเบ้หน้า เพราะเบื่อหนักหนากับของขมๆ ที่กินมาตลอดตั้งแต่ฟื้น

“หายแล้ว คงไม่ต้องกระมัง” เอี่ยกังชักสีหน้า แต่เพราะเป็นผู้มีบุญคุณ เขาจึงพูดจาสุภาพกับเธอ ใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ชนิดที่หากคนในปกครองมาพบเข้าจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน

เอี่ยกังเกลียดการดื่มยาเป็นที่สุด แต่เพราะเจ็บหนักจึงสุดจะขัดขืน เมื่ออาการทุเลาจึงรู้สึกอยากหยุดยาต้มขมปี๋นี่ให้เร็วที่สุด

แต่ดูเหมือนหญิงสาวตัวเล็กคนนี้ไม่ได้เตรียมยามาเพื่อให้เขาปฏิเสธ เพราะหญิงสาวกรอกยาใส่ปากเขาอย่างรวดเร็ว จนเอี่ยกังรู้สึกประหลาดใจในความสามารถของหญิงสาวยิ่งนัก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพบหน้าเธอหลังจากเดินทางกลับออกจากประตูยมโลก หญิงสาวผู้นี้ก็แต่งกายด้วยชุดขาวราวกับนางชี เพียงแต่ไม่ได้โกนหัวคล้ายกับชาวสยามที่มาปฏิบัติธรรมชั่วคราว แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะอาศัยอยู่ที่วัดแบบถาวร

เอี่ยกังคิดว่าเป็นเรื่องที่ประหลาด ทว่านี่อาจเป็นโชคดีของเขา เพราะถ้ารุ่งไม่อยู่ที่นี่ ผู้ใดกันเล่าจะช่วยฉุดเขาจากความตาย

“อย่าดื้อน่า” มือบางใช้ผ้าขาวซับยาที่ไหลมาเลอะหนวดเครา เพ่งพิศแล้วใบหน้าที่รกเรื้อนั้นแล้วย่นหน้าผาก “ในบรรดาทุกชีวิตที่ฉันเก็บมารักษา หลงนี่น่าชังที่สุด ช่างน่าสงสารจริง” รุ่งเอ่ยอย่างรู้สึกเวทนา

เทียบเจ้ากระต่ายไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป หญิงสาวคิดต่อ ก่อนมองชายหนุ่มที่เดิมนั้นมีผมที่ยาวราวกับหญิงสาวมันถูกถักไว้เป็นเปียในตอนแรก แต่เพราะเขามีบาดแผลที่ใบหน้าและศีรษะเธอจึงต้องจัดการตัดผมเปียนั่นออกจนสั้นกุด จุดไหนมีแผลก็จัดการกล้อนออกให้สะดวกต่อการรักษา และเพราะเขาตัวใหญ่กว่าเธอมาก เธอจึงทำได้เพียงเช็ดตัวให้ลวกๆ แรกเจอใบหน้าและลำตัวของเขาช้ำบวม เต็มไปด้วยบาดแผล พอรักษาหายเวลาก็ล่วงผ่านจนมีหนวดเครายาวรุงรัง เมื่อรวมกับผมเผ้าที่ไม่ได้รับการดูแล และเพราะเขายังไม่ได้อาบน้ำ สภาพของเอี่ยกังยามนี้จึงใกล้เคียงกับ เอ่อ หมาขี้เรื้อน ในสายตาของรุ่งยิ่งนัก

ทางด้านเอี่ยกังเมื่อได้ฟังคำเปรียบเทียบ ถึงกับคิ้วกระตุก

“ฉันรึน่าชัง พูดออกมาได้เช่นไร แม่หญิง” เขาแย้งอย่างไม่เห็นด้วย ก็เขา เอี่ยกังคนนี้ไม่อยากคุยโม้โอ้อวดหรอกนะ แต่เขาเนี่ยเป็นขวัญใจสตรีเชียว ใครๆ ต่างโจษขานถึงรูปงาม ความสง่าของเขา แม้แต่คณิกายังอยากใกล้ชิดเขาโดยไม่เอาเงินค่าตัวเลย

…แล้วแม่หญิงนางนี้กล้าดีเช่นไร

“ยังไม่ได้ไปล้างหน้าที่ท่าน้ำสินะ” รุ่งถาม

“ก็แม่หญิงบอกฉัน ว่าอย่าออกไปเพ่นพ่าน” เขาตอบ

“จริงๆ ฉันอยากช่วยหรอกนะ เรื่องหนวดเคราของหลงน่ะ” หญิงสาวว่า พลางหยิบคันฉ่องอันเล็กส่งให้เขา พร้อมมีดด้ามเล็กเพื่อให้ชายหนุ่มโกนหนวดเคราเสีย “แต่หลงทำเองคงง่ายกว่าคนที่ไม่ชำนาญเช่นฉัน จริงๆ หลงน่าจะอาบน้ำได้แล้ว ตอนนี้ตัวหลงกลิ่นแรงมาก” เธอละคำที่แท้จริงที่คิดเอาไว้เพราะใช้คำว่าเน่าน่าจะอธิบายสภาพการณ์ได้ดี แต่เธอกลัวเขาจะเสียใจ และแน่นอนว่าความเป็นอิสตรีทำให้เธอไม่อาจทำความสะอาดตัวเขาได้ทุกส่วน

“ว้ากกกกกกกกกกก” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไร เอี่ยกังก็ร้องลั่นเพราะตกใจในรูปลักษณ์ของตนเอง

“อย่าเสียงดัง” รุ่งรีบโลดไปปิดปากชายหนุ่มทันควัน เพราะเกรงว่าคนทั้งวัดจะรู้ว่าเธอแอบซ่อนชายหนุ่มเอาไว้ที่นี่

เอี่ยกังหรี่ตาชั้นเดียวของเขา ดวงตาดำขลับมองเธอกลับมาอย่างกล่าวโทษที่ทำให้สภาพของเขานั้นเป็นดังคนผู้เสียจริต ขอทานในสำเพ็งยังมีสภาพดีกว่าเขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ

…นี่นับเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตของเขาทีเดียว

“ก็ผู้ใดใช้ให้ใกล้ตายมาถึงเพียงนั้นเล่า” รุ่งตอบ รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้าตอนที่เขายังนอนเป็นผักแล้วเธอต้องมาพยาบาลดูแลนั้น หญิงสาวคิดแต่เพียงว่าอยากให้เขาหายดี เหมือนที่ช่วยรักษาสัตว์ที่บาดเจ็บอย่างที่เคยทำ ทว่าหลงนั้นเป็นชายจึงค่อนข้างแตกต่าง

รุ่งไม่เคยใกล้ชิดกับชายผู้ใด ตั้งแต่จำความได้เธอก็พำนักอยู่กับแม่ชีแก้วผู้เป็นญาติห่างๆ แม้ไม่ได้ถูกบังคับให้ถือศีลมากเท่า แต่ก็มีชีวิตที่ไม่ต่างจากนางชี ชายที่พบเจอบ่อยที่สุดก็คือหลวงพ่อและหลวงตา แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดนักเพราะทั้งคู่เป็นสมณเพศ

เมื่อเห็นหญิงสาวที่ปฏิบัติกับเขาราวกับไม่ใช่บุรุษตัวเกร็ง ด้วยรู้สึกอายเสียบ้าง เอี่ยกังก็รู้สึกดียิ่ง ด้วยตนยังคงเหลือเชิงชายให้กริ่งเกรงอยู่ เขามองรุ่งที่เด้งตัวถอยห่างอย่างชอบใจ

“ก็โกนหนวดเคราเสียก่อนแล้วกัน” รุ่งกระแอมก่อนจะปรับเสียงของตนให้ปกติ

ถึงแม้จะโดนปลูกฝังว่าห้ามเข้าใกล้ผู้ชายทุกคน แต่หล่อนจะถือว่าหลงไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นเจ้าหลงที่เธอเก็บมาก็แล้วกัน

…ริจะทำการใหญ่ต้องไม่มีความลังเล ไม่เช่นนั้น คงได้ปลงผมและอยู่ที่วัดไปตลอดชีวิต

รุ่งคิดถึงเรื่องราวในชีวิตของตนเองมาได้พักใหญ่ หญิงสาวตัดสินใจเลิกรอความหวังลมๆ แล้งๆ และเฝ้ารอโอกาสเป็นอิสระ เหมือนอย่างสัตว์ต่างๆ ที่เธอช่วยชีวิต และปล่อยทุกตัวให้เป็นอิสระ ด้วยหวังว่าสักวันผลบุญนั้นจะหนุนนำ

เอี่ยกังเริ่มโกนหนวดเครา ตั้งใจว่าหากรุ่งกลับไปเมื่อใด เขาต้องอาบน้ำให้จงได้ ถึงแม้น้ำในยามค่ำคืนนั้นจะเย็นเยือกจนเขาโดนตะพ้านกินก็คงต้องยอม เพราะสกปรกเหลือเกินแล้ว ชายหนุ่มมองคันฉ่อง ค่อยๆ เริ่มโกนเคราก่อนจะถามคำถามที่สงสัย

“วัดนี่ ยังอยู่ในพระนครหรือไม่” เขาถาม

“อยู่” รุ่งตอบ พร้อมบอกชื่อวัดและตำแหน่งให้เขาทราบ

“แม่รุ่งเจอฉันเมื่อใด วันไหน” เขาถาม

รุ่งนึก ก่อนตอบวันและเวลาที่พบตัวเขาบาดเจ็บอยู่ที่ท่าน้ำ

เอี่ยกังครุ่นคิด เห็นทีเขาจะอยู่ที่นี่นานเกินไปเสียแล้ว ยามนี้ร่างกายก็ทุเลา คงต้องถึงเวลากลับเข้าพระนครเพื่อสะสางเรื่องราวเสียที ชายหนุ่มคิดโดยไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังเป็นที่ต้องการตัวด้วยข้อหาใหญ่

“วันพรุ่ง ฉันคงต้องไปแล้ว” เขาบอกความตั้งใจกับหญิงสาวผู้มีบุญคุณ

“วันพรุ่ง เร็วเพียงนั้นเชียวหรือ” รุ่งตกใจ

ความตื่นตระหนกในดวงตาทำให้เอี่ยกังเข้าใจว่าหญิงสาวคงรู้สึกใจหาย เธอเฝ้าดูแลเขามาแรมเดือน เขาเองยังรู้สึกซาบซึ้ง บางทีรุ่งก็คงรู้สึกผูกพันธ์กับเขาอยู่ไม่น้อย

…บางครั้งความยากลำบากก็นำพาคนเราให้เจอกับมิตรแท้

“แม่หญิงช่วยฉันไว้ เป็นบุญคุณใหญ่หลวง แม่หญิงเป็นผู้ให้ชีวิตฉันอีกครา” เขาเอ่ยพลางสบตากับดวงตาคู่สวย หญิงสาวผู้นี้จิตใจดีและใสซื่อยิ่งนัก “หากยังมีชีวิต ฉันจะตอบแทนอย่างแน่นอน เว้นแต่เพียงดาวและเดือน สิ่งใดที่เป็นความประสงค์ของเจ้า ฉันจะหามาให้อย่างแน่นอน”

…พูดแล้วนะ

รุ่งมองเขา ดวงตาเกิดประกายระยับทำเอาเอี่ยกังตาพร่าพรายไปชั่วครู่เลยทีเดียว ก่อนที่เขาจะสานสบตาเธอกลับด้วยความฉงน

“จะเป็นอันใดหรือไม่ หากฉันอยากให้หลงช่วยสักอย่าง ไม่ยากเย็น ไม่ต้องเอาดาวและเดือนมาให้ฉันดอก” รุ่งเอ่ย พลางคิดถึงคำพูด สาส์น ที่ผู้เป็นป้ามักกล่าวให้ฟังทุกครั้งที่มาเยี่ยมหา ซึ่งครั้งสุดท้ายก็เกินสามปีมาแล้ว

…ถึงตาท่านจักไม่ไยดี แต่ป้าก็อยากให้รุ่งตั้งมั่นทำความดีนะ…

…ไม่สิ ชีวิตของเธอนั้นไม่มีผู้ใดเลยต่างหาก

…ความดีย่อมทำได้ด้วยจิตอันเป็นกุศลทุกที่ ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่วัด

“แม่รุ่ง เจ้าต้องการอันใดหรือ” เอี่ยกังถาม เขาย่อมยินดีตอบแทนน้ำใจอันงดงามของหญิงสาว แรมเดือนที่ผ่านมาเขาได้รับการดูแลอย่างดี แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้หัวนอนปลายเท้าของเขาก็ตาม

ทว่าความต้องการของหญิงสาวตรงหน้ากลับทำให้เขาประหลาดใจ…มากโข

“พาฉันไปด้วย”

“หา” เอี่ยกังร้อง

“พาออกไปจากที่นี่ พาออกไปจากวัด”

“ไปไหน” เขาถาม

“ไปกับหลงไง” เธอว่า ก่อนจะรีบเอ่ยเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ไม่ได้จะอยู่เฉยๆ นะ จะช่วยทำมาหากินด้วย เพราะเป็นคนธรรมดาคงมิมีใครเอาข้าวปลามาทำบุญให้นี่นะ”

“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก” ทรัพย์สินที่เขามีเลี้ยงแม่หญิงผู้นี้ได้ตลอดชีวิตด้วยซ้ำ

…แต่ทำไมเล่า

“เช่นนั้น ฉันจะรีบไปเก็บข้าวของ ย่ำรุ่งพวกเราจะพายเรือออกไป”

“เรือ” ถึงกับเตรียมเรือเอาไว้แล้วหรือนี่ ตกลงผู้ใดวางแผนที่จะไปกันแน่

“ใช่ ฉันแอบเก็บอัฐเอาไว้อยู่บ้าง เราคงไปตั้งตัวกัน ให้หลงสอนฉัน ว่าข้างนอกนั่นต้องอยู่อย่างไร”

“หา”

“เอ๊ะ ฉันก็ไม่ได้ถาม หรือหลงมีเมีย มีลูกแล้ว จริงสิ ผิดศีล ถ้ามีเมียแล้วฉันก็ตามไปไม่ได้ ทำอย่างไรดี บอกเขาว่าฉันเป็นน้องสาวได้หรือไม่” รุ่งเริ่มวุ่นวายใจ เธอลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย ชายหนุ่มผู้นี้ก็อยู่ในวัยที่สมควรจะออกเรือนแล้ว ถึงแม้จะอยู่แต่ในวัดเธอก็ใช่จะไม่รู้อะไรเลย เพราะแม่ชีแก้วก็สอนให้พออ่านเขียนออก ยามที่หลวงพ่อออกไปสอนหนังสือพวกเด็กชายเธอก็แอบฟัง ก็พอจะรู้แหละว่าคนข้างนอกเขาอยู่กันเป็นครอบครัว มีพ่อ แม่ ลูก

…ถึงแม้เธอจะไม่มีอย่างผู้อื่นก็ตามทีเถอะ

“อุ๊บ” เอี่ยกังหลุดขำออกมาอย่างสุดกลั้น

…น้องสาวเช่นนั้นหรือ ชายหนุ่มคิด

เจ้าของดวงตาภายใต้แพขนตาหนา มองตอบมาราวกับจะถามเขาว่าขำอะไร

ก็จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาและสีผิวของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันมากอย่างไรเล่า บอกว่าเป็นพี่น้องใครเขาจะเชื่อ

…เอ เขาก็ไม่เคยเห็นชายหญิงสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานเสียด้วยสิ

“เอาเถิด แม่ไม่ต้องร้อนใจ ฉันยังไม่มีเมียดอก” เอี่ยกังตัดสินใจ เขาจะทำตามที่รุ่งประสงค์ “ย่ำรุ่งเราไปกัน แต่ก่อนอื่นฉันอยากให้เจ้ารู้เอาไว้”

“ว่า” รุ่งถาม

“ฉันชื่อเอี่ยกัง เจ้าจะเรียกอากังก็ได้”

“อากัง” รุ่งเอ่ยชื่อเขาแผ่วเบา ก่อนจะประสานตาของเขาอย่างตั้งมั่น

…ไม่ว่าเรื่องราวภายหน้าจะเป็นเช่นไร หล่อนจะไม่เสียใจ

“ฮื่อ ฉันจะรอ เราไปด้วยกันนะ”

 



Don`t copy text!