บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี ตอนที่ 4 : ไพร่กระฎุมพี

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี ตอนที่ 4 : ไพร่กระฎุมพี

โดย : ตฤณภัทร

Loading

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี นวนิยายออนไลน์สนุกๆ โดย ตฤณภัทร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องราวของฮวง ลูกหลานชาวจีนที่กลายมาเป็นปลัดจีนผู้สร้างความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องชาวจีนในสยาม แต่แล้วเขาก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่มาพร้อมเรื่องรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์สำคัญของสยาม

ว่าอย่างไรเล่าท่านปลัดจีน ชายหนุ่มวัยราวสามสิบปลาย ใบหน้าคมสันย้ำคำถามอีกครั้ง

ฮวงถอนหายใจพลางคิด เหตุใดดูเหมือนชะตาของเขานั้นดูจะไม่กินเส้นกับคุณโปลิศเอาเสียเลย เมื่อแปดปีก่อนพระฤทธิรงค์รณยุทธ์ก็ตามสืบเพื่อกวาดล้างสมาคมพวกเขาด้วยคิดว่าตั้วเหี่ยเป็นสาเหตุการตายของบิดามารดา สุดท้ายสืบจนพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตั้วเหี่ยหรือพวกจีน เรื่องก็กระจ่าง แต่คุณพระผู้นั้นก็มาฉกพวงมะม่วงที่เขาแฝงตัวเป็นมดแดงเป็นสิบๆ ปีไป และตอนนี้ ก็เหมือนมีอีกท่านที่อยากเห็นความฉิบหายของเขา

อันที่จริงต้องบอกว่า อยากเห็นเอี่ยกังฉิบหายจึงจะถูก

“เหตุใดปลัดจีนที่ควรยุ่งอยู่กับคดีความของพวกจีน จึงไปพบปะกับกงสุลอังกฤษแลฝรั่งเศสด้วย”

“คุณพระขอรับ” ฮวงชี้แจง “กระผมยังคงยืนยันคำเดิม ว่าเหตุทะเลาะวิวาทนั้นเกี่ยวข้องกับพวก ‘สับเย็ก’ ที่ไม่ลงรอย กระทำการในนามธงของพวกเขาคืออังกฤษแลฝรั่งเศส เกินอำนาจของกระผมที่จะจัดการ เกรงว่าต้องอาศัยอำนาจกงสุลช่วยจัดการด้วย”

ตั้งแต่ช่วงปลายแผ่นดินที่สี่ ชาวจีนในสยามนั้นมีรูปแบบหลากหลาย นอกจากอยู่กันเป็นสมาคม กงสีอย่างของฮวงหรือเอี่ยกังแล้ว ยังมีชาวจีนในรูปแบบพิเศษคือพวก สับเย็ก (Subject) อันเป็นชาวจีนที่ถือว่าอยู่ภายใต้ร่มธงของพวกฝรั่ง ไม่ได้อยู่ใต้ข้อบังคับบ้านเมืองของสยามแต่อยู่ในความป้องกันของกงสุลชาตินั้นๆ

“ก็เพราะเหตุนั้นจึงมีตำแหน่งของท่านมิใช่รึ” พระอินทรารัตน์เลิกคิ้ว รองผู้บังคับกองตระเวนโปลิศคนปัจจุบันมองเขาราวกับจะตำหนิที่เขานั้นปัดความรับผิดชอบ “ปลัดจีนมีเพื่อมิให้พวกจีนหนีไปใต้ร่มธงชาติอื่น แต่ดูเหมือนท่านจะชอบคบคิดกับพวกฝาหรั่งเสียเอง…”

…นั่น คุณพระโปลิศจะพาเขาไปหาตะแลงแกงนั่นแล้วไหม

“ท่านใช้คำว่าคบคิดนั้น เกรงว่าจักมิใช่” ฮวงปฏิเสธ

พระอินทรารัตน์หรี่ตามอง

ประวัติของฮวงนั้นซับซ้อน เขาเป็นเด็กตัวประกันของสมาคมจีนที่ถูกเลี้ยงดูโดยชาวสยาม ทั้งยังเคยทำงานให้กับหมอปลัดเลย์ รู้จักกับชาวตะวันตกแนวหน้าหลายคน สำหรับพระอินทรารัตน์แล้วชายหนุ่มคนนี้ดูจะเข้าได้กับทุกกลุ่มมากเกินไป เขาไม่เห็นด้วยที่ตำแหน่งปลัดจีนนั้นต้องตกเป็นของฮวง ทว่าก็ไม่อาจขัดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ลงความเห็นคัดเลือกเขามาแทนท่านเดิมที่พ้นตำแหน่งไปเพราะถึงวัยชรา

ฮวงที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งรู้สึกอยากตะโกนใส่หน้าคุณพระท่านนี้เสียเหลือเกิน ปัญหามากมายที่เขาต้องเผชิญตอนนี้ราวกับน้ำที่คะคั่งเต็มทำนบ หากไม่ระบายออกเสียเห็นที คงจะแตกในเร็ววัน ทว่าฮวงก็เก็บกลืนทุกอย่างลงไป ก่อนจะหารือแนวทางจัดการปัญหาเรื่องความความไม่ลงรอยของกลุ่มจีนใหญ่สองกลุ่มนี้กับคุณพระอินทรารัตน์ ซึ่งเมื่อเป็นเรื่องงานที่จริงจัง เขาก็ตั้งใจจัดการอย่างขุนนางที่ดี

หากไม่ใช่ความแค้นในหนเก่า คุณพระคนนี้คงไม่จับผิดเขาเช่นนี้

เมื่อครั้งที่พ่อของเอี่ยกังตั้งซ่องขายฝิ่นที่ตำบลปลัดกรุด แขวงเมืองสมุทรสาคร พระยามหาเทพซึ่งเป็นบิดาของพระอินทรารัตน์ได้รับคำสั่งให้เป็นหัวหน้าพนักงานจับฝิ่นไปกวาดล้าง แต่ก็พลาดท่าถูกหัวหน้าของพวกตั้วเหี่ยสังหาร

และใช่ หัวหน้าตั้วเหี่ยนั้น คือบิดาของเอี่ยกังนั่นเอง

อันที่จริงก่อนหน้าที่เอี่ยกังจะหายตัวไปนั้น คุณพระผู้นี้มุ่งเป้าไปที่เอี่ยกังโดยตรง แต่เมื่อเอี่ยกังหายตัวไปเป้าหมายจึงเบนมาที่เขาที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องไปเสียฉิบ และถ้าเขาคิดไม่ผิด บริวารที่พระอินทรารัตน์ยกโขยงมามากมายเพื่อมายินดีกับตำแหน่งปลัดจีนคนใหม่ตามคำบอกกล่าวของคุณพระ ก็คงกำลังพลิกเคหาสน์ของเขาเพื่อตามหาเอี่ยกังเป็นแน่

…เอาเถิด อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทั้งสองคนคิดตรงกัน

…เรื่องที่เอี่ยกังน่าจะมีชีวิตอยู่

คนตายย่อมต้องพบศพ หากยังไม่เจอย่อมแปลว่ายังไม่ตาย แต่เหตุผลที่หนีหายไปนั้นก็เป็นไปได้หลายประการ

 

อ้ายคนนี้มันปิดบังอันใดอยู่

คุณพระหนุ่มคิดพลางมองการทำงานอย่างขันแข็งของปลัดจีนคนใหม่ หนึ่งในทายาทสายตรงของหัวหน้าตั้วเหี่ยที่คิดก่อการกบฏเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันใครๆ ต่างเรียกชายผู้นี้ว่าเจ้าสัว ดำรงตนอย่างขาวสะอาด เป็นเจ้าของกิจการมากมาย รวมทั้งสมัครพรรคพวกทั้งจีนเก่าและจีนใหม่ ต่างกับกิจการของเอี่ยกังญาติผู้น้องที่ดูแล้วไม่สู้จะโปร่งใสนัก ญาติผู้น้องดูจะซ่องสุมกำลังไว้มาก เจตนาดูอาจจะเป็นภัย แต่ก็มีขุนนางที่คนของเขาเป็นแขนขาให้สนับสนุนอยู่ เขาจึงมิอาจลากเอี่ยกังเข้าไปนอนในตรุได้สักที

…จริงหรือที่ลูกไม้จะหล่นไกลต้น

เจ้าสัวผู้นี้ดูภายนอกทรงผมและการแต่งกายไม่ผิดกับชายผู้ดีชาวสยาม ถูกครอบครัวชาวสยามเลี้ยงดูและทางการจับตามองมาตั้งแต่แบเบาะได้รับการศึกษาใช้ชีวิตเรียบง่าย หลายปีก่อนเขาก็กลับคืนสู่ตระกูล ก้าวขึ้นเป็นนายใหญ่ของสมาคม แม้จะพิสูจน์ตนเองให้พ้นมลทินจากการรวบรวมกำลังพลก่อกบฏ อีกทั้งก็จ่ายส่วยภาษีต่างๆ อย่างดี และไม่ทำอันใดให้เป็นที่กังขาเมื่อสยามก้าวสู่แผ่นดินที่ห้า แตกต่างจากทางสมาคมของเอี่ยกังที่แม้จะดูไม่ได้ทำการใดที่เป็นปฏิปักษ์กับสยาม แต่อิทธิพลของเขาก็ครอบคลุมชาวจีนมากมาย เรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มชาวจีนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มธง

โดยเฉพาะกลุ่มจีนใหม่ซึ่งเป็นชาวจีนที่อพยพเข้าสู่สยามในช่วงปลายรัชกาลก่อน หนีความยากจนทิ้งแผ่นดินเกิดล่องสำเภามาเพื่อหวังประกอบสัมมาอาชีพ พวกจีนในกรุงเทพฯ ที่อยู่มาก่อนก็รับพวกจีนใหม่นี้เข้ามาในอาณัติตน โดยทำสัญญากันว่าเถ้าแก่จะรับเลี้ยงให้กินอยู่ ข้างฝ่ายจีนใหม่จะทำงานให้เปล่าไม่เอาค่าจ้างเป็นเวลาหนึ่งปี งานนั้นมีทั้งทำงานให้เถ้าแก่ที่รับเลี้ยง หรือเถ้าแก่นั้นจะส่งไปทำงานให้ผู้อื่นก็สุดแล้วแต่ เมื่อครบขวบปีจะถือว่าจีนใหม่นั้นพ้นหนี้สิน จะรับจ้างเถ้าแก่หาอัฐต่อไป หรือจะไปประกอบอาชีพอื่นก็ได้

เหตุที่ได้ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยาม หรือ หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริง (1) ทำให้กิจการโรงจักรสีข้าวเลื่อยไม้ และการขนลำเลียงสินค้าต้องการใช้แรงงานคน มีการคมนาคมที่สะดวก มีเรือกำปั่นจากจีนเข้ามาบ่อยครั้ง พวกจีนใหม่จึงเป็นที่ต้องการ ด้วยเป็นแรงงานราคาถูก

และเอี่ยกังนับว่าเป็นผู้ที่มีจีนใหม่อยู่ใต้อาณัติมากมาย เขาให้จีนใหม่ของตนเกลี้ยกล่อมจีนใหม่เข้ามาเพิ่มทำให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เรียกได้ว่าเป็นนายหน้าค้าคนอันดับต้นๆ ของพระนครในตอนนี้ คนของเขาอาจจะมากกว่าขุนนางบรรดาศักดิ์บางคนเสียด้วยซ้ำ

…แต่ที่น่าสงสัยคือ ขาดหัวเรือใหญ่เช่นนี้ แต่กิจการต่างๆ ของเอี่ยกังยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง

…จะเป็นเพราะมือขวาของมันเก่งกาจ

…เป็นเพราะผู้เป็นพี่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

…หรือว่าเอี่ยกังยังไม่ได้ไปไหนไกล คอยชักใยอยู่หลังม่าน

“น้ำชาเจ้าค่ะ” แชซิ่วเอ่ยพลางค้อมหัวให้บุรุษทั้งสอง

“ฉันก็ลืมแสดงความเสียใจ” คุณพระหนุ่มเอ่ยราวกับเพิ่งนึกออก เขาคล้ายจะสังเกตเห็นอาการชะงักไปชั่วครู่ของ ‘อนุภรรยา’ คนสวยของปลัดจีนคนใหม่

…ช่างน่าสนุก บางครั้งเอี่ยกังเองอาจจะไม่ได้ฆ่าพี่สะใภ้ก็เป็นได้

ซิ่วลั้งผู้เป็นภรรยาของฮวงนั้นเป็นลูกสาวคนเดียวของชาวจีนผู้มีอิทธิพลของภูเก็ต ดูก็รู้ว่าการแต่งงานนี้ย่อมเกิดขึ้นเพื่อขยายอิทธิพลให้ขจรกระจายไปไกล เป็นการสร้างเครือข่ายอิทธิพลแบบพื้นฐาน

ทั้งสองแต่งงานกันหลายปี ยังมิมีทายาทเกิดมาเป็นเจ้าของช้อนเงินช้อนทองต่อจากพ่อแม่ ทว่าผัวเมียคู่นี้ก็ยังนับว่าโชคดีในด้านอื่นๆ กิจการต่างๆ ของผัวนั้นประสบความเจริญรุ่งเรือง จนผู้คนต่างเรียกขานเขาว่าเจ้าสัว

…ชนชั้นกระฎุมพี พวกพ่อค้าวาณิชชาวจีน ที่นับวันอำนาจและเงินตราของพวกเขาจะมีอิทธิพลขึ้นทุกวัน

ซิ่วลั้งเองก็ถือเป็นเจ้าของกิจการที่ชาวสำเพ็งต่างรู้จักดี เพราะเธอเปลี่ยนกิจการโรงโสเภณีให้เป็นรูปแบบที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่แบบโรงชำเราบุรุษทั่วไป ที่นี่รับแขกระดับสูง นางคณิกาที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงที่งดงาม และบุรุษใดที่ต้องการร่วมอภิรมย์กับดอกไม้งามของที่นี่ นอกจากจะต้องจ่ายค่าตัวที่สูงลิบลิ่วแล้ว ยังต้องให้หญิงสาวผู้นั้นตอบรับด้วย ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะได้ดอมดม

ฟังดูแล้วเป็นสถานโคมเขียวที่ใช้บริการลำบาก แต่มิคาด กิจการกลับรุ่งเรืองยิ่ง นอกจากเม็ดเงินมากมายที่ไหลเวียนแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยข่าวสารมากมาย ว่ากันว่าเอกภรรยาของฮวงกุมความลับสำคัญของขุนนางใหญ่มากมาย

เมื่อเธอตายลง แซซิ่วก็ได้รับช่วงดูแลต่อ นับว่าหญิงงามผู้นี้ก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับการตายของซิ่วลั้งมากทีเดียว

เรื่องของเมียน้อยฆ่าเมียหลวงเพื่อขึ้นมาแทนนั้นก็มีให้เห็นถมเถไป

…นี่อาจเป็นสาเหตุที่ฮวงไม่ได้ส่งกำลังไล่ล่าเอี่ยกังอย่างที่หลายคนคาดกัน เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่พี่สะใภ้เป็นชู้กับน้องเขยอย่างที่ใครโจษจันกันไปทั่วเมืองก็เป็นได้

…เอาเป็นว่าเขาจะจับตาดูปลัดจีนคนใหม่ผู้นี้ก็แล้วกัน

คุณพระหนุ่มใหญ่รับรายงานไปถือ ก่อนจะเดินด้วยกิริยาองอาจกลับไปพร้อมบริวารซึ่งเป็นชายฉกรรจ์หลายคน เป็นโปลิศที่มีทั้งคนสยามและพวกแขก อำนาจของพวกเขาครอบคลุมไม่มาก เน้นไปที่การดูแลความสงบเรียบร้อยของชาวต่างชาติ และหนึ่งในพื้นที่ที่เหล่าโปลิศต้องดูแลก็คือสำเพ็ง แหล่งทำมาค้าขายและย่านที่อยู่อาศัยหลักในพระนครของพี่น้องชาวจีนของเขา

เขากับกองโปลิศคอนสเตเบิลจึงหนีกันไม่อาจพ้น โดยเฉพาะเมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดจีน

ตั้งแต่แผ่นดินที่สี่ล่วงมาจนถึงแผ่นดินที่ห้าแห่งสยามประเทศ ชนชาวจีนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างมิอาจเลี่ยง ขุนนางเชื้อสายจีนหลายท่านก็มีหน้ามีตาทำราชการอยู่หลายตำแหน่ง ดังนั้นสยามจึงใช้นโยบายเลี้ยงตั้วเหี่ยแทนการกวาดล้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงแผ่นดินที่สี่ทรงแก้ไขเรื่องปัญหาการจัดการพวกจีนนี้ด้วยให้เลือกหาคนจีนที่ตั้งตัวได้เป็นหลักแหล่ง เป็นคนซื่อตรงขึ้นตรงต่อสยาม มีคนนับถือมาก ตั้งเป็นเป็นตำแหน่งปลัดจีนขึ้นในกรมการตามหัวเมืองที่มีจีนมาก สำหรับช่วยอุปการะและรับทุกข์ร้อนของพวกจีนขึ้นเสนอต่อทางการ

ทั้งยังมีการตั้งศาลคดีจีนขึ้นในกรมท่าซ้าย ให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี หลวงพิพิธภัณฑวิจารณ์ และ หลวงพิชัยวารี ซึ่งล้วนเป็นลูกจีนมีเชื้อสายจีนเป็นผู้พิพากษา ชำระตัดสินคดีที่คู่ความเป็นจีนทั้งสองฝ่าย ใช้ภาษาจีนและประเพณีจีนในการพิจารณา

ดังนั้นนอกจากจะประกอบกิจการส่วนตัว ธุระของพี่น้องชาวจีนส่วนรวมจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจปัดมันออกไปพ้นตัว สมาคมซิงจิ่งของเขาพยายามพิสูจน์ตนเองต่อสยามมาอย่างยาวนาน ว่ามิได้คิดคดทุรยศต่อสยาม ฮวงคิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ชาวสยามยอมรับพวกเขาให้ร่วมแผ่นดินกันอย่างสันติ และเมื่อนั้นชีวิตของชาวจีนระดับล่างย่อมดีขึ้น ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างที่เคยเป็นมา

เป็นเหตุให้เขายอมรับตำแหน่งปลัดจีนต่อ ชายหนุ่มไม่เคยต้องการลาภยศชื่อเสียง เดิมทีเขาเข้าใจว่าตนจะมีชีวิตที่สงบสุข ทว่าคนบางคนก็เกิดมาพร้อมภาระหน้าที่ที่ไม่อาจเลี่ยง มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าไม่อาจหวนคืนไปยังจุดเดิม

…แม้จะเป็นจุดที่เขานั้นรู้สึกสบายใจที่จะอยู่มากก็ตาม

“นายท่านเจ้าคะ” แชซิ่วเอ่ยเบาๆ เมื่อเห็นว่าฮวงยังคงยืนส่งแม้อาคันตุกะจะเดินลับไปจากสายตาเนิ่นนานแล้ว

“อ้อ” ฮวงรับคำ “แชซิ่ว” เขาเอ่ยนามหญิงงาม

“อย่าตรากตรำให้มากนัก” เธอถอนหายใจ ไม่มีวี่แววยั่วยวน อ่อนหวาน ทว่าเอ่ยด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ

ชายผู้นี้เดือดร้อนด้วยเรื่องของผู้อื่นแต่กลับละเลยเรื่องของตน ช่างเป็นชีวิตที่น่าเห็นใจ ทั้งที่เขาเลือกจะเสวยสุขไปตลอดชีวิตด้วยสิ่งที่มี แต่กลับทำสิ่งที่คล้ายการบำเพ็ญเพียรจนเหมือนชีวิตนี้คือการผ่านด่านเคราะห์

“ว่าแต่คนอื่นเขา ลื้อเล่าได้นอนบ้างหรือไม่” เขาตอบแชซิ่วด้วยการถามกลับ อีกฝ่ายชะงักไปครู่ใหญ่ ดวงตามีน้ำรื้นขึ้น

ฮวงมองหน้าอดีตหญิงคณิกาคนงามที่ผู้เป็นภรรยาไถ่ตัวออกมาจากโรงรับชำเราบุรุษเมื่อหลายปีก่อน แชซิ่วเป็นคนใกล้ชิดของซิ่วลั้ง นอกจากจะช่วยงานเธอก็ยังอาศัยอยู่ที่เรือนแห่งนี้ จนมีข่าวลือว่าเธอเป็นอนุภรรยาอีกคนของฮวง

“อั๊วอยากขอนายท่าน ขอย้ายออกจากเรือนหลังนี้ได้หรือไม่” เธอสอบถาม เมื่อไม่มีซิ่วลั้ง เธอก็เห็นว่าการอยู่ที่นี่ต่อไปอาจจะไม่เป็นการสมควร

ประการแรกเป็นเพราะมารดาของฮวงที่หมายมั่นปั้นมือกับสะใภ้คนใหม่ มีทีท่าชัดเจนว่าอยากให้หญิงสาวเปิดทางให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน ส่วนอีกประการหนึ่งนั้นเรือนแห่งนี้ทำให้เธอคิดถึงใครบางคนเหลือเกิน

ฮวงถอนใจ เขาคิดว่าเขาเข้าใจหญิงสาวตรงหน้า แม้จะอยากใช้ซิ่วลั้งเป็นไม้กันหมา แต่เขาก็ไม่โหดร้ายพอที่จะให้หล่อนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เสียใจได้

“ได้สิ งั้นไปอยู่ที่เรือนตรงตลาดน้อยดีหรือไม่” ยามมีชีวิตซิ่วลั้งเคยขอเรือนหลังนั้นไว้ให้แก่คนตรงหน้า ฮวงคิดว่านี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะยกมันให้หล่อน

“ขอบน้ำใจเจ้าค่ะ นายท่าน”

ฮวงยิ้มรับ ก่อนจะสั่งความบ่าวไพร่เรื่องการขนข้าวของของแชซิ่วไปเรือนใหม่ จากนั้นเขาก็นึกได้ว่าเวลานี้ก็ล่วงเลยเวลาปกติที่แชซิ่วต้องไปที่โรงสำราญแล้ว

“ลื้อยังไม่ไปทำงาน มีเรื่องอันใดหรือไม่”

“มีรถม้ามารอน่ะ”

ฮวงถอนหายใจยาว แสดงทีท่าออนแรง

“นึกว่าจะพ้นกรรมจากคุณพระโปลิศคนโน้น…มิแคล้ว ต้องไปปะกับคุณพระโปลิศอีกคนไปได้” คนหลังแม้จะอยู่นอกราชการแล้วแต่เขี้ยวเล็บนั้นมิได้ถูกลดทอนลงไปเลย

“คงทำบุญร่วมกันไว้มากกระมัง” สาวงามผายมือเชิญเขาไปขึ้นรถ

“นั่นสิ ส่วนกับคนอื่น เห็นทีจะไม่เคยทำบุญร่วมกันเลย” เขาว่า จู่ๆ ใบหน้างามแฉล้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของวาดก็ปรากฏในสำนึก ชายหนุ่มยิ้มขมก่อนจะเดินอย่างโดดเดี่ยวไปสู่หน้าคฤหาสน์กว้างใหญ่

“ตายละ” แชซิ่วเพิ่งนึกได้ “ลืมบอกเรื่องสำคัญไปได้”

เธอคิดว่าจะรายงานเรื่องนี้เมื่อผู้เป็นนายกลับมา แต่ไม่คาดฝันว่าเรื่องเดียวกันนี้รอฮวงอยู่แล้วที่เรือนคุณพระฤทธิรงค์รณยุทธ์

 

ไม่เจอกันนานนักนะท่านปลัดจีน ฤทธิ์กล่าวทักทาย เขาคือเจ้าของรถม้าที่ส่งไปรับฮวงนั่นเอง

“ไหว้ขอรับ” ฮวงเอ่ย พร้อมเปิดยิ้ม “นั่นผมขาวเพิ่มอีกหรือไม่ มีคนทักบ้างไหมว่าเป็นพ่อของโนรี”

“นี่ ขอร้องเถิดลม เลิกแกล้งคุณพี่ของฉันเสียที” เสียงใสบอกถึงอุปนิสัยร่าเริงของเจ้าตัวดังขึ้น โนรีเดินมาพร้อมสำรับเครื่องว่าง “สวยไหม นี่ทำเองนะ แกะจนมือแทบหงิก”

เธอผายมือไปที่บรรดาผลไม้แกะสลัก สหายหน้าฝาหรั่งของเขายักคิ้วเป็นเชิงอวด

“โนรี พี่เสียใจจริง สหายของเจ้าพูดก็ถูก พี่แก่เสียเช่นนี้กลัวแต่เจ้าจะหมดรัก” ฮวงคิ้วกระตุก เหตุใดเขากลับกลายเป็นคนหยาบทรามที่รังแกได้แม้กระทั่งคนแก่ไปได้ละนี่

‘คนแก่’ วัยเกือบห้าสิบปี ที่แม้จะมีผมขาวแซมบ้าง แต่รูปงามและร่างกายที่บึกบึนอย่างคนที่ฝึกฝนร่างกายตนเองอยู่เสมอนั้นทำให้คุณพระนอกราชการยังคงน่าเกรงขามดังเดิมมิเปลี่ยนแปลง มีเพียงดวงตาระยิบระยับยามมองและออดอ้อนภรรยาลูกครึ่งสาวสวยของตนที่บอกถึงความสุขที่เติมเต็มชีวิตของเขา

น่าหมั่นไส้…แต่ก็น่าอิจฉาในความโชคดีของพวกเขา คนที่ได้ลงเอยกับคนที่รัก

“โถ คุณพี่ ไม่แก่เลย น้องยังมองว่าคุณพี่หล่อเหลาเช่นครั้งแรกที่เราพบกันนะเจ้าคะ” โนรีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“โนรี” ฤทธิ์ทอดเสียงหวาน พลางหันมายักคิ้วใส่ฮวงอย่างเป็นต่อ

…ไอ้โคแก่นี่นะ

“ไม่กวนแล้ว ฉันไปก่อนละ อ้อ ฮวง คุยธุระเสร็จแล้วอย่าเพิ่งกลับเรือน รั้งอยู่ก่อนหนา ฉันมีอีกเรื่องสำคัญจะบอก” โนรีว่า

“เอาละคุณพระ” ฮวงเอ่ย “คงมิใช่เรียกกันมาเพราะคิดถึงดอกหนา”

“ถูกต้อง เห็นหน้าเอ็งแล้วมันมีแต่เรื่องนี่นะ” ความอ่อนหวานของชายผู้นี้ดูเหมือนจะมีให้เพียงภรรยาและลูกเท่านั้น น้ำเสียงยามพูดจากับเขานั้นเป็นคนละเรื่อง

“คงไม่ได้จะถามเรื่องอากังดอกนะ สาบานได้ว่ากระผมเองก็ยังไม่ทราบข่าว”

“หึๆๆ ถ้าเรื่องนั้นข้าว่าข้าคงบอกเอ็งได้”

“ท่านได้เบาะแสรึคุณพระ”

“รอหลังเรื่องนี้เถิด”

“เรื่องกระไรขอรับ”

“ข้าอยากให้เจ้าจับตาพวกร่มธง” ฤทธิ์เอ่ย

“คงมิใช่…ท่านสงสัยกระไรอยู่ขอรับ”

“เอ็งก็รู้ดี เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทำให้พวกจีนแห่ไปเข้าร่มธงเพราะอยากได้สิทธิพิเศษทางการค้า” เพราะระบบผูกขาดทางการค้าซึ่งเอื้อผลประโยชน์ให้พ่อค้าชาวจีนถูกยกเลิก ภายหลังชาติตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศสที่ได้สิทธิ์ทางการค้าก็ใช้ข้อนี้มาดึงชาวจีนเข้าเป็นคนในปกครอง”

ความเป็นจีนร่มธงนั้นทำให้คล้ายมีสัญชาติใหม่ ไม่ต้องเสียภาษีให้สยาม ซึ่งนั่นทำให้สยามสูญเสียผลประโยชน์เป็นอันมาก

“ขอรับ แต่กระผมก็พยายามที่จะลดการเข้าร่วม” ความเป็นปึกแผ่นของแต่ละสมาคมและความยุติธรรมในด้านต่างๆ เป็นตัวช่วยที่จะทำให้ชาวจีนไม่คิดเข้าเป็นคนในปกครองชาติอื่น

“เกรงว่าการรวบรวมคนไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้น่ะสิ” ฤทธิ์เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หากข่าวของข้าไม่ผิด เร็วๆ นี้อาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คงต้องรบกวนท่านปลัดจีนช่วยสืบแล้ว”

ฮวงฟังรายละเอียดของเรื่องราวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หลังการหารือฤทธิ์ก็ตบบ่าเขาเบาๆ “จบเรื่องแรก คราวนี้ก็เรื่องเอี่ยกัง”

“ยังไงนะขอรับ”

“โนรี พาน้องวาดเข้ามาเสียด้วยกันเถิด”

ฮวงไม่ได้คิดถึงขั้นว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอกับวาดอีก แต่นาทีที่หญิงสาวที่คลุมผ้ามิดชิดเผยโฉม ทำเอาฮวงถึงกับนิ่งอึ้งไป และรู้สึกละอายในนาทีต่อมาที่จะยอมรับกับตนเอง ว่าวาดนั้นช่างงดงามแม้นว่าในวันนี้หญิงสาวจะแต่งกายอย่างเรียบง่ายสามัญ แต่ดวงตาดำขลับของหล่อนก็สะกดสายตาของเอาเอาไว้อย่างอยู่หมัด

โนรีมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองที่ตกพุ่มม่ายในปัจจุบันอย่างเสียดาย ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดจะเป็นแม่สื่อให้ทั้งคู่ด้วยซ้ำ หากแต่โชคชะตาของทั้งสองกลับซับซ้อนเกินที่คนธรรมดาอย่างเธอจะกะเกณฑ์อย่างที่เคยจับคู่คนอื่นให้สำเร็จเรื่อยมา

“อะแฮ่ม” โนรีกระแอมไอก่อนบอก “เรื่องนี้เป็นเรื่องลับ ผู้อื่นจึงไม่ควรทราบ”

“เข้าใจแล้ว” ฮวงตอบเพื่อนอย่างเข้าใจความนัยที่สื่อ สถานะปัจจุบันของวาดนั้นไม่ใช่สถานะที่ควรจะมาพบกับเขาได้หากไม่มีธุระจำเป็น

…แต่ธุระอันใดที่ีทำให้วาดเดินทางมาพบเขาในเวลาค่ำเช่นนี้

…เธอเป็นอันใด เดือดร้อนเรื่องใดหรือ

แววตาที่ฉายความเป็นห่วงชัด ทำให้วาดไม่รู้สึกอึดอัดอย่างคราวแรก แม้ว่าอาสาจะจัดการธุระให้เปี่ยม แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนักหนานักหากจะต้องรบกวนฮวง แต่เมื่อเห็นไมตรีของเขาวาดก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น

…ขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด

“เร่งบอกมาเถิดหม่อม กระผมยินดีเป็นธุระให้อย่างแน่นอน” ปกติแล้วสัจจะเรื่องการช่วยเหลือที่ไม่ได้ผลตอบแทนไม่ใช่สิ่งที่ชนชั้นกระฎุมพีอย่างเขาเอ่ยออกมาโดยง่าย ทว่าเขากลับรับปากจะช่วยวาดทันที

“ขอบน้ำใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” วาดเอ่ย นิ่งไปครู่ก่อนจะเข้าเรื่อง “ฉันอยากให้เอี่ยกัง คืนตัวคุณรุ่งให้กับทางครอบครัวเจ้าค่ะ”

“หือ เดี๋ยวนะ” แม้ว่าเขายังไม่ได้คิดว่าวาดกำลังเดือดร้อนเรื่องใด แต่เรื่องที่ออกจากริมฝีปากงดงามนั้นทำให้เขางุนงงยิ่ง “ให้เอี่ยกัง…น้องพี่” งุนงงจนลืมคำสรรพนามอันห่างเหิน

“คืนตัวคุณรุ่ง น้องคุณเปี่ยม” วาดอธิบายเพิ่มเติม

“คุณรุ่ง กับคุณเปี่ยมนี่เป็นผู้ใด”

“ก็ถึงบอกอย่างไรเล่าว่ามีข่าวดีเรื่องของเอี่ยกัง” ฤทธิ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ พร้อมสรุปเรื่องราวทุกอย่างในประโยคสั้นๆ

“อ้ายจีนเอี่ยกังน้องเอ็ง มันยังไม่ตาย แล้วมันยังได้ลักพาตัวหลานสาวเจ้านายท่านไปที่สำเพ็งอย่างไรเล่า”

หากไม่เกรงว่ามันจะดูอับจนต่อหน้าวาดแล้วละก็ ฮวงก็อยากยกสองมือขึ้นมากุมหัวตนแล้วขยี้แรงๆ

…นี่มันเรื่องอันใดกันละเนี่ย

 

เชิงอรรถ : 

(1) สนธิสัญญาเบาว์ริง

 



Don`t copy text!