บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี ตอนที่ 3 : หม่อมหญิงม่าย

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี ตอนที่ 3 : หม่อมหญิงม่าย

โดย : ตฤณภัทร

Loading

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี นวนิยายออนไลน์สนุกๆ โดย ตฤณภัทร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องราวของฮวง ลูกหลานชาวจีนที่กลายมาเป็นปลัดจีนผู้สร้างความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องชาวจีนในสยาม แต่แล้วเขาก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่มาพร้อมเรื่องรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์สำคัญของสยาม

หม่อมเจ้าคะ ท่านหญิงทรงประทับอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ” นางเลื่องรีบเอ่ยรายงานทันทีเมื่อวาดเดินทางมาถึง ท่าทางของหญิงวัยกลางคนเจ้าของตำแหน่งพี่เลี้ยงของบุตรชายของหล่อนดูร้อนรน

“มาดูท่านชายทรงพระอักษรอีกกระมัง” วาดคาดเดา เพราะหมู่นี้ยามใดที่เธอต้องออกจากที่พำนักไปจัดกิจธุระคราใด เอกภริยาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีจะมาเยี่ยมหาทุกคราไป

“รีบเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ ฉันใจคอไม่ดีเลย” นางเลื่องว่า

เมื่อเจ็ดปีก่อน วาดถวายตัวเป็นหม่อมของพระองค์เจ้าเอกมงคล ก่อนหน้าที่เธอจะถวายตัวพระองค์ชายนั้นมีชายาอยู่แล้วสองท่าน คือ หม่อมเจ้าวารีและหม่อมแองเจล่า แต่ในเวลาที่เธอถวายตัวเข้ามานั้นหม่อมแองเจล่าก็เสียชีวิตไปได้เกือบปีแล้ว การถวายตัวของวาดนั้นเกิดขึ้นเพราะพระองค์ชายกำลังป่วยหนัก ครานั้นท่านมอบหมายให้วาดดูแลหม่อมเจ้าปัณฑูรผู้เป็นบุตรชายให้เป็นเสมือนบุตรในอุทรของตน และอีกหกเดือนถัดมาพระองค์ชายก็สิ้นชีพิตักษัย

“แม่เลื่อง” วาดส่งเสียงปรามถึงวาจาไม่เหมาะสมของบ่าวที่เอ่ยถึงเอกภริยาของเจ้าของวังแห่งนี้

“หม่อมก็รู้ๆ อยู่นี่เจ้าคะ ไปเถิดเจ้าค่ะ เข้าไปเสียประเดี๋ยวนี้” นางเลื่องทำเสียงร้อนใจ

นางเลื่องนั้นเป็นข้าเก่าของหม่อมแองเจล่า ภายหลังก็มาดูแลรับใช้วาด นางเลื่องจึงรู้จักผู้คนในวังนี้ และรู้เรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของหม่อมเจ้าวารี เธอเชื่อว่าพระองค์เดียดฉันท์มารดาของหม่อมเจ้าปัณฑูรเสียอย่างกับอะไรดี ด้วยมีชาติกำเนิดเป็นฝรั่งเชื้อสายอีหรอบ (1) ถึงแม้นจะเป็นฝรั่งในตระกูลผู้ดีที่มีเชื้อสาย ด้วยบิดาของแหม่มนั้นได้ช่วยราชการในแผ่นดินที่ 3 จนได้เชิดหน้าชูตาในสยาม แต่การที่หม่อมแองเจล่ามาสมรสกับพระองค์เจ้าเอกมงคลนั้น นอกจากจะแย่งความโปรดปรานไป ยังมีพยานรักถือกำเนิดมาตำใจ หลังจากที่รับหม่อมแองเจล่าเข้ามาในวัง ก็ไม่ทรงเสด็จไปหาหม่อมเจ้าวารีอีกเลย

ว่ากันว่าอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนที่ก่อให้เกิดความตายของหม่อมสาวฝรั่งผู้นั้นน่าจะมีหม่อมเจ้าวารีนี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญ

…ไม่เช่นนั้นพระองค์เจ้าเอกมงคลคงไม่รับวาดมาเป็นชายาเพื่อดูแลพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของท่าน เห็นชัดเลยว่าท่านไม่ไว้ใจเอกภริยา

“อย่าบ่นอึกทึกไป” วาดรับทราบเรื่องราวด้วยแววตาเรียบนิ่ง ก่อนเอ่ยเตือนบริวารของตน

เจ็ดปีในรั้ววังแห่งนี้เปลี่ยนหญิงสาววัยเยาว์เขลาขลาดให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเคร่งขรึม ด้วยภาระที่รับมาจากผู้เป็นสามี วาดเติบโตขึ้นราวก้าวกระโดด สง่าราวกับหงส์งาม จนเป็นที่เสียดายของผู้ที่ได้รู้จักพบเจอ ด้วยตกพุ่มม่ายเสียตั้งแต่ยังสาว

‘เจ้าขาวมิมีญาติอยู่ที่นี่ ฉันหวังให้เจ้ารับเป็นแม่ เป็นญาติ คอยปกป้องดูแลยามที่ฉันไม่อยู่’ เพราะครอบครัวของหม่อมแองเจล่าล้วนกลับสู่มาตุภูมิ มีเพียงหม่อมแองเจล่าที่รั้งอยู่เพื่ออยู่กับชายที่รัก พระองค์เจ้าเอกมงคลที่ยามนั้นป่วยหนักจึงเป็นกังวลเรื่องของบุตรชายคนเดียวยิ่งนัก

มีเพียงการฝากฝังให้บุตรชายมีคนดูแล และมีญาติมิตรที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยในวันที่เขาจากไป เพราะเหตุนี้ชายาคนใหม่ของท่านจึงต้องเป็นวาด บุตรสาวของข้าเก่าที่เขาไว้ใจที่สุด

‘เพคะ’ วาดมองเด็กน้อยลูกผสมที่จ้องเธอตาแป๋ว เห็นแล้วก็รู้สึกเอ็นดู และนึกถึงหลานชายของตนขึ้นมา เพราะเด็กทั้งคู่มีความเป็นลูกผสมเช่นเดียวกัน

หม่อมเจ้าปัณฑูรมีผิวขาวเนียนละเอียด พระเกษาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย แก้มแดงสุกปลั่ง ริมฝีปากของเด็กน้อยค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาเป็นสัญญาณว่าถูกชะตากับวาด

‘เรียกหม่อมแม่นะชายขาว’ พระองค์ชายเอ่ยเสียงเบาจากอาการป่วย

‘หม่อมแม่’

ในตอนนั้นยังไม่มั่นใจนักว่าตนเองจะสามารถเป็นแม่คนได้ ทว่าบุญคุณที่พระองค์ชายมีต่อครอบครัวนั้นทำให้เธอต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตอบแทน

“เจ้าค่ะ” นางเลื่องรับคำดุเจื่อนๆ ก่อนจะรับเอาตะกร้าของผู้เป็นนายมาถือเอาไว้ แล้วค้อมตัวเดินตาม

“มาแล้วรึ” สุ้มเสียงเรียบทว่ากังวานทักขึ้น หม่อมเจ้าวารีนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างฝรั่งเอ่ยทักวาดโดยไม่ละสายตาจากการคัดอักษรของบุตรชายในนามของเธอ ที่พื้นพรมไม่ไกลกันวาดก็พบกับป้าสะใภ้ของหม่อมเจ้าขาวที่นั่งอยู่ จริงๆ แล้วหากคุณเปี่ยมมาเยี่ยมเยียนก็ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปนั่งกับพื้น เพียงแต่หม่อมเจ้าวารีนั้นเป็นคนที่เข้มงวด คุณเปี่ยมจึงไม่อาจทำตัวให้ผ่อนคลายได้

“คุณหญิง” วาดเอ่ยทำความเคารพ ก่อนจะหันไปค้อมหัวให้คุณเปี่ยม

“หม่อมแม่” เด็กชายเอ่ยทักอย่างดีใจ เสียงของเขาเริ่มแตกด้วยชันษาที่ใกล้เข้าวัยหนุ่ม มองด้วยตาอย่างไรจากอายุก็ดูไม่มีทางที่วาดจะเป็นมารดาของเด็กโตขนาดนี้

“ท่านชายขาว” วาดรับคำพร้อมการโผกอด ยามนี้หม่อมเจ้าปัณฑูรเริ่มตัวสูงใกล้เคียงกับวาด หากไม่ใช่เพราะใบหน้าคมสันอย่างคนเลือดผสม ผู้คนย่อมคิดว่าทั้งสองเป็นพี่น้อง มากกว่าจะเป็นแม่ลูกกัน

“มาสักทีนะ เกร็งจะแย่ ช่วยชายหน่อย” ต่อหน้าผู้อื่นแม้ว่าขาวจะเรียกขานและปฏิบัติต่อวาดเป็นมารดา แต่ยามที่พูดให้ได้ยินกันเพียงสองคนเช่นนี้ ขาวก็จะเอ่ยอย่างเป็นกันเอง

ครั้งที่วาดนั้นถวายตัวมาเป็นเมียคนที่สามของท่านพ่อของเขา ขาวมีอายุได้หกขวบปี ตอนนั้นวาดก็เพิ่งแตกเนื้อสาว ถึงภายหลังจะได้สิทธิ์ขาดในการดูแลเขาในฐานะมารดา แต่อายุที่ต่างกันไม่มากจึงให้ความรู้สึกเป็นเช่นพี่สาวใหญ่คนหนึ่ง วาดเองก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่ก็ห่างไกลความรู้สึกอย่างบุตรกับมารดายิ่งนัก

“คัดหนังสือสนุกไปเลยสิ ได้ครูดี” เธอลูบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มอย่างเอ็นดู

“ทำบัดสีนักเชียว” เสียงบริภาษลอยมา วารีมองทั้งสองด้วยสายตาไม่พอใจในกิริยา “กระโดดกอดกันราวกับไม่มีผู้ใดสั่งสอน” ฟังดูแล้วเหมือนด่าทั้งสองคน แต่ความจริงเป็นการว่ากระทบวาดผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้วายชนม์ให้มีสิทธิ์ขาดในการดูแล ทั้งบุตรชาย และมรดกส่วนของเขา

“ลูกจะกอดหม่อมแม่จะเป็นอันใดไปเล่าขอรับท่านแม่” หม่อมเจ้าปัณฑูรเอ่ยด้วยเสียงที่ไร้เดียงสา ก่อนจะถูกวาดรั้งแขนเพื่อปราม เมื่อเห็นแววตาที่ลุกโชนของเอกภริยาของพระองค์เจ้าเอกมงคลที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดนัก

ทว่าวารีก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก เพียงมองนิ่งๆ แล้วเดินด้วยท่วงทีสง่างามออกจากตำหนักเล็กอันเป็นนิวาสสถานของวาดไป

“ขอทีเถิดท่านชาย อย่าได้ต่อปากต่อคำเลย” วาดเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ เดี๋ยวจะให้ครูดัดนิสัยเสียให้เข็ด

หม่อมเจ้าปัณฑูรขยิบตาให้อย่างทะเล้น และไหวไหล่โดยไม่พูดอะไรทำเอาวาดต้องร้องประท้วง

“ท่านชาย ตายจริง ไม่งามนะเพคะ”

“ท่ายชายออกจะงามนะเจ้าคะหม่อม” นางเลื่องให้ท้าย

ดูเอาเถิดเพิ่งเริ่มโตก็ตัวสูงสง่า ใบหน้าคมคาย ประเดี๋ยวพอโตเป็นหนุ่มจะต้องรูปงามราวกับอุศเรนอย่างแน่นอน

“เอาเข้าไป ให้ท้ายกันเช่นนี้ เห็นทีใครๆ คงต้องประนามฉันอย่างที่ท่านหญิงวารีทรงปรามาสไว้” วาดเอ่ยอย่างปลงตก ก่อนจะอุทานเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในห้องนี้ยังมีแขกอีกคน “โอ๊ย คุณเปี่ยม ฉันนี่เสียมารยาทจริง”

“เราสองคน หาต้องพูดให้มากพิธีน่าหม่อม” เปี่ยมที่ลุกขึ้นมาได้สักพักบอกยิ้มๆ

“น้ำท่าได้กินบ้างหรือยังเจ้าคะ” วาดสอบถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ ก่อนสั่งบ่าวไพร่ให้จัดของรับรองแขก “แล้วมานานเท่าใดแล้ว” คำถามหลังนี่เองที่ต้องการคำตอบ

“ก็พักใหญ่ แต่ฉันไม่อยากปล่อยท่านชายเอาไว้กับท่านหญิงลำพัง” เปี่ยมบอก

คุณเปี่ยมมีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของหม่อมเจ้าขาว เป็นภริยาของคุณทองสุก พี่ชายบุญธรรมของสามีของวาด สองสามีภรรยาอาศัยอยู่ที่เรือนริมน้ำไม่ไกลจากวังตรอกศรีจันทร์แห่งนี้ คุณเปี่ยมและคุณทองสุกมักจะแวะเวียนมาเยี่ยมหาวาดและหม่อมเจ้าปัณฑูรอยู่เสมอ โดยเฉพาะหากเห็นว่าหม่อมเจ้าวารีจะเข้าใกล้หลานชายยิ่งต้องเฝ้าดู เพราะห่วงความปลอดภัย คุณเปี่ยมเป็นหนึ่งในหลายคนที่เชื่อว่าหม่อมเจ้าวารีอยู่เบื้องหลังการตายของหม่อมแองเจลล่าเพราะหากสิ้นหม่อมฝรั่งไป โอกาสที่จะได้ความรักและครอบครองวังแห่งนี้ก็จะกลับมา เป็นแรงจูงใจที่มีมูลไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีหลักฐานก็เท่านั้น

“เลื่อง พาท่านชายไปพัก เอาน้ำลูบตัวหน่อยเถิด แล้วค่อยรับข้าวเย็น” วาดสั่ง ไม่อยากให้ท่านชายซึมซับเรื่องราวเหล่านี้ ความผิดใดๆ ของหม่อมเจ้าวารียังไม่ปรากฏ อย่างไรเสียขาวก็มีศักดิ์เป็นลูกชายคนหนึ่งของท่านหญิงจึงไม่ควรคิดเกลียดชังจากการฟังข่าวซุบซิบ

“หม่อมก็ใจดีเสียจริง พระองค์ชายก็สั่งไว้ก่อนสิ้นพระชนม์แท้ๆ ว่าตำหนักใหญ่ยกให้หม่อมอยู่กับท่านชาย” คุณเปี่ยมบ่นอย่างไม่เห็นด้วยที่วาดไม่ได้ทำตามเช่นนั้น

“คุณเปี่ยมละก็ ท่านหญิงท่านทรงประทับเช่นนั้นแต่แรก ฉันจะบังคับตามคำสั่งเห็นจะมิควร ศักดิ์ท่านก็เป็นเจ้านาย อีกทั้งยังเป็นเอกภริยา จะให้ย้ายจากตำหนักใหญ่นั้นฉันก็คิดว่าไม่เหมาะ ขี้กลากจะกินหัวเอาน่ะซี”

“ก็พระองค์ท่านสั่งเอาไว้ ได้ยินกันทั่ว” คุณเปี่ยมยังบ่นกระปอดกระแปด เป็นที่รู้กันว่าเธอเอ็นดูท่านชายเลือดผสมอยู่มาก ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจเช่นพระญาติคนอื่นๆ จึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนไม่น้อย

“เพียงแค่ได้เลี้ยงดูท่านชายขาวให้เติบใหญ่อย่างดี ฉันก็คิดว่าตนนั้นทำหน้าที่ได้อย่างดีแล้วละคุณเปี่ยม” วาดเอ่ย จิตใจก็ไพล่คิดไปถึงเรื่องราวตั้งแต่หนหลัง วันที่เส้นทางชีวิตของตนนั้นแปรเปลี่ยน

เดิมทีคุณแม่ของวาดหมายมั่นให้เธอสมรสกับคุณพระฤทธิรงค์รณยุทธ์ โปลิศหนุ่มใหญ่ที่เคยเกือบได้เกี่ยวดองกับตระกูลของวาด ทว่าพรหมลิขิตย่อมมีเส้นทางที่ปุถุชนคนธรรมดาไม่อาจจะเดาได้ คุณพระท่านนั้นกลับลงเอยกับแม่สื่อที่คุณแม่ของเธอจัดหา การณ์ยังกลับกลายเป็นว่าโนรี แม่สื่อคนงามนั้น คือลูกพี่ลูกน้อง ลูกสาวของน้าสาวของเธอไปได้

วาดนั้นโล่งอกเสียเต็มทีเพราะเกรงคุณพระท่านนั้นอยู่มาก ข้อที่ท่านนั้นดูช่างดุดัน อีกทั้งอายุอานามหรือก็คราวพ่อ แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายวาดจะได้ลงเอยเป็นภรรยาของชายที่อายุมากกว่าหลายปีเช่นกัน

“เฮ้อ ได้ฟังเช่นนี้ ฉันก็ยิ่งเสียดาย หม่อมเองก็ยังงามทั้งยังสาวนัก แต่กลับต้องตกพุ่มม่าย คราวที่แต่งเข้ามานั้นอุตส่าห์ดีใจ ที่พระองค์ชายจะได้อยู่กับผู้หญิงที่รักและมีความสุขเสียบ้าง” คุณเปี่ยมถอนหายใจ นึกถึงคราวที่หม่อมแองเจล่าตายไป พระองค์เจ้าเอกมงคลนั้นก็ซึมลงไปมาก จะคาดหวังให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเอกภริยาหรือก็ดูเป็นเรื่องยาก ก็มีวาดนั่นแหละที่ดูจะเข้ามาเติมสีสันให้กับสองพ่อลูก ได้อยู่เป็นครอบครัวแท้จริง

…รักหรือ

วาดรู้สึกสะดุดใจกับคำนี้ ความรู้สึกของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีนั้นจะเรียกว่ารักนั้นก็ฟังดูไม่ถูก เรียกได้ว่าเป็นความเคารพบูชาและเทิดทูนจึงจะถูกกว่า การแต่งงานที่เกิดขึ้นก็ล้วนแต่เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณในฐานะที่เป็นลูกสาวของบิดา

ทว่าเมื่อได้ยินคำว่าความรัก ความทรงจำในซอกหลืบของหัวใจก็ปรากฏขึ้นอย่างน่าละอายนัก

‘พี่มาขอกินขนม’ วาดจำได้ถึงวันแรกที่ฮวงพูดคุยกับเธอโดยตรง คำพูดไม่เต็มคำ กับท่าทางเก้ๆ กังๆ เมื่อประกอบกับใบหูที่แดงจัดของฮวงนั่นเองที่ทำให้วาดไม่รู้สึกหวาดเกรงที่จะพูดคุยกับเขาเช่นที่วางตัวกับชายอื่น

‘ทำมาให้จ้ะ’ เพราะโนรี ลูกพี่ลูกน้องสาวทีเดียว ที่ชอบเอ่ยถึงสหายผู้นี้ วาดจึงรู้สึกราวกับว่าตนเองได้รู้จักเขาไปด้วย

ฮวงรับห่อผ้าไป แม้จะไม่ได้ยิ้มแย้ม แต่ดวงตาก็มีประกายแห่งความพอใจ ซึ่งนั่นถือว่าแสดงออกมากสำหรับชายสายเลือดจีนผู้นี้ วาดสังเกตว่าเขามักเก็บอารมณ์ ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้ายก็ยากจะดูออก มีเพียงเวลาที่เขาอยู่กับโนรีผู้เป็นพี่ที่จะดูผ่อนคลาย

…และดูเหมือนเขาก็เริ่มเป็นกันเองกับวาดเช่นกัน

‘แบมือ’ เขาเอ่ยสั่ง วาดก็ทำตาม ก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นของหยก เป็นกำไลเนื้อเนียน แต่ก็มีลวดลายสลักลึกลงไปเป็นดอกไม้เล็กๆ บนกิ่งไม้

‘ดอกอะไรหรือจ๊ะ’ วาดถามอย่างสงสัย จนลืมไปว่าไม่ควรรับของจากชาย ลืมไปกระทั่งว่าปกติตนเองนั้นไม่ค่อยชอบสนทนากับคนอื่นนัก โดยเฉพาะผู้ชาย นิสัยขี้กลัว ขี้ตื่นนี้ก็โดนมารดาว่าเอาบ่อยๆ

‘เป็นโบตั๋น ขอบคุณที่ทำมาให้นะ’ ฮวงชูห่อผ้า ก่อนจะหมุนตัวแล้วค่อยๆ เดินไป

วาดสงสัยอยู่หลายครั้ง หากวันนั้นเธอจะถอยหลังออกมา ไม่ตอบคำ ไม่ต้องมีเขาอยู่ในความทรงจำเช่นนี้จะดีกว่าหรือไม่

 

วาดสะบัดหัวเบาๆ เมื่อระลึกถึงปัจจุบันขณะ ไม่เข้าใจว่าเมื่อนึกถึงความรัก เงาร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเสมอ เธอค่อยๆ พาตัวเองมาจดจ่อกับบทสนทนาตรงหน้าอีกครั้ง

คุณเปี่ยมมักจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังมากมาย ด้วยความที่นอกจากการรับราชการแล้วสามีของวาดมีกิจการงานอยู่มาก ครั้งเมื่อสิ้นไป ก็ทิ้งงานไว้ให้สานต่อมากมาย แต่ด้วยความที่ตนเองนั้นเป็นหญิงสาว วาดจึงไม่อาจทำกิจการต่างๆ ด้วยตนเองโดยตรง โชคดีที่มีนพ พี่ชายแท้ๆ ที่ช่วยเป็นธุระ ทั้งสอนการจัดการ และจัดการเรื่องภายนอกให้ วาดจึงไม่ต้องออกโรงให้เป็นขี้ปากใคร ทั้งยังมีคุณทองสุกช่วยอีกแรง เพราะหลายกิจการสามีของเธอก็ได้เป็นผู้ลงทุนให้น้องพี่ชายบุญธรรม เมื่อมีผลตอบแทน คุณทองสุกก็ให้มาอย่างสุจริต โดยมีเปี่ยมที่คอยบอกเล่าเรื่องต่างๆ ชีวิตดุจอยู่ในกรงทองของวาดจึงไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกนัก

ตั้งแต่ผลัดแผ่นดินก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย สยามเริ่มมีสัญญาณเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงหลายประการ แต่ดูเหมือนวันนี้เปี่ยมนั้นจะไม่ได้มีประเด็นสนทนาที่ออกรส คล้ายกับเล่าเรื่องราวต่างๆ อย่างชั่งใจ ด้วยมีเรื่องที่แท้จริงที่ยังไม่ปักใจ ว่าวาดควรรู้หรือไม่

“คุณเปี่ยมเจ้าคะ” วาดเอ่ย “เห็นทีคงมีเรื่องเดือดร้อนใจ พวกเราใช่อื่นไกลนะเจ้าคะ”

“โธ่ นี่ฉันแสดงออกถึงเพียงนั้นเทียวรึ”

วาดยิ้มบางๆ ให้

คุณเปี่ยมเป่าปาก มองดูรอบแล้วเห็นว่าไม่มีคนจึงค่อยเอ่ยเสียงราวกับกระซิบ

“วาดรู้จักกับเจ้าสัวฮวงใช่หรือไม่”

ด้วยเพราะใจเพิ่งประหวัดไปถึงเจ้าของชื่อนี้ เมื่อถูกเอ่ยถามในลักษณะนี้วาดก็รู้สึกแปลกใจนัก แต่ก็ตอบไปอย่างปกติ

“รู้จักเจ้าค่ะ”

“ใช่ไหมล่ะ ก็ฉันเห็นเขาไปมากับเรือนคุณพระฤทธิรงค์รณยุทธ์” ถึงแม้จะอยู่นอกราชการ แต่เปี่ยมก็เอ่ยถึงพี่เขยของวาดด้วยน้ำเสียงที่ให้เกียรติทีเดียว

“ก็ทำนองนั้นเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้น หม่อมพอจะช่วยอะไรฉันได้หรือไม่ ถือว่าขอร้องทีเดียว เกิดเรื่องใหญ่ ฉันร้อนใจเหลือเกิน”

 

ท่ามกลางการหารือในบรรยากาศเคร่งเครียด จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดผาง รุ่งในชุดสตรีจีนเอ่ยอย่างแจ่มใส

“โห กัง งิ้วสนุกมาก” รุ่งเล่าอย่างตื่นเต้นดีใจ เธอหอบของกินจากงานมหรสพกลับมาเต็มสองมือ “ขนมก็เยอะแยะ เอามาฝากกังด้วย”

“เอ่อ” เอี่ยกังมองลูกน้องที่กลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง ก่อนหน้าที่รุ่งจะโผล่เข้ามานั้นทั้งหมดกำลังหารือเรื่องสำคัญมากกันอยู่ ดังนั้นการโผล่เข้ามาแบบไม่สนสี่สนแปดของรุ่ง พร้อมชื่อเรียกแสนจะเป็นกันเอง ทำเอาชายจีนหน้าตาดุดันเหล่านั้นทำหน้าไม่ถูก

…เพราะหากขำออกมาละก็ นายท่านจะกระทืบพวกเขาเอาน่ะสิ

หลายคนมองตากัน ตั้งใจจะตั้งวงพนันเสียหน่อย ว่าหญิงสาวผู้นี้จะกลายมาเป็นนายหญิงของพวกเขาหรือไม่

“อุ่ย ทำงานอยู่หรือ ขอโทษ อึ่ม ไจ เท้า” รุ่งเอ่ยประโยคขอโทษสองภาษารวด ก่อนจะค่อยๆ เอาขนมมาวางบนโต๊ะ ค้อมหัวให้ทุกคน “พักกินขนมกันก่อนจ้ะ เจี๊ยะๆ” จากนั้นก็ปิดประตูหนี

“ว่าต่อสิ” เอี่ยกังเอ่ยด้วยเสียงเข้มงวด และไม่ลืมที่จะดีดเม็ดถั่วใส่มือลูกน้องที่ทำท่าจะลิ้มลองขนมของฝาก

…แม่รุ่งซื้อมาให้เขา เขาไม่แบ่งใครทั้งนั้นแหละ

นายเซียวที่โดนเจ้านายขัดจังหวะกระแอมไอแก้เก้อ นายท่านเคยบอกว่าแม่รุ่งผู้นี้เป็นผู้มีบุญคุณ แต่จะรู้ตัวหรือไม่หนอ ว่าตนเองนั้นหวงทุกอย่างที่เกี่ยวกับแม่รุ่งผู้นี้

เขามองเจ้านายที่กอบถุงขนมทั้งหมดเข้าหาตัวก่อนเอ่ย

“อั๊วคิดว่า เรื่องนี้จี้เสียงจะต้องมีส่วน”

“ไอ้ลูกหมา” เอี่ยกังเข่นเขี้ยว “เป็นไอ้จีนใหม่ผู้นั้นรึ” จี้เสียงหรือจีนเสียงนั้น เดิมเป็นจีนใหม่ แต่ภายหลังเมื่อหมดสัญญาทำงานแล้วก็ตั้งตนเป็นเถ้าแก่ สร้างเนื้อสร้างตัวรวบรวมสมัครพรรคพวกไว้มากมาย ซึ่งนับว่าเป็นจีนใหม่ที่มีอิทธิพลไม่น้อยในสยาม

ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นมือซ้ายให้เขา แล้วก็สอนเขาในเรื่องการไว้ใจคน ว่าคนที่ไว้ใจนั่นแหละที่ล้างผลาญได้มากกว่าศัตรูหน้าไหน

เมื่อหลายปีก่อนเขาถอนตัวเรื่องการซื้อขายอาวุธกับพวกฝาหรั่ง เพราะเริ่มเห็นว่าการซ่องสุมกำลังจนอาจถูกสยามระแวงนั้นไม่ใช่วิธีที่ฉลาด แม้ว่าเอี่ยกังจะไม่ได้รู้สึกว่าตนอยู่ใต้อาณัติของสยามอย่างที่ฮวงเป็น ทว่าในเวลานั้นสยามก็ออกตัวปราบปรามกลุ่มคนที่ที่ทางการสงสัย เขาจึงยอมปรับเปลี่ยนรูปแบบของสมาคมให้เป็นปึกแผ่น มากกว่าจะคิดถึงเรื่องการสะสมอำนาจอย่างที่บิดาของเขาเคยคิดการใหญ่ จนทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก

จี้เสียงต้องการก่อกบฏจากแรงยุยงของพ่อค้าฝรั่งผู้หนึ่ง มันสัญญาว่าจะมีอาวุธและดินปืนมหาศาลเพื่อภารกิจนี้ แต่เอี่ยกังตัดสินใจไม่เข้าร่วมและเลือกเป็นพันธมิตรกับสมาคมซิงจิ่งของฮวง จี้เสียงตัดสินใจแยกตัวออกจากสมาคมของเขาเพราะความไม่ลงรอยนั้น ภายหลังพ่อค้าผู้นั้นถูกทางการจับได้เสียก่อนจี้เสียงจึงไม่ได้ถูกหางเลข

เอี่ยกังนั้นไม่เคยขัดข้องหากลูกน้องอยากมีกิจการของตน ทว่าจี้เสียงใช้ทางลัดโดยการสมคบกับพี่น้องใต้อาณัติออกไปตั้งสมาคมใหม่ และทำกิจการในแบบเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน

ดูเอาเถิดทำถึงเพียงนี้เขาเองก็ไม่ได้คิดจัดการมันเสียให้เด็ดขาด เพราะนึกถึงเรื่องราวที่ร่วมกันฟันฝ่า เขาไม่คิดว่าการที่มันมีแนวคิดแตกต่างจากเขานั้นเป็นเรื่องผิด และเชื่อว่าลึกๆ ทั้งคู่เหมือนกันในเรื่องที่ต้องการให้พี่น้องที่อยู่ใต้การดูแลมีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ถูกคนสยามกดขี่อย่างที่เคยเป็น แต่กลายเป็นว่าจี้เสียงกลับเป็นอสรพิษที่คิดแว้งกัด เล่นงานเขาเสียเกือบตาย

“ลางทีพวกมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของนายหญิงซิ่วลั้งด้วย” เซียวออกความเห็น “แต่นายท่านวางใจ พวกเรารวบรวมหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้นายท่านได้แน่นอน แลอาจจะเอาโทษอ้ายพวกนั้นได้ในคราวเดียว”

เซียวมั่นใจในบรรดาประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ เพราะมีคนเห็นว่าเอี่ยกังแยกกับซิ่วลั้ง ทั้งยังไปใช้บริการที่หอคณิกา มีนางคณิกาหลายคนถูกตบรางวัลและยินดีเป็นพยานว่าเจ้าสัวหนุ่มนั้นอยู่ที่นั่นทั้งคืน

“รอให้สะสางเรื่องราวก่อนเถิด อั๊วเองก็มีเรื่องสะสางกับที่นั่นไม่น้อย” ก็มิใช่นางคณิกาที่นั่นหรือไร เขาจึงตกที่นั่งลำบากเช่นนี้

…ลางทีอาหงอาจเป็นคนของจี้เสียง

“อั๊วสังหรณ์แปลกๆ” เอี่ยกังรู้สึกว่าหลายอย่างไม่ถูกต้อง เหตุใดเรื่องราวจะต้องประจวบเหมาะเช่นนี้ “ลื้อไปสืบมาว่าระหว่างที่ทุกคนคิดว่าอั๊วหาย หรือตายก็เถอะ มีอะไรเปลี่ยนไปไหม ทั้งพวกเราพี่น้อง และพวกใต้ธงด้วย” เขาสั่งการ เห็นทีว่าคงถึงเวลาต้องส่งข่าวให้ฮวงแล้วกระมัง

ชายหนุ่มโบกมือไล่ลูกน้องคนอื่นๆ ออกไปก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องไป

“อั๊วพนันว่าใช่” ลูกน้องชายหน้าโหดคนหนึ่งเริ่มประเดิมลงเงิน ทั้งที่เมื่อครู่ยังหารือกันเคร่งเครียด

“อั๊วด้วย ใช่แน่ๆ คนนี้ละ นายหญิง”

 

เรียบร้อยจ้ะรุ่งส่งห่อขนมให้ลูกค้าวัยกลางคน เขาเป็นลูกค้าประจำมาซื้อขนมจากร้านหลายครั้ง

“แม่หนูขยันจริงๆ อุตส่าเปิดร้านอยู่ทั้งที่ลุงมาเอาเสียก็เกือบเย็นแล้ว เกรงใจเจ้านัก” วิลเลียมตอบ แรกทีเดียวที่รุ่งทราบชื่อของเขาเธอประหลาดใจมาก เพราะนายวิลเลียมคนนี้ดูอย่างไรก็เป็นชาวสยาม แม้ว่าเขานั้นจะแต่งกายอย่างพวกฝรั่งไม่ผิดเพี้ยน แต่รุ่งก็มาทราบว่าชาวสยามหลายคนที่เข้ารีตนับถือพระเจ้าของพวกฝรั่งก็จะใช้ได้ชื่อประหลาดออกเสียงยากอย่างพวกนั้น ยิ่งทำงานสังกัดกงสุลอย่างนาย ‘เลี่ยม’ ผู้นี้เขาจึงแต่งตัวอย่างพวกฝรั่งด้วย

“มิเป็นไรดอกจ้ะ ได้รู้ว่าฝรั่งพวกนั้นชอบขนมฉันก็ยินดี เงินดีด้วย” รุ่งตบเงินในถุงและยิ้มกว้างให้ลูกค้าประจำ

วิลเลียมหรือที่รุ่งเรียกตามสะดวกว่าลุงเลี่ยม ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา ทว่าเขาก็เปลี่ยนใจ เขาสัญญาว่าจะมาสั่งขนมอีกและขอตัวกลับ

รุ่งโบกมือต่ออย่างร่าเริง พลางครุ่นคิด เย็นนี้เธอและเอี่ยกังจะกินอะไรดีนะ

เอี่ยกังมองแผ่นหลังบอบบางตรงหน้า เขารู้สึกใจหายอย่างประหลาดเมื่อคิดว่าตนต้องกลับสู่โลกความจริงอันแสนวุ่นวายแล้ว

“หารือเสร็จแล้วหรือกัง” รุ่งถามเสียงใสเมื่อหันมาเจอเขาเข้า ถึงแม้อายุรุ่งจะเข้าวัยยี่สิบปีแล้ว แต่ในความรู้สึกของเอี่ยกังนั้น รุ่งนั้นยังเป็นเด็ก หญิงสาวตื่นเต้นกับโลกที่อยู่นอกวัด กระตือรือร้น และสนใจเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ

“บอกตั้งหลายหนให้เรียกอากัง กังเฉยๆ เหมือนเป็นลิง” เอี่ยกังเอ่ยแบบทั้งขันทั้งฉิว มองรุ่งที่กำลังฝึกใช้ลูกคิด เห็นว่ามีความคล่องแคล่วก็อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้

…ไม่เสียแรงที่สอนมากับมือ

“เป็นอย่างไร ขนมอร่อยไหม” รุ่งถาม ก่อนจะรินน้ำชาส่งให้ เธออยู่ที่นี่มาแรมเดือน ได้ซึมซับวัฒนธรรมของพวกชาวจีนมาไม่น้อย คนจีนมักดื่มน้ำชาเสมอ ดื่มบ่อยจนแทบจะดื่มแทนน้ำ ชาก็มีหลายแบบล้วนมีกลิ่นหอม ยิ่งกับที่นี่ของกินของใช้ล้วนมีคุณภาพ

“อร่อยสิ” เอี่ยกังตอบ ละที่จะบอกเรื่องที่เขากินคนเดียวเสียเรียบ ปล่อยให้ลูกน้องกลืนน้ำลายมองเขากิน “เที่ยวเก่งใหญ่แล้ว หาของอร่อยมามิขาด” ข้อหลังคือสิ่งที่ลูกน้องที่เขาส่งออกไปติดตามรุ่งบอกเล่า

“อากังก็รู้ว่าฉันมันคนติดคุกตั้งแต่เกิด” รุ่งเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทว่าเอี่ยกังที่รู้เรื่องราวจากคำบอกเล่านั้นกลับรู้สึกว่าสิ่งที่หญิงสาวคนนี้ต้องประสบนั้นเลวร้ายพอๆ กับที่เขาเคยเจอ “เพิ่งมามีบ้านกับเขาเมื่อไม่นานนี้เอง”

ทั้งสองอาศัยอยู่บนชั้นสองของร้านขายขนมและนำชา ในตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งในสำเพ็ง เอี่ยกังเซ้งที่ทางแต่ยังจ่ายภาษีโดยใช้ชื่อเจ้าของเก่า จึงเป็นที่ปลอดภัยมิอาจสาวถึงตัวเขาโดยง่าย ยังไม่ทันนึกว่าจะใช้ขยายกิจการอย่างไร ก็มีอันต้องใช้เป็นที่หลบภัยก่อน จะว่าไปการที่มีรุ่งติดสอยห้อยตามมาด้วยก็ทำให้การติดต่อผู้คนของเขาในยามที่ต้องซ่อนตัวสะดวกขึ้นมาก

เพราะรู้ดีว่าใครก็ตามที่สร้างข่าวป้ายสีเขานั้นทำอย่างแนบเนียน เขาจึงยังไม่พร้อมปรากฏตัว เพราะเกรงว่ากว่าจะได้สู้คดีนั้นคงมิแคล้วต้องโดนจัดการเสียก่อน

ด้วยเขาเองก็เพลี่ยงพล้ำ เกือบตายไปเสียแล้วหากไม่ได้รุ่งกระชากตัวกลับมาจากประตูปรโลก

…กระชากตัวไม่พอ แม่ยังตัดเปียเขาออก ลงท้ายตอนนี้ทรงผมของเขานั้นราวกับเป็นชาวสยามอย่างที่เขาชอบค่อนขอดฮวงเอาไว้ไม่ผิด

เพราะเติบโตมาในครอบครัวชาวสยาม ฮวงจึงไม่ได้ไว้เปียอย่างเขาและสมัครพรรคพวกชาวแต้จิ๋ว ที่มักจะไว้ผมยาวถักเปีย หรือไม่ก็โกนหัวเสียเลย เอี่ยกังมักเอ่ยแซวฮวงอยู่บ่อยครั้งด้วยบุคลิกของเขาที่ดูคล้ายคนสยามคงแก่เรียน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาก็ต้องไว้ผมทรงเดียวกันกับผู้พี่เสียได้

…ไม่รู้ต้องเลี้ยงผมอีกนานเท่าใดจึงจะได้ดังเดิม

“เจ้านี่ช่วยได้เยอะจริงๆ” เธอเอ่ยถึงความสะดวกของลูกคิด ก่อนเอ่ยอย่างมีความหวัง “นี่ๆ เสร็จเรื่องแล้ว อย่างไรขอทำร้านขนมต่อได้หรือไม่ ฉันชอบนัก เวลาคนเรียกเถ้าแก่เนี้ย ถึงจะฟังดูเหมือนเขาว่าฉันแก่เฒ่าพิกลก็เถอะ” รุ่งว่า ถึงแม้กิจการขายอาหาร ขนม และน้ำชานี้เอี่ยกังเปิดขึ้นมาบังหน้าเพื่อใช้ที่นี่เป็นที่หลบภัย และพบปะกับลูกน้องที่ไว้ใจได้ก็ตามที แต่รุ่งที่เคยแต่อยู่ในวัด สวดมนต์ กวาดลานวัด ก็เห็นว่าสิ่งนี้เป็นสีสันของชีวิตยิ่งนัก

รุ่งเองตั้งใจตั้งแต่วันที่ตนเองนั้นหนีออกมาจากวัด ว่าอย่างไรก็ต้องได้ลองสัมผัสชีวิตของคนธรรมดา และแม้ว่าการหลบซ่อนของเอี่ยกังนั้นจะดูไม่สุจริตเท่าไร แต่รุ่งก็เห็นว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องไปด้วยกันให้สุดทาง เขาไหว้วานเรื่องใดเธอก็ทำตาม คอยส่งข่าวคราวจนสมัครพรรคพวกของเอี่ยกังรู้จักที่นี่

…เอี่ยกัง คนที่ทางการกำลังต้องการ

…ฆาตกรฆ่าคนตาย

ประกาศทั้งหน้าและชื่อติดไว้ชัด แต่มันไม่ได้ทำให้รุ่งแคลงใจสงสัย เพราะเธอเชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อมั่นในคำสัญญาที่บอกว่าจะดูแลเธอ เอี่ยกังไม่มีทางทำร้ายเธออย่างแน่นอน อย่างวันนี้เธอก็ฉีกประกาศนั่นทิ้งเสียเป็นสิบใบ

“ผู้หญิงเขาไม่ทำงานกันน่า ถ้าจัดการเรื่องราวได้ อั๊วจะให้นั่งกินนอนกินสบายไปทั้งชาติ” เขาเสนออย่างใจป้ำ พักหลังเวลาอยู่กับรุ่งเอี่ยกังสบายใจที่จะพูดแบบคนจีน รุ่งเรียนรู้ไว รู้จักภาษาแต้จิ๋วหลายคำ เธอขายของ ต้อนรับลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว

ผู้คนทั่วไปเข้าใจว่าโรงน้ำชานี้เป็นกิจการของสองพี่น้อง อาจิวกับอาจู

คนพี่โพกผ้าปิดหน้าตาเพราะปกปิดแผลเป็นที่ติดตัวหลังจากหายจากโรคไข้ทรพิษ ส่วนคนน้องหน้าตาสะสวย ขยันขันแข็ง ทำตามพี่ชายสั่งอย่างตั้งใจ แม้จะพูดจีนไม่คล่องในคราแรกก็ไม่เป็นที่สงสัย เพราะรุ่งนั้นตีหน้าเศร้าเล่าถึงสาเหตุที่ตนพูดจีนไม่ได้ว่า

‘พ่อฉันเป็นคนสยาม แต่งงานกับแม่ที่เป็นแต้จิ๋ว ทีนี้พ่อมีเมียน้อย แม่เลยเอาพี่ไปเลี้ยง ฉันจึงโตมาโดยพูดจีนมิได้’ รุ่งถอนหายใจ ‘แต่แม่เลี้ยงตั้งข้อรังเกียจฉันนัก สุดท้ายฉันจึงหนีออกมาอยู่กับพี่นี่แหละจ้ะ’

เอี่ยกังที่จัดร้านอยู่ได้ฟังถึงกับอยากปรบมือให้ ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นเด็กสาวที่อยู่ในวัดถือศีลมาแต่เกิด

‘มุสาวาทา’ เขากล่าวล้อเลียนบทสวดมนต์ของหล่อน แม้ว่าจะออกมาใช้ชีวิต และสิ่งหนึ่งที่รุ่งทำเป็นประจำนั่นก็คือการสวดมนต์ก่อนนอน สวดคนเดียวไม่พอยังลากให้เขาต้องมาสวดด้วยอีกคน เขาจึงจำบทสวดมนต์ได้แม่นยำ

…แต่แม่สาวเทื้อผู้นี้ก็ผิดศีลเสียได้ เห็นชัดๆ เลยก็ข้อมุสาวาทา

“ผู้หญิงทำงานได้สิ” รุ่งเถียง “ผู้หญิงที่นี่ก็ทำงานกันทั้งสิ้น” เธอหมายถึงคนในสำเพ็งแห่งนี้ เธอเห็นว่าผู้หญิงล้วนทำงานหาเงินเป็นปกติ ทั้งหาบอาหาร ทำขนมมาขาย รับจ้างปะชุนเสื้อผ้า “โดยเฉพาะพี่ๆ ที่โคมเขียว ทำงานเสียจนล่ำซำ มาซื้อของร้านเรามากมาย”

เอี่ยกังสำลักน้ำชา

“นี่ ยกตัวอย่างมานี่รู้หรือว่าเขาทำกระไรเป็นอาชีพ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางทำเสียงดังค่อกแค่ก

“ขายตัว” รุ่งบอกเสียงเรียบ เสียงลูกคิดดังเป็นจังหวะดูจะดังขึ้นเมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แต่ดูเหมือนรุ่งจะยังไม่สาใจเอ่ยเพิ่มอีก “ยายฟักขายข้าวแกง ยายแฟงขายหะ…” รุ่งกำลังจะเอ่ยคำขวัญซึ่งป้าเจ็งที่ดูงิ้วด้วยกันบอกมา ก็โดนเอี่ยกังยื่นมือมาปิดปากไว้

“ห้ามนะ ไม่ให้ไปดูงิ้วแล้ว” เอี่ยกังชี้นิ้วสั่งเป็นท่าทางที่แสดงถึงความจริงจัง

ชาวสำเพ็งนี่มันยังไง เหตุใดสาวเทื้อไร้เดียงสา (ถึงแม้จะเจ้าเล่ห์หน่อยๆ ก็เถอะ) ของเขาจึงเรียนรู้และพูดเรื่องพวกนี้ออกมาหน้าตาเฉยเช่นนี้ไปได้ รุ่งเอยก็กระไร เรื่องน่าสนใจมากถมถืด ดันสนใจเรื่องพวกนี้ไปได้ นี่หากพ่อแม่ของรุ่งมารู้ว่าเขาพาลูกสาวพวกท่านมาอยู่ในที่เช่นนี้ และเรียนรู้อะไรเช่นนี้ ต้องลุกจากหลุมขึ้นมาหักคอเขาเป็นแน่

“อะไร บ่ายๆ ก็ขายของหมดแล้วเบื่อแย่” รุ่งบอก

“เจ้าเป็นแม่หญิงชาวสยามนะแม่คุณ ปกติต้องเก็บตัวมิใช่รึ” เอี่ยกังเตือน ปกติแล้วชาวสยามนั้นจะถือโน่นถือนี่มากมาย หากเป็นชาวบ้าน เป็นไพร่ทั่วไปก็ไม่มากนัก แต่หากเป็นลูกชาติลูกตระกูลแล้วละก็กฎเกณฑ์มีมากมาย ล้วนเก็บตัวมิสู้ออกมาข้างนอก และที่แน่ๆ หญิงผู้ดีชาวสยาม รวมไปถึงชาวแต้จิ๋ว ถ้าครอบครัวมีอันจะกินละก็ ไม่มีใครต้องทำงานอย่างแน่นอน

และเขาไม่คิดจะจัดรุ่งให้อยู่ในประเภทไพร่

…ชีวิตของเธอมีค่ายิ่งนัก ช่วยชีวิตเขาไว้ จะให้เขาเลี้ยงดูแบบไพร่ได้อย่างไร

รุ่งเคยเล่าให้เขาฟังว่าพ่อแม่ทำผิด ครอบครัวจึงฝากนางชีในวัดเลี้ยงดูกล่อมเกลาจนเธอเติบโตมา เอี่ยกังรู้ทันที การกระทำเช่นนี้บ่งบอกว่ารุ่งจะต้องมีเชื้อมีสาย อาจเป็นลูกหลานขุนน้ำขุนนางที่ทำเช่นนี้ล้างอาย เห็นทีคงเป็นเรื่องความรักระหว่างชนชั้นกระมัง แล้วคงไม่ต้องการให้ใครรู้ว่ามีลูกหลานคนนี้ อย่างไรก็ดีเอี่ยกังตั้งใจจะเลี้ยงดูรุ่งให้สุขสบายสืบไป ให้ไม่ต้องปากกัดตีนถีบ เป็นคุณหนูคนหนึ่งของตระกูล พอถึงเวลาก็ค่อยหาแม่สื่อมาดูตัว เลือกคู่ครองดีๆ ให้แต่งงานไป ถึงอายุอานามรุ่งจะพ้นวัยขายดี แต่หน้าตาผิวพรรณดีเช่นนี้ เมื่อพ่วงกับสินติดตัวเจ้าสาวมากมายจากเขาแล้ว ย่อมหัวกระไดไม่แห้ง แม่สื่อยกโขยงมาดูตัวกันอย่างมากมายแน่นอน

…เขานี่ช่างกตัญญูรู้คุณเสียจริง

รุ่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาเบาๆ

“มิต้องย้ำก็รู้ว่าเราหาได้ร่วมสายเลือด หาต้องเอ่ยออกมาบ่อยๆ” ตลอดเวลาที่ผ่านมารุ่งใช้ชีวิตอย่างรื่นเริง หลายครั้งเธอก็หลอกตัวเองว่าเรื่องราวที่สร้างมาหลอกผู้คนในระหว่างที่เอี่ยกังเร้นกายนั้นเป็นเรื่องจริง

เธอเป็นน้องสาวที่ขยันขันแข็ง มีเขาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่

แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่อาจเป็นจริงไปได้ ที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็เป็นเพราะเธอเป็นคนบาปที่ไม่มีใครต้องการอยู่ดี

รุ่งรู้ว่าเอี่ยกังดูแลเธอเพราะเขาสำนึกในบุญคุณ หากไม่มีเรื่องนั้นแล้วเขาไม่มีวันให้เธอมาอยู่ด้วย รุ่งจึงพยายามทำมาหากิน ทำตัวให้มีประโยชน์ไว้เขาจะได้เห็นข้อดี และให้เธออยู่ด้วยไปนานๆ

“ไม่ใช่อย่างนั้นแม่รุ่ง” เอี่ยกังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง รู้สึกขันตนเอง ช่างเสียทีที่เป็นเสือผู้หญิง ปกติแล้วผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายโอนอ่อนผ่อนตาม คอยระวังตนไม่ให้พูดให้เขาผิดหู แต่เมื่ออยู่กับรุ่งแล้ว เรื่องกลับตาลปัตร

…แม่หญิงผู้นี้ก็กระไร เรื่องน่าตระหนกพูดออกมาได้หน้าตาเฉย เขาพูดนิดพูดหน่อยพาลน้อยใจเอาได้

…เห็นทีเขาต้องหาผัวที่ใจดี และอ่อนโยนเสียหน่อย

เอี่ยกังคิด นำธุระเรื่องการออกเรือนของรุ่งมาเป็นของตัวเองอย่างจริงจัง

“เช่นนั้นก็ยังดูงิ้วได้นะ” รุ่งที่ก้มหน้าจู่ๆ ก็สบสายตาเขาดวยประกายตาอันสดใส

เอี่ยกังที่กำลังคิดคำปลอบโยนอยู่รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังคิ้วกระตุก

“หลอกกันอีกแล้วรึ อ้าว จะหนีไปไหน มาให้อั๊วดีดหน้าผากเดี๋ยวนี้ แม่ตัวดี” ฉับพลันบรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่ก็อุ่นอวลไปด้วยความสดใส เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในเรือนไม้ที่แม้จะดูเก่าซอมซ่อ แต่ก็เป็นที่พักอันอบอุ่นสบายให้คนทั้งสองในยามนี้

“ใช่แน่ๆ” ชายคนหนึ่งที่ลอบสังเกตการณ์มานานเอ่ยกับตัวเอง ก่อนจะรีบรุดไปแจ้งข่าวสำคัญ

 

เชิงอรรถ : 

(1) ยุโรป

 



Don`t copy text!