บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี บทนำ : หวนบรรจบ

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี บทนำ : หวนบรรจบ

โดย : ตฤณภัทร

Loading

บางกอก ๒๔๑๘ วิกฤตการณ์รักร้ายของนายกระฎุมพี นวนิยายออนไลน์สนุกๆ โดย ตฤณภัทร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องราวของฮวง ลูกหลานชาวจีนที่กลายมาเป็นปลัดจีนผู้สร้างความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องชาวจีนในสยาม แต่แล้วเขาก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่มาพร้อมเรื่องรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์สำคัญของสยาม

สายฝนเริ่มโรยตัวลงมาอย่างบางเบา ทำให้อากาศเย็นขึ้นและมีความขมุกขมัวอยู่โดยรอบ นั่นคล้ายจะทำให้บรรยากาศหม่นหมองที่มีนั้นทวีความอึมครึมเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าไปหลบในชายคาของปีกด้านซ้ายของคฤหาสน์จีนหลังใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องประกอบพิธีการ ที่ซึ่งหญิงสาวเพิ่งเข้าไปเคารพผู้วายชนม์เมื่อสักครู่ แม้ว่าวาดยังคงอยู่ในอาการสำรวม แต่เธอก็อดมองชื่นชมลายฉลุของไม้ไม่ได้ มันถูกทาสีแดงอยู่ติดกับส่วนหลังคาล้อมเป็นกรอบของส่วนชายคา แม้จะไม่ได้ชดช้อยเท่าลายอย่างที่คนสยามคุ้นชินแต่ก็เอ่ยได้อย่างเต็มปากว่าศิลปะจีนนี้ก็ดูงดงามทีเดียว เมื่อมองไปตามช่องของไม้จะพบกับเกลียวเมฆและฟ้าสีทึม วาดมองเม็ดฝนอย่างเงียบงัน ยังดีที่ปีกและทางเดินที่เชื่่อมเก๋งจีนแต่ละหลังเอาไว้มีหลังคา ไม่เช่นนั้นวาดและผู้ร่วมงานคนอื่นก็อาจจะเปียกปอนได้

วาดรู้สึกไม่ใคร่จะคุ้นเคยกับประเพณีงานศพของพวกจีนนัก หญิงสาวจึงลอบมองพิธีการ และการปฏิบัติของผู้คนที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำเพื่อไว้อาลัย และส่งคนตายไปสู่สุคติอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

ประการแรกวาดสังเกตเห็นว่าการแต่งกายของผู้คนในงานนั้นแตกต่างกับงานศพของคนสยาม ด้วยประเพณีการจัดงานศพของผู้คนในสยาม ผู้ร่วมงานจะนุ่งห่มด้วยสีอย่าง ขาว ดำ ม่วง หรือน้ำเงินแก่

นุ่งห่มสีขาวเมื่อผู้ร่วมงานศพนั้นมีอายุที่อ่อนกว่าผู้ตาย นุ่งห่มสีดำเมื่อเป็นงานศพของผู้ที่อ่อนเยาว์กว่า สีม่วงแก่หรือสีน้ำเงินนั้นบอกได้ว่าผู้ร่วมงานผู้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ตายทางสายเลือด หรือนุ่งดำห่มขาวที่ท่อนบนที่แสดงความเป็นสหายสนิท ประเพณีนี้ทำให้รู้ได้ทันทีว่าใครเกี่ยวข้องกับผู้ตายเช่นไร

สำหรับงานศพของพวกแต้จิ๋วแม้ว่าการแต่งกายของลำดับญาติของผู้ตายจะมีความแตกต่างหากแต่วาดนั้นก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร เพียงแต่สังเกตว่าการใช้สีของชุดไว้อาลัยนั้นก็มีความเรียบง่าย โดยใช้สีขาวเป็นหลัก มีการโพกผ้าหรือสวมหมวก บางคนก็คลุมด้านนอกด้วยผ้ากระสอบ

สายฝนบางๆ ที่โรยตัวเชื่องช้าค่อยๆ ซาลง พร้อมกับการมาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังสาวเท้าเข้ามาหาหล่อน

หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้บุรุษผู้เป็นคู่ชีวิตของผู้ตาย

ไม่ใช่เพราะวาดดูออกจากเครื่องแต่งกายแต่อย่างใด หากแต่เพราะเป็นเขา

ฮวง…พี่ลม

“ฉันไหว้จ้ะ”

ฉั่วไหฮวง ผู้เป็นเจ้าบ้านมีทีท่าคล้ายชะงักไปชั่วครู่ จากทีท่าที่แม้จะเต็มไปด้วยมารยาทอันงาม แต่ก็เหินห่าง ทว่าครู่ต่อมาชายหนุ่มก็กลับมาวางสีหน้าสงบนิ่งอย่างที่ควร

…นั่นสินะแม่วาด เราทั้งคู่ต่างไม่เหมือนเดิมแล้ว

“ขอบใจหม่อมนะขอรับที่มา” เขาเอ่ยอย่างสุภาพ ก่อนจะทำหน้าฉงนราวกับการที่วาดมายืนอยู่ตรงนี้แต่เพียงผู้เดียวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น

วาดมองอาการของเขาออกจึงตอบออกไป “พี่โนรีขอตัวไปคุยในครัวได้สักครู่แล้ว ส่วนคุณพี่ฤทธิ์นั้น เห็นว่าเจอผู้ใหญ่ที่รู้จักจึงไปพบปะจ้ะ”

“อ้อ” ลมเข้าใจ เขาได้พบกับสหายลูกครึ่งฝรั่งคนงามแล้วเช่นกัน โนรีกับผู้คนที่นี่นั้นนับว่าสนิทสนมจึงไม่แปลกที่หญิงสาวมีเรื่องต้องคุยกับใครหลายคนอยู่บ้าง

…หนึ่งในนั้นย่อมเป็นมารดาของเขา และคงไม่พ้นธุระเรื่องการหาเมียใหม่

นางเหมียวกิมอยากมีหลานใจจะขาด หลายปีมานี้เขาและซิ่วลั้งผู้เป็นเมียไม่สามารถทำอย่างที่มารดาต้องการ นางเองก็เคยขอกับซิ่วลั้งเรื่องที่จะให้ฮวงมีเมียเพิ่ม ซิ่วลั้งเองก็เต็มใจ ทว่าสุดท้ายไม่อาจขัดใจฮวงได้

…ที่เขาแต่งงานครั้งแรกนั่นก็ถือเป็นการแสดงความกตัญญูสูงสุดแล้ว

ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศอยู่ชั่วครู่ ราวกับว่าชายหญิงทั้งสองไม่ทราบว่าควรจะเอ่ยคำใดต่อกัน

…ผ่านมาแปดปีแล้ว ที่เส้นทางของทั้งสองที่เคยคล้ายจะบรรจบ กับแยกสายราวกระแสธารที่ต้องไหลเอื่อยไปยังทางของตน มาพบกันครั้งนี้ ทั้งสองจึงรู้สึกประดักประเดิดไม่น้อย

วาดหลุบตามองที่ปลายเท้าตนอย่างที่สตรีพึงกระทำ เพราะเธอไม่ควรจะสบตาบุรุษนานนัก ด้วยโดนเลี้ยงดูมาแบบคนสยามแท้ๆ ที่มีชาติมีตระกูล หญิงสาวจึงต่างจากโนรีที่สามารถจ้องตา สนทนากับฮวงได้อย่างถึงพริกถึงขิง ราวกับเป็นสหายผู้ชาย ยิ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วความสนิทสนมยิ่งล้ำลึกเสียจนเขาเคยคิดเกินเลยกับโนรี ทว่าเขายังมิทันจะได้บอกความนัย เพื่อนสนิทก็ถูกโปลิศจับทั้งตัวทั้งใจไปเสียฉิบ ทำเอาเขานั้นชอกช้ำอยู่นาน

…จนกระทั่งได้มาเจอกับวาด

ทว่าเวลาก็แสนสั้นและวาสนาของคนทั้งสองก็สะบั้นลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเวลาผ่านคนทั้งสองก็เปลี่ยนสถานะไปมากเหลือเกิน ลมพิศมองวาด สาวน้อยไร้เดียงสาในวันวานคนนั้นที่เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงาม ทั้งรูปลักษณ์ และกิริยาชดช้อยของเจ้าหล่อน ทำให้เป็นที่สังเกตของคนในงานไม่น้อย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจ ยังคงรักษากิริยาไว้ได้ไม่บกพร่อง

…งดงามจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหญิงม่าย

“เสียใจด้วยนะ…คุณฮวง” วาดเลือกจะเรียกชื่อภาษาแต้จิ๋วของเขาอย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยคำแสดงความเสียใจ “คุณซิ่วลั้งไม่น่าอายุสั้นเลย”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมีย

…นั่นสินะอาลั้ง ทำไมลื้อถึงรีบไปนักนะ

วาดลอบมองรอยยิ้มของเขา จับได้ถึงกระแสความเศร้า อีกทั้งร่องรอยที่แสดงถึงการตรากตรำและความอ่อนล้า เธอคิดว่าเขาคงต้องผ่านอะไรมามากพอสมควร ข่าวมรณกรรมของผู้เป็นเมียซึ่งเป็นคดีที่ครึกโครม ไหนจะยังเรื่องการหายตัวไปของผู้เป็นน้องชายที่จนป่านนี้ยังหาตัวไม่พบ

…พร้อมทั้งข่าวลือที่น่าตกใจหลายเรื่อง

“ขอรับ หม่อม” ทั้งที่ควรจะชินกับคำเรียก ทว่าวาดกลับรู้สึกแปลกๆ นักจึงอดไม่ได้ที่จะช้อนตาขึ้นมองคู่สนทนา และแปลกใจที่เธอพบว่าแววตาของเขานั้นคล้ายจะผ่อนคลายลงชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปเป็นแววตาของท่านเจ้าสัวหนุ่มที่เยือกเย็นอีกครั้ง ลมเรียกบ่าวของเขา สั่งการบางอย่าง สักครู่บ่าวคนนั้นก็กลับมาพร้อมตะกร้าใบใหญ่ ชายหนุ่มรับมา มองหาของ ก่อนจะยื่นส้มสองลูกและด้ายแดงหนึ่งเส้นให้แก่วาด

วาดมองสิ่งของในมือที่รับมาจากเจ้าภาพก่อนถามอย่างสนใจ “เป็นธรรมเนียมหรือจ๊ะ”

ฮวงเปิดยิ้มเมื่อเห็น ‘เค้า’ ของคุณหนูวาดเมื่อวันวานยามที่หญิงสาวเจอสิ่งที่กำลังสนใจ ก่อนจะอธิบาย

“เป็นการแสดงความขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานน่ะขอรับ พวกเราเรียกส้มว่า ‘ไต้กิก’ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าโชคดี เป็นการอวยพรแก่ผู้มาร่วมงาน ส่วนด้ายแดงนั้น…” เขาหยุดมองด้ายแดงในมือครู่หนึ่ง ก่อนเล่าต่อ “หนึ่งเส้นบอกสถานะ ว่าพ่อแม่หรือคู่ผัวตัวเมียของผู้ตายยังมีชีวิตอยู่น่ะขอรับ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” วาดคลายสงสัย และเห็นว่าประเพณีของพวกจีนนั้นก็มีความละเอียดอ่อน และให้เกียรติแก่ผู้วายชนม์ไม่ต่างจากคนสยาม

“นายท่านเจ้าคะ” เสียงหญิงสาวที่มีกังวานไพเราะดังขึ้น

ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวผิวขาวผ่องราวกับไข่มุก ผู้เป็นเจ้าของดวงหน้างดงาม ที่วาดไม่แปลกใจเลยเมื่อทราบว่าแชซิ่วผู้นี้คือหญิงงามที่บุรุษในพระนครต่างเลื่องลือในความงามและอยากได้มาครอบครอง ทว่าไม่อาจทำได้

…เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า แชซิ่วนี่เองที่เป็นเมียน้อยของฮวง

“อาซิ่ว ว่าอย่างไร” ฮวงทักด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ อาจเป็นเพราะมีวาดอยู่ในวงสนทนา และงานนี้เป็นงานไว้ทุกข์ ท่าทีของฮวงกับแชซิ่วจึงไม่ได้สนิทชิดเชื้ออย่างที่วาดคาดว่าจะได้เห็น

“มีข่าวมาเจ้าค่ะ” เธอว่า หลีกเลี่ยงที่จะบอกเรื่องราวต่อหน้าบุคคลที่สาม

“อ้อ” นายท่านของแชซิ่วรับคำ

“เห็นทีว่าฉันคงต้องขอตัว” เพราะดูเหมือนฮวงกำลังมีธุระสำคัญวาดจึงเอ่ยปากขึ้นก่อนตามมารยาท

ฮวงค้อมหัวให้วาดเล็กน้อยแล้วเดินเคียงคู่กับดรุณีผู้งดงามผู้นั้นไปทางอาคารบริเวณปีกขวา

“มาอยู่เสียที่นี่เอง พี่ขออภัยเถิดน้องวาด พี่คุยติดพันเหลือเกิน” เสียงสดใสที่มาพร้อมวงหน้างดงามอย่างลงตัวจากส่วนผสมของชาติสยามและฝรั่งผิวขาว เรียกความสนใจของวาดทันที

“พี่โนรี มาแล้วหรือเจ้าคะ”

โนรียิ้มรับ รู้สึกผิดไม่น้อยที่ปล่อยให้น้องสาวต้องอยู่คนเดียวในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เพราะมัวแต่เสียเวลาปลอบมารดาของสหายสนิทที่เอาแต่พร่ำพรรณนาเรื่องที่ไร้ทายาทของผู้เป็นลูก ซ้ำเมียของลูกยังมาตายอย่างอนาถอีกด้วย

…ไม่นับข่าวซุบซิบที่ฟังแล้วสงสารคนตาย ฟื้นมาแก้ตัวก็ไม่ได้ เรื่องราวผ่านปากต่อปากใส่สีตีไข่คนแทบไม่รู้แล้วว่าอะไรจริงอะไรเท็จ

“พวกเราก็เคารพศพแล้ว เสียแต่น้องวาดยังไม่ได้เจอเจ้าภาพเลย” โนรีว่า

“เจอแล้วเจ้าค่ะ” วาดว่า พร้อมแสดงส้มและด้ายแดงให้อีกฝ่ายดู

“อ้อ เป็นอย่างไรเล่า ไม่เจอกันนานโข เจ้าลมนั้นเปลี่ยนไปมากไหม” หญิงสาวลูกครึ่งสอบถามความคิดเห็น เธอมักเรียกขานฮวงด้วยชื่อสยามของเขาเพราะชินที่เรียกมาตั้งแต่เด็ก

วาดเองก็เคยเรียกขานเขาด้วยชื่อนั้นเมื่อนานมาแล้ว

วงหน้าคมสันของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไปปรากฏขึ้นในความคิดคำนึงของวาดอีกครั้ง ตั้งแต่ไหนแต่ไรสำหรับวาดแล้วฮวงคือชายที่มีใบหน้าหล่อเหลา แม้จะมีอายุที่เพิ่มขึ้นจากหลายปีก่อนที่พบเจอแต่กลับทำให้ยิ่งดูดีมีราศี แม้จะดูอิดโรยทว่าเขาก็ยังดูเป็นคนที่เปี่ยมพลัง แม้ว่าเขาจะพูดจานุ่มนวลอย่างพวกนักปราชญ์ แต่ก็ดูเด็ดขาดน่าเชื่อถือ สมกับที่เป็นผู้นำคนมากมายในปัจจุบัน

“คนก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา” วาดตอบคำถามของโนรีในที่สุด เกิดความเงียบระหว่างทั้งสองครู่หนึ่งก่อนที่วาดจะตัดสินใจเอ่ยกับผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องว่า

“พวกเรากลับกันเลยดีหรือไม่”

โนรีไม่ขัดข้อง จึงจับจูงหม่อมสาวไปหาผู้เป็นสามีที่เดินมาสมทบ และแจ้งเจตจำนงให้ทราบ

“เอาเช่นนั้นก็ได้ ลูกของพี่ก็คิดถึงน้าวาดไม่น้อย ขอยืมตัวไว้ที่เรือนสักพัก หวังว่าคนที่วังคงไม่ว่าดอกนะ” ฤทธิ์ว่า พลางยื่นมือเพื่อจับจูงเมียสาว แม้ว่าบัดนี้เขาจะเป็นหนุ่มใหญ่อายุเกือบห้าสิบปีแต่วาดก็มองว่าคุณพระนอกราชการผู้นี้ยังคงสง่าราศีเช่นเดิมนั่นเอง ที่เพิ่มเติมมาก็คือความอ่อนโยนที่เขามีให้แก่ผู้เป็นเมีย

วาดยิ้มรับ เป็นอันว่าไม่ขัดข้อง

ลูกพี่ลูกน้องสาวเดินเคียงคู่ โดยมีฤทธิ์เดินตาม ทั้งหมดหันหลังให้คฤหาสน์จีนอันแสนโอ่อ่าที่วาดคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้มีโอกาสมาอีก คล้ายกับชะตาของเธอกับลมที่พบกันเพียงครู่และต้องจากกันยาวนาน และไม่แน่ว่าครั้งนี้ทั้งคู่อาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าบางครั้งชะตาเบื้องบนก็มักไม่ปล่อยให้เรื่องราวนั้นได้เป็นไปอย่างที่คิด

การกลับมาพบกันของคนทั้งสองอีกครั้งนั้นใช้เวลาไม่นานนัก

…เรียกได้ว่า จะได้เจอกันบ่อย บ่อยมากจนเป็นอาจิณ

…และโชคชะตาของทั้งสองได้เกี่ยวโยงกันจนแทบแยกไม่ออกเลยทีเดียว



Don`t copy text!