บ่วงเวรา บทที่ 6 : แก้ต่าง

บ่วงเวรา บทที่ 6 : แก้ต่าง

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

บ่วงเวรา นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓  โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ กับเรื่องราวของวังวนความรักและความแค้น ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สาสม แล้วความรักจะเยียวยาใจแก้ไขความแค้นได้จริงหรือ…อ่านเอาขอเชิญทุกท่านร่วมเพลิดเพลินไปกับนวนิยายพีเรียดสุดเข้มข้นเรื่องนี้ที่ anowl.co

ลางสังหรณ์ของนางเภาเป็นจริงในบ่ายของวันนั้นเอง เมื่อออกขุนอินทรเทพเหยียบเรือนของนางเภาได้แล้วก็สั่งให้ไพร่พลที่ติดตามมานั้นจับกุมผู้ชายไปรวมกันไว้ที่ลานหน้าเรือน ส่วนผู้หญิงก็นำไปรวมกันไว้อีกที่หนึ่ง ออกขุนอินทรเทพสั่งการอย่างเฉียบขาด สุขุมและเป็นธรรม เขาได้รับคำสั่งจากพ่ออยู่หัวมาโดยตรงให้มาจัดการสะสางปัญหาที่นี้

“แม่นายของพวกมึงเล่า” ออกขุนกล่าวถามขึ้นเมื่อเดินทางถึงหอกลางของเรือน เขาได้รับการรายงานว่า แม่นายเภาและหลานชายหนีตามอ้ายแม้นคนทรยศออกจากพระนครไปแต่เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมาแล้ว

เมื่อวันวาน พันยงรณรายที่ติดตามนายแม้นไปในกองเสือหมอบแมวเซาเพื่อไปสืบข่าวศึกยังกรุงยโสธรปุระ ลากสังขารที่สะบักสะบอมกลับมา อาการสาหัสอยู่ไม่เบา เขาแจ้งข่าวต่อนายเวรว่านายแม้นทรยศต่อศรีอโยธยาไปเข้าด้วยกรุงยโสธร กองเสือหมอบแมวเซาที่ตามไปล้วนถูกทหารยโสธรปุระฆ่าเสียสิ้น นายแม้นไปเข้าด้วยยโสธรปุระคราวนี้น่าจะนำความลับของอโยธยาไปแจ้งแก่กรุงยโสธรเป็นแน่ เมื่อแจ้งข่าวแล้วเขาก็หมดสติไป

อนิจจา เพียงไม่กี่ชั่วยามหมอผู้พยาบาลอาการของพันยงรณรายก็มาแจ้งข่าวว่า พันผู้นั้นได้ถึงแก่กาลแตกดับเพราะพิษบาดแผลไปเสียแล้ว

พ่ออยู่หัวสดับข่าวที่ขุนนางทูลก็พิโรธหนัก พระเยาวราชทูลว่าเรื่องยังคงมีเงื่อนงำประหลาด นายแม้นไม่น่าจะทำการใหญ่โดยไม่ห่วงคนข้างหลัง เพราะทั้งมารดาและลูกยังอยู่ที่อโยธยา หากเขาคิดเป็นอื่นทั้งสองจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างหนัก เขาไม่น่ากระทำการที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้

ออกญายมราชได้ฟังคำแก้ต่างของพระเยาวราชก็รีบทูลโต้แย้งว่า เพราะตนไม่ไว้ใจนายแม้นมาตั้งแต่ต้น จึงวางกำลังของตนไว้สอดแนมดูความเคลื่อนไหวของเรือนนายแม้น วันวานคนของตนได้รายงานว่ามีชายลึกลับขึ้นไปพบปะคนบนเรือนในยามดึก หลังจากชายคนนั้นลอบลงเรือนหายไปไม่นาน นางเภาพร้อมหลานก็ได้ลงเรือหนีไปในยามดึก…

‘ข้าพระพุทธเจ้าได้ส่งคนติดตามสองย่าหลานนั้นไปแล้ว ขอพระอนุญาตกลับลงไปอโยธยาเพื่อตามกุมตัวมารดาและบุตรของอ้ายแม้นมาลงโทษให้สาสมกับความผิดที่มันกระทำ…’

พ่ออยู่หัวแม้จะทรงเอนเอียงไปทางเชื่อว่านายแม้นทรยศเป็นอื่น แต่ด้วยความที่ทรงสุขุมรอบคอบมาแต่ไหน ทั้งที่รู้ว่าออกญายมราชนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาแต่เดิมของนายแม้น จึงทรงให้คนกลางอย่างออกขุนอินทรเทพตามลงไปจัดการสะสางปัญหา พร้อมทรงมีพระราชบัญชาว่า จัดการตามสมควรแก่เหตุ

 

เสียงเปิดประตูดังมาจากเรือนหลังหนึ่ง นางเภาจูงมาศออกมาจากห้องนั่น แล้วกล่าวขึ้นว่า “ออกขุนท่านมีกิจอันใดหรือเจ้าคะ”

สีหน้าของออกขุนอินทรเทพแสดงความประหลาดใจ ไหนข่าวจากออกญายมราชว่านางเภาและหลานชายหนีหายไปแต่เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เหตุไฉนนางจึงยังอยู่เล่า…

ไม่ทันที่ออกขุนอินทรเทพจะจัดการสิ่งใดต่อ ออกญายมราชก็รีบร้อนขึ้นเรือนของนางเภามา

“กุมตัวอีเภาและหลายชายของมันไว้บัดเดี๋ยวนี้” ออกญายมราชออกคำสั่งทันทีที่เห็นนางเภาและมาศยืนอยู่กลางเรือน

ออกขุนอินทรเทพนิ่งพิจารณา แล้วถามความที่ตนกังขา “ท่านออกญายมราชขอรับ ท่านกราบทูลพ่ออยู่หัวว่านางเภาและหลานได้หนีตามนายแม้นออกไปจากพระนครแล้ว เหตุใดนางยังอยู่ที่นี่ได้ล่ะขอรับ”

ออกญายมราชนิ่งอั้น ในใจอยากใช้อำนาจที่ตนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่กว่าขู่ลู่บังคับให้ออกขุนอินทรเทพผู้นี้วางมือเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ติดที่ออกขุนผู้นี้ได้รับรับสั่งมาโดยตรง อีกทั้งออกขุนอินทรเทพสั่งกัดกรมพระตำรวจหลวงขึ้นตรงต่อพ่ออยู่หัว ย่อมเป็นการยากที่ตนจะใช้อำนาจบังคับเอา จึงกล่าวหว่านล้อมว่า

“ในท้องพวกเชื้อเผ่ากัมพุชนี้ดั่งมีเคียวอยู่เจ็ดเล่ม มากเล่ห์เพทุบาย มันคงเห็นว่าน่าจะหนีไปไม่รอดเพราะมีคนของกระผมวางกำลังดักไว้ จึงเผ่นกลับมารับหน้า ทำทีแก้สงสัยว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดด้วย กระผมเห็นว่าควรจะการสำเร็จโทษมันเสียทั้งเรือน จะได้ไม่เป็นเสี้ยนหนามต่อพ่ออยู่หัว ใครจะไปรู้อ้ายแม้นมันอาจวางแม่มันเป็นหมากสำคัญไว้ค่อยส่งข่าวความลับของเราไปให้มันก็ได้…”

นางเภาเริ่มเข้าใจอะไรแจ่มชัดขึ้น แต่ก็แสร้งถามเพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด จะได้รับมือต่อไป “นี่มันอะไรกันเจ้าคะท่านออกขุน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ออกขุนอินทรเทพฉุกใจได้บางอย่างว่าน่าจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากล จึงกล่าวกับนางเภาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น โดยเล่าเหตุการณ์ที่พันยงรณรายบาดเจ็บสาหัสกลับมาและโจทย์ขึ้นว่านายแม้นทรยศไปเข้าด้วยกรุงศรียโสธรปุระ ทางฝ่ายออกญายมราชก็ทูลว่าสองย่าหลานได้ลอบหนีออกไปจากพระนครเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา จึงดำรัสตรัสใช้ให้เขาเดินทางลงมาตรวจสอบความจริงและเร่งจัดการปัญหาให้เรียบร้อย

เมื่อปะติดปะต่อกับเหตุการณ์เมื่อคืน นางเภาก็ตระหนักได้ว่านี่คงการเป็นวางแผนคิดกำจัดนางทั้งบ้านเป็นแน่ หากเมื่อคืนนางใจเร็วหนีออกไปตามที่ชายปริศนาผู้นั้นมาแจ้งข่าว ก็ย่อมเท่ากับเป็นการยอมรับว่าลูกชายนางทรยศต่อพ่ออยู่หัวและศรีอโยธยาจริง เพียงเท่านี้ครอบครัวของนางก็จะพังพินาศไปสิ้น…ส่วนลูกชายของนางคงไม่พ้นประสบเคราะห์ใหญ่หลวงไปแล้ว ไม่แน่บัดนี้ร่างอาจจะถูกกลบฝังอำพรางเสียกลางป่าแล้วก็เป็นได้

แต่ถึงแม้จะเศร้าโศกสงสารบุตรชายคนเดียวของตัวเองเท่าไร แต่นางเภาก็ดึงสติเร่งเค้นความคิดเอาตัวรอดจากเหตุเภทภัยนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เหตุการณ์นี้ครอบครัวของนางจะผ่านไปได้โดยไม่ได้รับผลกระทบอะไร เอาเถิดรักษาชีวิตของตนและหลานน้อยไว้ให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยหาทางแก้ไขเอาภายหน้า

“ท่านออกขุนเจ้าขา…เรื่องพ่อแม้นนั้นสุดปัญญาที่ฉันจะชี้แจง แต่ฉันเอาชีวิตและเกียรติของวงศ์ตระกูลของฉันที่จงรักภักดีต่อพ่ออยู่หัว ตั้งแต่ต้นตระกูลของฉันและสามีโดยเสด็จเจ้านายนิวัติอโยธยา ก็สำนึกตัวว่าเป็นข้าแผ่นดินอโยธยา รับใช้พ่ออยู่หัวทุกแผ่นดินด้วยความซื่อตรงจงรัก…ท่านออกขุนก็น่าจะทราบว่า ตระกูลของเราแม้หมายจะรับราชการก็คงไม่ยากเกินไปนัก แต่พวกเรารักชีวิตที่สงบสุข จึงเลือกที่จะหากินด้วยงานช่าง พ่ออยู่หัวโปรดปรานฝีมือก็ดำรัสตรัสใช้ให้ซ่อมให้สร้าง พวกเราก็ลงมือทำถวายมิได้เกียจคร้านหมางเมิน เท่านี้ไม่เพียงพอจะพิสูจน์หรือเจ้าคะว่าพวกเราไม่คิดเป็นอื่นต่อพ่ออยู่หัว ต่อศรีอโยธยา” นางเภาพร่ำพรรณนาชักจูงใจออกขุนอินทรเทพให้คล้อยตาม

“ฮึ! มึงไม่ต้องมาตีฝีปากฝากสำนวนอีเภา หลักฐานมันประจักษ์ชัดว่าลูกมึงมันเป็นกบฏ”

“ไหนล่ะหลักฐาน” นางเภาทวงถามขึ้น

“พันยงรณรายนั้นไงคือหลักฐาน…”

“แค่คำพูดจะเชื่อได้ล่ะหรือ” นางเภาหันไปกล่าวแก่ออกขุนอินทรเทพว่า “ฉันและหลานยินดีตามท่านออกขุนขึ้นไปพิจารณาความ ซักค้านกับพันยงรณรายที่เมืองพระพิษณุโลกเจ้าค่ะ”

ออกขุนอินทรเทพส่ายหน้า “พันยงรณรายสิ้นใจหลังมาแจ้งข่าวได้ไม่นาน”

นางเภานิ่งคิดเร่งหาทางออกใหม่ อย่างน้อยถ่วงเวลาไว้ให้ได้มากที่สุดเป็นดี นางสอได้สั่งให้บ่าวสองคนที่ออกไปสืบความแต่เมื่อคืน เร่งเดินทางออกไปสืบความของนายแม้นที่ชายแดนพระราชอาณาจักรศรีอโยธยากับศรียโสธรปุระ หากเจ้าสองคนนั้นได้ความอันใดมา นางก็อาจพลิกผันเรื่องร้ายให้กลับดีขึ้นมาได้บ้าง

ออกญายมราชเห็นนางเภานิ่งไปก็ยิ่งรุกหนัก เปลี่ยนเรื่องมาโจมตีที่ตัวนางและหลายชายโดยพลัน

“มึงจะโยกโย้อยู่ไย การที่มึงลอบหนีออกไปจากเรือนเมื่อกลางดึกแล้ววกกลับมาในยามเช้า ก็เป็นเครื่องหมายบอกแล้วว่า มึงสมรู้ร่วมคิดกับอ้ายแม้นทรยศต่อพ่ออยู่หัว แต่มึงรู้ตัวดีว่าหนีไม่รอดเพราะคนของกูจุกช่องไว้หมดแล้ว…มึงจึงกลับมาเรือนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกลบเกลื่อนแก้สงสัย”

นางเภาผู้เจนโลก สบช่องหาทางรอดตัวได้จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านออกขุนเจ้าขา ทั้งฉันและพ่อมาศหาได้ออกจากเรือนนี้เลยตั้งแต่วานซืนนี้ หากท่านสงสัยจงให้คนของท่านไปสืบถามคนในละแวกนี้และใกล้เคียงดูเถิดว่าเห็นฉันออกจากเรือนไปไหนหรือไม่ อันหนึ่งจากเรือนของฉันไม่ว่าจะไปทางน้ำหรือทางบก ย่อมผ่านบ้านคน และป่าสินค้าหลายแห่ง ฉันเองเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาในระแวกนี้ แม้จะอำพรางตนก็ยังต้องมีคนจำได้ ท่านเร่งให้คนไปสืบถามดูเถิดเจ้าค่ะ”

ออกขุนอินทรเทพพยักหน้าทำนองใช้คนสนิท คนสนิทนั้นรับคำสั่งแล้วเดินหายออกไป

เมื่อเห็นว่าออกขุนอินทรเทพไม่ปักใจเชื่อทั้งสองฝ่าย นางเภาก็โล่งใจว่าออกขุนผู้นี้ไม่ได้เข้าร่วมเป็นพรรคพวกของออกญายมราชศัตรูของตน นางเห็นทางรอดมารำไร นางจึงตีเข้าจุดสำคัญที่นางเห็นว่าเป็นช่องพิรุธในปากคำของออกญายมราช

“อีกประการฉันว่าคำพูดของออกญายมราชไม่เห็นสม…พันยงรณรายกลับมาทูลความต่อพ่ออยู่หัวเมื่อวันวาน แต่เพียงค่ำท่านก็ให้คนมาเฝ้าที่เรือนฉันไว้แล้ว จากพระพิษณุโลกล่องเรือฝีพายเร็วมายังอโยธยา ต้องใช้เวลาหนึ่งวันกับอีกคืนโดยไม่พัก แต่เหตุใดเพียงแค่พันยงรณรายแจ้งความว่าลูกข้าคิดเป็นอื่น ท่านก็สามารถสั่งให้คนมาจับตาและจุกช่องดักทางข้าได้ทันที…หรือท่านทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว”

สิ่งที่นางเภากล่าวเป็นสิ่งที่ออกขุนอินทรเทพก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ แม้ใจเขาจะเอนเอียงไปทางว่านายแม้นนั้นเป็นกบฏ แต่พฤติกรรมของออกญายมราชก็แสดงให้เห็นข้อพิรุธหลายประการ ว่าเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลแฝงเร้นอยู่

ฝ่ายออกญายมราชสังเกตเห็นความลังเลสงสัยของออกขุนอินทรเทพ เขาตระหนักดีว่าออกขุนอินทรเทพจงรักภักดีต่อพ่ออยู่หัวยิ่งนัก เหตุอันใดจะทำให้เกิดความระเคืองเบื้องพระยุคลบาท ออกขุนจะรีบจัดการให้สิ้นซากไปทันที เขาจึงรีบกล่าวกระตุ้นเตือนว่า

“เพียงแค่ลูกมึงหนีหายไปเช่นนี้ มึงก็ควรต้องโทษฟันคอริบเรือนเจ็ดชั่วโคตรแล้ว…หรือมึงต้องรอให้ลูกมึงนำพวกกัมพุชยกทัพมาตีอโยธยาก่อนกระนั้นหรือจึงจะยอมรับความผิด มึงคิดว่าพ่ออยู่หัวจะเลี้ยงมึงไว้ให้ส่งข่าวแก่พวกยโสธรกระนั้นรึ มึงเพ้อไปเถิด”

ออกขุนอินทรเทพรำลึกได้ในข้อนี้ หากนายแม้นเป็นกบฏแปรพักตร์ไปร่วมกับพวกกัมพุชจริงเล่า จะละนางเภาและหลานไว้ย่อมเหมือนปล่อยเสี้ยนหนามให้เติบโต วันหน้าย่อมสร้างความรำคาญต่อพ่ออยู่หัวเป็นแน่ อีกทั้งขณะนี้พ่ออยู่หัวยังทรงมีราชกิจการศึกกับหัวเมืองเหนือ หากเกิดศึกด้านยโสธรปุระแล้ว ยังมีผู้ที่คิดว่าเป็นพวกแปรพักตร์อยู่ในอโยธยาย่อมต้องสร้างความลำบากเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เมื่อคิดได้ดังนี้ก็ดำริในใจว่ากันไว้ดีกว่าแก้ หากนายแม้นไม่ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับกัมพุชอย่างที่ถูกกล่าวหาจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมเก่าของพวกนางย่าหลานและบริวารก็แล้วกัน ที่ต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ

ขณะที่ออกขุนอินทรเทพกำลังจะกล่าวเอออวยเห็นด้วยกับออกญายมราช ลูกน้องคนสนิทก็กลับมารายงานว่า จากการไปตรวจสอบพบว่านางเภาและหลานไม่ได้ออกจากบริเวณของเรือนนี้หลายวันแล้ว และยังรายงานข่าวสำคัญอีกว่า คนของตนพบเรือของจางวางอู๋เร่งฝีพายมาทางเรือนนี้

ออกขุนสะดุ้งใจวาบ เขาลืมไปเสียสนิทว่านายแม้นนี้เป็นพระญาติข้างมารดาของพระเยาวราช ภรรยาของนายแม้นมีศักดิ์เป็นน้านางของสมเด็จพระองค์นั้น เป็นน้องสาวต่างมารดากับแม่หยัวศรีจุฬาลักษณ์ และนางยังเป็นราชนิกุลแห่งราชวงศ์พระร่วง ออกขุนอินทรเทพระลึกได้ว่าสายสัมพันธ์ฉันเครือญาติและพวกพ้องนั้นแน่นเหนียวและทรงอำนาจเพียงไร แม้แต่พ่ออยู่หัวเองก็มีพระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์จากราชวงศ์พระร่วง หากวันนี้เขาล่วงเกินคนในครอบครัวนี้ไปทั้งๆ ที่หลักฐานแสดงออกมานั้นยังซักฟอกกันไม่สิ้นสงสัย เห็นทีวันหน้าชีวิตเขาคงต้องประสบปัญหาใหญ่เป็นแน่

ทางเดียวคือกันตนเองออกจากปัญหานี้

“กระผมเห็นว่า การไม่ได้เป็นไปอย่างที่กระผมรับทราบมาแต่ต้น จะตัดสินใจให้เด็ดขาดนั้น กระผมยังไม่เห็นทาง กระผมตรองดูเป็นถนัดแล้วเห็นควรว่า จะต้องขึ้นไปกราบทูลมูลคดีทั้งหมดต่อพ่ออยู่หัวอีกครั้งว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร…ใต้เท้าเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ซ้ำยังเป็นเสนาบดีกรมเวียง ต้องดูแลความสงบเรียบร้อยในพระนคร ดังนั้นกระผมขอให้ท่านจัดการเรื่องนี้โดยเบื้องต้นตามสมควรก่อน รอกระผมกราบทูลแล้วทรงมีพระราชวินิจฉัยอย่างไรค่อยลงมาจัดการ”

ออกขุนอินทรเทพเห็นว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขา โดยจะไม่ต้องกระทบกระทั่งสร้างศัตรูกับฝ่ายใดเลยหากพ่ออยู่หัวละคนในเรือนนี้ไว้ แล้ววันหน้าเกิดเหตุเภทภัยใดที่มีคนในเรือนนี้เป็นสาเหตุ เขาก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ แต่หากพ่ออยู่ประสงค์ให้มล้างคนในเรือนนี้ เขาก็เป็นเพียงผู้รับคำสั่งเท่านั้นย่อมไม่สร้างศัตรูกับเจ้านายที่มีสายสัมพันธ์กับคนในเรือนนี้ และก่อนลงจากเรือนออกขุนอินทรเทพก็ไม่ลืมที่จะสร้างบุญคุณต่อคนในเรือนของแม่นายเภา เผื่อว่าคนในเรือนรอดพ้นเภทภัยครานี้ไปได้ จะได้ระลึกถึงคุณซึ่งอย่างเป็นประโยชน์ต่อเขาในภายหน้า

เขากล่าวกำชับว่า “ใต้เท้า กระผมขอย้ำว่าท่านสามารถจัดการเรื่องในเรือนนี้ได้ตามสมควร แต่ท่านยังไม่สามารถประหารใครๆ ก็ตามในเรือนนี้จนกว่ากระผมจะกลับจากกราบทูลพ่ออยู่หัวและทรงมีพระราชวินิจฉัยแล้วเท่านั้น”

 

ออกขุนอินทรเทพหาได้กลับขึ้นไปยังเมืองพระพิษณุโลกสองแควไม่ ด้วยการพายเรือทวนน้ำขึ้นไปใช้เวลาอย่างน้อยถึงสามวัน ทั้งไพร่พลที่เร่งพายเรือมาทั้งกลางวันและกลางคืนก็เหนื่อยล้าเต็มที ออกขุนจึงกลับไปพำนักที่สำนักของตนเอง แล้วจึงเขียนสารทูลความแต่ที่จำเป็นผูกขานกพิราบเพื่อส่งสาร

จากนี้ก็สุดแท้แต่เวรกรรมของคนเรือนนั้นเถิด

 



Don`t copy text!