บุษบาพยาบาท บทที่ 1 : หัวหน้าชนเผ่ากับหมอผี

บุษบาพยาบาท บทที่ 1 : หัวหน้าชนเผ่ากับหมอผี

โดย : ทอม สิริ

Loading

บุษบาพยาบาท โดย ทอม สิริ เรื่องราวปริศนาที่อยู่ๆ ผู้คนในหมู่บ้านรอบๆ โฮมสเตย์ที่หทัยชนิต อดีตพยาบาลเข้ามาช่วยดูแลทยอยเสียชีวิตลงเรื่อยๆ เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องบังเอิญหรือแผนฆาตกรรมของใครกัน สารวัตรกันตภณ ผู้มาเยือนในฐานะแขกของโฮมสเตย์จะช่วยหาคำตอบได้หรือไม่  นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

**************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

หทัยชนิตเหม่อมองลงไปยังหุบเขาด้านล่าง ภาพกลุ่มบ้านหลังเล็กๆ ประมาณยี่สิบกว่าหลังคาเรือนปลูกลดหลั่นเรียงรายเห็นหลังคาใบตองตึงบ้างสังกะสีบ้าง ทอดตัวไปตามหุบเขาที่อยู่ต่ำลงไปกว่า เฮือนธาร โฮมสเตย์ ของเธอ บ้านเล็กๆ เหล่านั้นซุกตัวอยู่ในกลุ่มต้นไม้ใบเขียวขจี ที่ในช่วงเวลานี้ของปีจะได้ฝนชะล้างกิ่งใบจนสดสะอาด

เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งลมตรงหน้าต่างบานใหญ่ดังประสานไปกับเสียงน้ำในลำธารเล็กๆ มวลน้ำใสเย็นไหลรินกระซิบกล่อมให้ได้ยินตลอดวันและคืนค่ำ เพราะลำธารเล็กๆ ขนาดเดินข้ามได้นี้ไหลผ่านเฮือนธารใกล้ชิดเสียจนเดินจากเรือนแค่ไม่กี่ก้าวก็ลงนั่งเล่นน้ำในลำธารได้เลย

เรือนหมู่เก่าแก่หลังใหญ่สร้างด้วยไม้สักหลังนี้ เป็นของ อุ๊ยคำแก้ว คุณยายของเธอ ซึ่งได้ยกเป็นของขวัญแต่งงานให้กับแม่และพ่อเธอแล้ว ทว่าท่านทั้งสองก็มาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุรถชน ทิ้งอุ๊ยคำแก้ววัยเจ็ดสิบกว่าไว้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เธอดูแลไปพร้อมกับเฮือนธารที่พวกท่านรักนักหนา

เมื่อหทัยชนิตต้องไปเรียนพยาบาลที่กรุงเทพฯ อุ๊ยและเธอคุยกันว่าจะเอาเรือนหลังนี้ทำโฮมสเตย์เพื่อสร้างรายได้เก็บไว้เป็นทุนการศึกษา ในเวลานั้นอุ๊ยคำแก้วยังแข็งแรง สามารถจัดการบริหารเฮือนธาร โฮมสเตย์ ได้อย่างสบาย เพราะทำเลที่งดงามและการจัดการที่ใส่ใจ เฮือนธารจึงกลายเป็นที่พักยอดนิยมอันดับต้นๆ ของทางเหนือเลยทีเดียว จนกระทั่งอุ๊ยถูกคนชั่วมันกลั่นแกล้ง ตอนนั้นละ ที่หทัยชนิตตัดสินใจกลับมาบ้านเกิดเพื่อจัดการปัญหาให้หมดไป

“ใครย่างไส้อั่ววะ หอมมาถึงนี่” เสียงศดิศา เพื่อนสาวของเธอพูดขึ้น พลางสูดลมหายใจสุดปอด ดึงความสนใจหทัยชนิตกลับมาจากเมฆหมอกของอดีต

หญิงสาวหัวเราะเพื่อน “ร้านข้างๆ นี่ไง อร่อยขึ้นชื่อเลย ว่าแต่แกนี่เป็นโรคแพ้อาหารจริงจังเลยนะ ไวมากถ้าเป็นเรื่องของกินเนี่ย ตะกละสุดๆ”

“ก็มันหอมโคตรๆ เลยอะ ได้ข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ มาอีกสักปั้นนะ ฉันยอมตาย” หญิงสาวเชิดหน้า สูดดมกลิ่นอาหารปิ้งย่างที่ลอยลมมา “นี่… ฉันละอิจฉาแกจริงๆ นะนิต ตื่นลืมตาขึ้นมาก็เจอวิวสวยทุกเช้า อากาศดี๊ดี อาหารก็อร่อยลำแต๊ๆ เจ้า มาอยู่อย่างนี้สุดแสนจะสบาย ไม่ต้องคอยวิ่งหนีตายกลางห้างเพราะคนบ้าไล่ยิงคนดี ไม่ต้องคาดหน้ากากตลอดเวลาเพื่อกันฝุ่นพีเอ็มสองจุดห้าหรือล้างมือราดแอลกอฮอล์จนหนังเปื่อยกันเชื้อหวัดโควิดสิบเก้า”

“ก็แกเป็นพยาบาล จะเลี่ยงได้ไงล่ะวะ” เธอพเยิดหน้าให้อีกฝ่าย

“ก็เลี่ยงด้วยการลาออกจากพยาบาลมาทำโฮมสเตย์เหมือนแกไงวะ ดีจะตาย เปิดรับหุ้นส่วนเมื่อไหร่บอกนะเว้ย เพื่อนจะพุ่งหัวมาทันที”

“อยู่กรุงชีวิตแสนจะสะดวกสบายนะเจ้า อยู่บ้านป่ามันจะเหงาๆ เจ้าจะทนได้หรือ ยิ่งช่วงนี้คนแทบไม่มี ค่ำลงก็กางมุ้งนอนกันแล้ว” อุ๊ยคำแก้วที่นั่งฟังสาวๆ คุยกันมานานพูดยิ้มๆ แม้ช่วงหลังท่านจะใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็น แต่อุ๊ยก็เป็นหญิงชราที่เข้มแข็ง ยังยิ้มได้ และตอนสาวๆ คงสวยไม่เบาทีเดียว เค้าความงดงามยังถ่ายทอดมาให้เห็นในวงหน้ารูปไข่ของหทัยชนิตผู้เป็นหลานสาว

“ใช่ มาเที่ยวแป๊บๆ น่ะ อะไรๆ มันก็ดูดีไปหมดละ เดี๋ยวแกก็กลับไปเดินช็อปปิง ดูหนัง ขึ้นรถไฟฟ้าลงรถใต้ดิน แต่ถ้าต้องอยู่แบบนี้เป็นปีๆ แกควรคิดให้ดีก่อนว่ามันใช่ทางแกหรือเปล่า เดี๋ยวจะมาร้องโหยหวนว่าเหงาจะแห้งตายแล้ว ฉันจะยันกลับกรุงให้เลยนะ”

“ฮ่าๆ ถ้างั้นขอคิดดูก่อนละกัน จะอดไม่ได้ก็เรื่องช็อปปิงกับซอกแซกหาของอร่อยกินนี่ละวะ” ศดิศาทำตาปริบๆ เมื่อนึกภาพตามที่เพื่อนกับคุณยายของเพื่อนบอก

“คุยอะไรกันอยู่ครับ สาวๆ” เสียงชายหนุ่มทัก ดังออกมาจากประตูห้องพักที่อยู่ติดกับลานบ้านชั้นสองซึ่งพวกเธอยืนคุยกันอยู่

“เก็บของเสร็จแล้วหรือคะหมอธิ” หทัยชนิตถาม เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาสมทบ

“เรียบร้อยครับ” เขายิ้มให้เธอ แววตาบอกชัดว่ารู้สึกอย่างไรกับหทัยชนิต

หมออธิป เป็นนายแพทย์หนุ่มเนื้อหอม รูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้าง เขามีดวงตายาวรีและผิวขาวละเอียดที่ขับให้รอยเคราสีเขียวจางๆ นั่นดูดีมาก หมออธิปทำงานในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ซึ่งหทัยชนิตเคยเป็นพยาบาล มาวันนี้เขาตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาลแห่งนั้น แล้วย้ายมาเป็นหมอในโรงพยาบาลที่นี่ โดยบอกเหตุผลกับใครๆ ว่า ผอ.สกล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเป็นญาติของเขาขอร้องให้มาช่วยงานที่นี่ เพราะโรงพยาบาลขาดแคลนแพทย์อย่างหนัก แต่ศดิศาเคยกระซิบบอกเธอว่ามันเป็นข้ออ้าง เหตุผลหลักนั้นเพราะใจสั่งมา แล้วเพื่อนก็ทำตาวิบวับใส่เธอ จนหทัยชนิตต้องเอื้อมมือออกไปหยิกหนึ่งที

“ข้าวของผมมีไม่กี่ชิ้น”

“อีกหน่อยข้าวของของหมอคงจะเยอะแยะค่ะ เชื่อศดิ” ศดิศาทำตาโตใส่หมอหนุ่ม

“ทำไมถึงเยอะล่ะครับ”

“ก็หมอจะเป็นพ่อลูกอ่อน มีลูกกับไอ้นิตเป็นพรวนเลยไงคะ ฮ่าๆ อุ๊ย…คุณหมอมีเขิน” ศดิศาหัวเราะหน้าหงายเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มหน้าแดง และหทัยชนิตยกนิ้วชี้เล็งเธอเหมือนยิงปืนใส่ คล้ายจะหมายหัวว่าเดี๋ยวแกโดนแน่

“ถ้าเก็บของเสร็จแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เธอเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งดูจะถูกใจเพื่อนสาว

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

“เอ๊ะ! เสียงอะไรน่ะ” หทัยชนิตเหลียวมองไปรอบๆ พยายามหาแหล่งเสียง

“ผมว่าเหมือนเสียงปืนนะ” หมออธิปย่นหัวคิ้ว พลางชี้มือออกไปทางทิศที่ได้ยิน “ดูเหมือนจะดังมาจากทางนั้น”

“ทางนั้นเป็นหมู่บ้านชนเผ่า” อุ๊ยคำแก้วซึ่งนั่งรถเข็นอยู่เป็นคนให้ข้อมูล หญิงชราเพ่งมองออกไปทางทิศนั้นเช่นเดียวกับทุกคน

“พวกเขายิงปืนกันทำไมคะอุ๊ย” ศดิศาหันมาถาม

“เท่าที่รู้ เขาจะยิงปืนเวลาที่มีคนตายในชนเผ่า”

“อ๋อ ใช่…อุ๊ยเคยบอกนิต” หทัยชนิตพยักหน้าเมื่อจดจำได้ ตั้งแต่เธอกลับมาอยู่กับอุ๊ย เคยได้ยินเสียงปืนอย่างนี้ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว “แต่ทำไมคราวนี้ยิงหลายนัดจังล่ะคะ”

“นั่นน่ะสิ อุ๊ยก็ไม่เคยได้ยินเขายิงปืนหลายนัดขนาดนี้ อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้” หญิงชรามีสีหน้าเป็นกังวล

“อุ๊ยคำแก้วครับ…อุ๊ยยย…” เสียงผู้ชายตะโกนเรียก

หทัยชนิตชะโงกหน้ามองลงไปด้านล่างตรงทางเดินใกล้กับลำธาร ซึ่งตอนนี้มีตำรวจในเครื่องแบบนายหนึ่งกำลังเงยหน้ามองขึ้นมา

“มีอะไรคะ คุณตำรวจ”

“ผมมาหาสารวัตรกันต์ครับ โทรเข้ามือถือแกไม่ติดเลย สงสัยจะปิดเครื่อง” ผู้หมวดผิวขาวหน้าจืดเหมือนจิ้งจกป้องมือไว้เหนือคิ้วที่ไม่ค่อยจะมี ขณะมองย้อนแสงตะวันขึ้นมาที่ระเบียงชั้นสอง

“มีอะไรหมวดจั๊ก” เสียงทุ้มห้าวดังมาจากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ที่ออกมาจากห้องพักบนเรือนชั้นสอง เขาเดินมาเกาะขอบระเบียงชะโงกออกไปมองคนที่มาถามหา

ชายหนุ่มใส่หมวกไหมพรมแนบไปกับศีรษะทุยสวย สวมยีนส์เก่าเก๋ากับเสื้อยืดแขนยาว เห็นไหล่มีกล้ามเนื้อผึ่งผาย หนวดเคราที่ดูเหมือนจะไม่ได้โกนมาหลายวันทำให้ทุกอย่างบนใบหน้านั้นดูเข้มคม โดยเฉพาะดวงตาดุๆ คู่นั้น หทัยชนิตรู้จักเขา เพราะเป็นแขกที่มาพักเฮือนธาร เขาคือ สารวัตรกันตภณ

“สารวัตรปิดมือถืออ่า”

“ปิดสิวะ ก็ลาพักร้อนอยู่นี่หว่า”

“หมวดจั๊ก มีเรื่องเหรอวะ” คนที่เดินมาสมทบกับสารวัตร รูปร่างเล็กกว่ามาก ผมยาวปรกท้ายทอย แต่ปิดหูที่กางออกมาไม่มิด มันดูเหนียวสกปรก โดยเฉพาะผมด้านหน้าที่ยาวมาแยงตาตี่ๆ ชั้นเดียวคู่นั้น

“อ้าว เฮียรัณย์ อยู่กับสารวัตรเหรอ” หมวดหน้าจืดยิ้มกว้าง

“นอนกกกันอยู่” คนที่ชื่อเฮียรัณย์พูดติดตลก

หทัยชนิตคุ้นเคยกับนักข่าวคนนี้มากกว่าสารวัตรกันตภณ เพราะเขามาพักที่นี่กับเพื่อนฝูงบ่อยๆ เขาเป็นนักข่าวท้องถิ่น และเป็นเพื่อนซี้กับสารวัตร ชื่อศรัณย์

“หมวดมีอะไร ขึ้นมาตามถึงนี่” สารวัตรกันตภณดึงกลับเข้าเรื่อง

“เรื่องใหญ่ครับ ตายทีเดียวสองศพเลย” หมวดจั๊กชูนิ้วชี้และนิ้วกลาง ขยับมันเหมือนกรรไกร

“ใครตาย” สารวัตรถาม

“หัวหน้าชนเผ่ากับหมอผี”

“หืม”

หทัยชนิตรู้สึกเหมือนเห็นใบหูของนักข่าวกางออกมามากกว่าเดิม

“ฉันพักร้อนอยู่นี่หว่า”

“ผู้กำกับให้ผมมาตามสารวัตรไปดูอะครับ ผมก็ไม่รู้จะว่าไง” หมวดหน้าจืดทำหน้าเหยเก “ถ้าไงสารวัตรไปดูให้หน่อยเถอะครับ”

“เออ ไปๆ ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวไม่สวยนะ” นายตำรวจหนุ่มผละจากขอบระเบียง เมื่อหันมาเห็นหมออธิปยืนอยู่กับกลุ่มของเธอเขาก็ทักขึ้น “อ้าว หมออธิปที่เพิ่งมาประจำโรงพยาบาลใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ สารวัตรมีอะไรให้ผมช่วยบอกได้นะครับ”

“อืม…” นายตำรวจหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “หมอมากับผมเลยได้ไหม กว่าจะโทรไปโรงพยาบาล กว่าทางนั้นจะส่งหมอมา อาจจะเป็นเย็นๆ หรือพรุ่งนี้ ไหนๆ หมออยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าไปช่วยผมเลยจะดีมากๆ ครับ ไม่ต้องรอเป็นชาติ เพราะรู้อยู่ว่าโรงพยาบาลขาดคนทำงาน หมอสะดวกไหมครับ” นายตำรวจจ้องมองเหมือนรอคำตอบ

“อ่า…ได้ครับ”

หทัยชนิตไม่รู้ว่าหมออธิปคิดอะไร เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง คงไม่ทันตั้งรับสถานการณ์แบบนี้ เพราะอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเขา แต่คงเป็นเพราะรู้ดีว่าที่นี่ขาดแคลนบุคลากร หมอต้องทำได้ทุกอย่างรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพด้วย แต่หมออธิปก็ตอบรับว่าจะไปช่วยดูศพให้ในที่สุด

เธอเองก็ตัดสินใจว่าควรจะตามไป แต่เธอจะไม่ขออนุญาตหรอก ถ้าขอสารวัตรหน้าดุคงไม่ให้ไป เธอจะติดรถหมออธิปไปเลยดีกว่า

“ผมขอเอาของก่อน คุณไปรอที่รถได้เลย เดี๋ยวผมขับตามไป”

สารวัตรกันตภณพยักหน้า แล้วเดินลงไปกับหมวดจั๊กเพื่อไปที่ลานจอดรถ หทัยชนิตแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นนักข่าวศรัณย์เดินรั้งท้าย เพราะสายตาของเขามัวแต่จับจ้องมาที่ศดิศาเพื่อนของเธอ ดวงตาตี่ๆ นั่นขยายใหญ่ขึ้น มันเป็นสายตาที่ผู้ชายมองผู้หญิง ก็เพื่อนของเธอใช่จะขี้เหร่ ถึงหน้าตาจะไม่จัดว่าสวยเฉียบ แต่ศดิศาก็หุ่นดีไม่เบาละน่า

“หมอธิคะ ขอติดรถไปดูด้วยได้ไหมคะ นิตอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างมันก็ใกล้บ้านนิตด้วย อยู่แถวนี้ต้องหูตาไวไว้หน่อย” เธอพูดกับหมออธิปที่กำลังจะเดินกลับไปเอาของในห้องพัก

“ฉันไปเป็นเพื่อน” ศดิศามาเกาะแขนเธอ

“ได้ครับ ไปด้วยกัน รอผมสองนาที” พูดแล้วเขาก็ผลุบหายเข้าไปในห้องพักอย่างรวดเร็ว



Don`t copy text!