บุษบาพยาบาท บทที่ 4 : สาวใบ้

บุษบาพยาบาท บทที่ 4 : สาวใบ้

โดย : ทอม สิริ

Loading

บุษบาพยาบาท โดย ทอม สิริ เรื่องราวปริศนาที่อยู่ๆ ผู้คนในหมู่บ้านรอบๆ โฮมสเตย์ที่หทัยชนิต อดีตพยาบาลเข้ามาช่วยดูแลทยอยเสียชีวิตลงเรื่อยๆ เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องบังเอิญหรือแผนฆาตกรรมของใครกัน สารวัตรกันตภณ ผู้มาเยือนในฐานะแขกของโฮมสเตย์จะช่วยหาคำตอบได้หรือไม่  นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

**************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“หยุนมันหายไปไหนจ๊ะอุ๊ย”

หทัยชนิตเอ่ยถามคุณยายที่กำลังตักชิมน้ำแกงบนเตาไฟ หญิงสาวเก็บจานชามที่ลูกค้าโต๊ะสารวัตรกันตภณกินอิ่มแล้วเข้ามาล้างในครัวซึ่งอยู่ติดกับห้องอาหาร มีเพียงเคาน์เตอร์ที่ทำจากกิ่งไม้ใหญ่กั้นแบ่งบริเวณให้พอเป็นสัดส่วนเท่านั้น

“อุ๊ยไม่เห็นมันมาทำงานหลายวันแล้วเนี่ย จะว่าลาหยุดก็ไม่เห็นบอกกล่าว” อุ๊ยคำแก้วปิดฝาหม้อแกง แล้วพยักหน้าให้ศดิศาที่ยืนรออยู่

“ใครวะ หยุน” ศดิศาช่วยยกหม้อลงจากเตา

“ลูกจ้างชนเผ่าน่ะ มาของานทำ แต่เธอเป็นใบ้นะ ฉันเห็นว่านิสัยดี เอาการเอางาน เลยจ้างไว้ทำความสะอาดห้องพัก ล้างจาน ช่วยงานในครัว อายุสิบหกก็เป็นสาวแล้วนะ ทำไมถึงกลายเป็นคนเหลวไหล นิสัยเป็นเด็กเลยเนี่ย หายไปเฉยๆ ไม่ลาให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างนี้ใช้ไม่ได้ นี่ดีนะที่เป็นช่วงโลว์ ซีซัน มีแขกพักห้องเดียว ไม่อย่างนั้นฉันทำคนเดียวตายแน่ สงสัยถ้าหายไปนานๆ ต้องหาคนใหม่มาช่วย” เธอบ่นไปล้างจานไปสักพัก แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา

“เอ หรือว่าจะไม่สบาย” ความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นห่วงกังวล

“นายอู๋ เธอรู้ไหมว่าหยุนหายไปไหน” เธอหันไปถามลูกจ้างอีกคนที่กำลังแบกกระสอบไม้ฟืนเข้ามาวางไว้ข้างเตาไฟ เขาเป็นหนุ่มชนเผ่า อายุประมาณยี่สิบต้นๆ แม้จะไม่สูงใหญ่แต่ร่างกายแข็งแรงบึกบึนเพราะทำงานที่ใช้กำลังอยู่เสมอ

“หยุนมันโดนคนต่างบ้านฉุดไปทำเมีย”

“ฮ้า! อะไรนะ” หทัยชนิตใจหายวาบ ไม่อยากจะเชื่อ

“โดนฉุดเหรอ” ศดิศาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

“ใช่ ฉุดไปหลายวันละ” เขาพูดหน้าตาเฉย เหมือนตอบว่ากินข้าวแล้วหรือยัง

“โอ…หยุน” หทัยชนิตนึกถึงใบหน้าซื่อๆ ของสาวใบ้ รู้สึกทั้งโกรธทั้งเศร้าใจ พิการพูดไม่ได้แล้วยังโดนคนชั่วรังแกซ้ำลงไปอีก “รู้ไหมใครฉุด มีใครไปช่วยหยุนแล้วหรือยัง แจ้งความกันหรือยัง” เธอถามออกไปเป็นชุด ข้างในใจร้อนรนด้วยความเป็นห่วง

“แจ้งความทำไม” นายอู๋เลิกคิ้วถาม

“อ้าว ถามบ้าๆ เราต้องไปช่วย ไปจับคนร้ายสิ ป่านนี้หยุนจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้” หทัยชนิตไม่เข้าใจอีกฝ่าย ว่าทำไมถึงพูดเรื่องนี้เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา

“ไม่ต้องแจ้งความ เดี๋ยวเขาก็มาขอมันเป็นเมีย” นายอู๋พูดหน้าตาเฉย

“นายอู๋ รู้จักคนที่ฉุดหยุนเหรอ” เธอเอะใจ

“รู้สิ ไอ้นี่มันฉุดมาสองคนแล้ว ไม่มีตังค์ก็ฉุด แล้วค่อยไปขอก็ได้ หรือมีตังค์ก็ไปซื้อเอาเลย ซื้อเมีย เรื่องธรรมดา” นายอู๋ยิ้ม ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด

“เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน คนนะ ไม่ใช่ผักปลา” เสียงหทัยชนิตดังขึ้นตามอารมณ์ที่กำลังเดือด ไม่อยากจะเชื่อว่าบนแผ่นดินนี้จะมีเรื่องแบบนี้ด้วย

“เขาก็ทำกันอย่างนี้” นายอู๋ยังเลิกคิ้วสูงอยู่อย่างเดิม

“ฉันจะไปแจ้งความ นายอู๋ต้องไปกับฉันด้วย”

“ไม่ไป…ไปทำไมกัน”

“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายอู๋จะเป็นคนไร้น้ำใจอย่างนี้ คนบ้านเดียวกันแท้ๆ” หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโกรธ “เอาเถอะ ฉันบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น เธอช่วยพาฉันไปหาพ่อแม่ของหยุนได้ไหม ฉันจะพาพวกเขาไปแจ้งความเอง”

หทัยชนิตโกรธมาก ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้พิการ กำลังถูกเหยียบย่ำรังแก คำว่าฉุดมันย่อมมาพร้อมกับคำว่าข่มขืน คำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจจะช่วยเธอออกมาจากนรกขุมนั้น ไม่มีใครสนใจจะแจ้งความเอาผิดไอ้สัตว์นรกใจทราม

“พ่อแม่มันก็ไม่แจ้งความหรอก ไม่เคยมีใครทำ” นายอู๋ส่ายหน้า

“อะไรนะ บ้าไปแล้ว” หทัยชนิตเสียงดังขึ้นด้วยอารมณ์ที่ไต่ระดับขึ้นมาตามการรับรู้เรื่องบ้าๆ นี้

“ใจเย็นๆ ลูก นิต มันเป็นวิถีของชนเผ่า” อุ๊ยคำแก้วปราม

“อะไรนะคะ วิถีของ…” หญิงสาวพูดไม่ออก เธอไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“ใช่…อุ๊ยก็รู้มาว่าเขาทำกันมาแบบนี้ หลังจากนี้ทางฝ่ายชายจะส่งคนมาติดต่อเจรจา ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงยอม ก็จ่ายสินสอดนิดหน่อย”

“ก็แล้วถ้าไม่ยอมล่ะคะ” เธอถามเสียงสูง ในใจคิดว่าทำกันขนาดนี้ ใครจะยอม

“ถ้าไม่ยอม เขาก็คืนผู้หญิงกลับมาในฐานะแม่ม่ายและเป็นหญิงไม่บริสุทธิ์ ส่วนใหญ่ทางบ้านผู้หญิงก็จำใจต้องให้ไปอยู่กับเขานั่นละ เพราะถ้ารับกลับเข้าบ้านจะผิดผี ครอบครัวจะถูกผีเจ้าลงโทษ” หญิงชราอธิบายพร้อมกับมองหน้าเธอ อุ๊ยคงคิดหวั่นใจว่าเธอจะรับสิ่งที่แกพูดได้หรือเปล่า

ซึ่งแน่ละ เธอรับไม่ได้จริงๆ หทัยชนิตรู้สึกโกรธจนหน้ามืด

“อะไรนะคะ ผิดผี! ทางบ้านไม่ยอมรับกลับเข้าบ้านเหรอ เด็กถูกฉุดไปข่มขืนนะ บาดเจ็บทั้งกายทั้งใจ จะถูกข่มเหงให้บอบช้ำขนาดไหนกว่าจะถูกส่งตัวกลับคืน แล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่รับลูกในไส้กลับเข้าบ้านเนี่ยนะ เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวจะหันหน้าไปพึ่งใคร ที่แน่ๆ เธอต้องบาดเจ็บ จะหนักหนาแค่ไหนก็ไม่รู้ เงินทองก็ไม่มีจะไปหาหมอ” หางเสียงของหญิงสาวสั่นเครือ เธอทนไม่ไหว น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอหน่วย ข้างในมืดดำไปหมด

หทัยชนิตเบือนหน้าหนีจากวงสนทนา ปาดน้ำตาเร็วๆ ตอนนั้นเองที่เธอเห็นสารวัตรกันตภณกับเพื่อนนักข่าวของเขายืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ที่กั้นห้องอาหารกับครัว พวกเขาคงมายืนฟังอยู่นานแล้ว เพราะเสียงโวยของเธอก็ไม่เบา

“คุณสารวัตร คุณได้ยินหมดแล้วใช่ไหม คุณช่วยไปจับไอ้คนชั่วที่มันฉุดลูกจ้างฉันที” เธอเดินไปหาเขา ถ้าไม่มีใครทำอะไรกับเรื่องนี้ เธอจะทำเอง

“ถ้าครอบครัวไม่ได้แจ้งความ ก็ไม่มีเจ้าทุกข์นะครับ ตำรวจจะทำอะไรไม่ได้”

คำตอบของเขาเหมือนสาดน้ำมันลงไปในกองไฟ เธอพูดใส่หน้าเขาทันที

“ก็ฉันกำลังแจ้งความกับตำรวจอยู่นี่ไง คุณเป็นตำรวจหรือเปล่า เป็นคนที่ประชาชนพึ่งพิงได้ใช่ไหม หรือไม่ใช่”

อีกฝ่ายจ้องมองเธอนิ่งๆ เหมือนทองไม่รู้ร้อน นั่นยิ่งทำให้หทัยชนิตโกรธจนตัวสั่น

“บ้านนี้เมืองนี้ ถ้าพึ่งกฎหมาย พึ่งคนรักษากฎหมายไม่ได้ มันจะอยู่กันยังไง” เธอตาลุกวาว

“ก็เป็นไปตามกฎหมายไง ต้องมีเจ้าทุกข์ไง คุณ” เขาโต้กลับ

“พวกคุณก็คงเหมือนๆ กันหมดนั่นละ” เธอสวนออกไป

“ผมไม่ใช่คนแบบนั้น คุณไม่รู้อะไร อย่าพูด”

“ถ้าคุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่หาคนผิดมาลงโทษ คุณจะต่างจากพวกนั้นตรงไหน”

คำพูดของเธอคงจะทำให้เขารู้สึกอะไรบ้างละน่า เธอเห็นปื้นสีแดงไล่จากลำคอขึ้นไปบนใบหน้าของเขา

“คุณต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจครับ” เขากดเสียงเรียบ

“ฉัน-จะ-ไป…” เธอพูดเน้นทุกคำ “แล้วดูซิว่าเรื่องนี้จะจบยังไง”

“ไอ้นิต ใจเย็นๆ สิวะ” ศดิศาวางมือลงบนไหล่ของเธอ “อุ๊ยก็บอกแล้วว่ามันเป็นวิถีชนเผ่า เขาทำกันมาอย่างนี้ เป็นสิบเป็นร้อยปี เขายอมรับกันมาอย่างนี้ แกไม่เข้าใจเหรอ นี่…แกลองมองในอีกแง่หนึ่งสิ ถึงจะถูกฉุดไป แต่ต่อจากนี้หยุนเขาก็จะมีครอบครัวนะ มีผู้ชายเลี้ยงดู มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีกับตัวเขาเองไม่ใช่เหรอ”

แม้ว่าคำพูดของเพื่อนจะเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้เธอใจเย็นลง แต่หทัยชนิตคิดถามอยู่ในใจว่า ทำไมคนถึงยอมรับจารีตที่ข่มเหงรังแกผู้หญิงอย่างนี้ ทำไมพ่อแม่ถึงรับเอาลูกสาวกลับบ้านไม่ได้ ทั้งที่เธอบอบช้ำออกอย่างนั้น คำว่ามนุษยธรรม คุณธรรมที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่น ธรรมที่มนุษย์ควรมีต่อกัน อย่างความเมตตากรุณา อยู่ที่ไหนกัน

หญิงสาวได้แต่เศร้าใจ เธอเดินออกมาจากเรือน รู้สึกร้อนใจจนทนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ บางทีไปนั่งสงบสติอารมณ์ตรงริมธารคงจะช่วยได้บ้าง อย่างน้อยเธออาจพอหาทางช่วยหยุนได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ขอคุณพระคุ้มครองให้เด็กสาวปลอดภัยทีเถอะ

 

ศดิศาเดินตามเพื่อนออกมาที่ริมลำธาร หลังจากช่วยล้างจานที่หทัยชนิตทำค้างไว้จนเสร็จ ทอดเวลาออกไปเพื่อให้เพื่อนใจเย็นลงสักนิด เธอเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนดี เข้าใจมากๆ เลยละ

“ไง เย็นลงหรือยังเพื่อน” ศดิศาลงนั่งบนหินก้อนหนึ่ง แช่เท้าลงไปในน้ำใสเย็น เสียงน้ำไหลช่วยให้จิตใจสงบลงมาก

หทัยชนิตส่ายหน้า “ฉันไม่มีวันเข้าใจ ไม่มีทางทำใจให้รับเรื่องนี้ได้”

ศดิศาถอนหายใจ เธอเองก็ไม่รู้จะปลอบเพื่อนอย่างไร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งเลวร้ายน่าขยะแขยงเหมือนเชื้อโรคที่ไม่เคยหมดไป มันเรียกว่าความอยุติธรรม ทั้งสองคนจึงได้แต่นั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง

“นายอู๋มาทำงานกับแกนานหรือยัง” เธอถามเพื่อน

“น่าจะเกือบปีแล้วมั้ง มาก่อนหยุนสองสามเดือน ถามทำไมเหรอ” หทัยชนิตเลิกคิ้ว

“แกเคยเห็นเวลาที่เขามองแกหรือเปล่า”

“มอง? มองยังไงเหรอ”

“อืม…บางทีแกคงไม่ทันได้สังเกตนะ แต่เมื่อกี้ตอนที่แกโวยใส่สารวัตรกันตภณอยู่น่ะ พอดีฉันหันไปเห็นสายตานายอู๋ที่มองแก มันแปลกๆ นา” ศดิศาเอียงคอ เธอค่อนข้างแน่ใจในสิ่งที่เห็น และคิดว่าควรจะเตือนเพื่อนไว้ ความคิดของคนที่นี่ยิ่งเข้าใจยากอยู่

“แกหมายความว่าไงวะ” หทัยชนิตย่นหัวคิ้ว เธอคงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้

“ฉันว่านายอู๋ชอบแกว่ะ”

“เฮ้ย!” หทัยชนิตร้องเสียงดัง

“จริงงงงง…ไม่ใช่ชอบแบบชื่นชมแต่เป็นแบบชวนฉุดนะเว้ย เห็นสายตาที่เขามองแกนะ สุดจะหื่น ฉันนี่ขนลุกว่ะ แกระวังตัวไว้หน่อยก็ดี พวกเขายิ่งมีความคิดว่าฉุดไม่ผิดอยู่ด้วย”

“ลองมาฉุดฉันสิ ฉันเอาตายเลย อย่ามาหาว่าโหดก็แล้วกัน ฉันไม่สน” เพื่อนเธอดุเดือดขึ้นมาทันที

“แล้วระหว่างหมอกับตำรวจนี่ คนไหนน่าสนจ๊ะเพื่อนจ๋า ฮี่ ฮี่” เธอยิ้มยิงฟันให้หทัยชนิต แต่หลบน้ำเย็นเจี๊ยบในลำธารที่เพื่อนวักสาดมาไม่ทัน

 

สารวัตรกันตภณรู้สึกจุก ถ้าคุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่หาคนผิดมาลงโทษ คุณจะต่างจากพวกนั้นตรงไหน คำที่หทัยชนิตพูดใส่หน้าเขาเมื่อครู่มันจริงเสียยิ่งกว่าอะไร มันเป็นคำที่เขาเคยตะโกนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นปี แต่เขาก็ยังหาทางออกไม่ได้ จนเริ่มท้อและยอมแพ้ ปล่อยให้มันเป็นไป อย่างที่มันเคยเป็นมาตลอด สิ่งที่เขาคิดว่าทำได้ ก็คือไม่ยอมให้ตัวเองต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงคิดจะลาออก แต่วันนี้ผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาไม่แน่ใจ ว่าที่คิดอย่างนั้นมันถูกหรือเปล่า…

“เฮ้ย…มึงเป็นอะไรวะ” ศรัณย์เตะเท้าเขาใต้โต๊ะ

“เปล่า”

“แล้วเรื่องเมื่อกี้ เอาไง”

“ต้องมีคนไปแจ้งความที่ สภ.อ. คดีต้องมีเจ้าทุกข์ มึงก็รู้นี่หว่า แต่ถึงไปแจ้งความเดี๋ยวก็ต้องถอนแจ้ง เพราะพอเรียกคู่กรณีมา พ่อแม่ฝ่ายผู้หญิงเขาก็ยกให้ จัดฉลองงานแต่งกันในหมู่ญาตินิดหน่อย เรื่องก็จบ”

“เออ…ไม่ใช่รายแรกนี่นะ มิน่า กูก็ไม่เคยเห็นมีใครไปแจ้งความ”

“มันเป็นอย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มรินเหล้าหนากว่าเดิม ด้วยหวังว่ามันจะลบละลายสายตาทวงถามความยุติธรรมของหทัยชนิตที่จ้องมองมาเมื่อครู่ ตาคู่นั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดติดหนึบอยู่ในใจ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่แก้ว ความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย

“มึงเป็นอะไรวะ แดกเหล้ายังกะคนอกหัก ซดเอาๆ” ศรัณย์ถาม

“เออ…กูอกหัก ผิดหวังซ้ำซาก มึงจะทำไม”

“กูไม่ทำไม กูกลัวเหล้าหมดเร็ว กูแดกไม่ทันมึ้งงง…” นักข่าวตอบเสียงสูง ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะ

“พูดถึงเรื่องนี้นะ กูไม่เคยเห็นมึงต่อปากต่อคำกับผู้หญิงเหมือนเมื่อกี้มาก่อนเลย ทุกทีถ้ามึงรำคาญก็เดินหนี นี่แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องพิเศษ” เพื่อนของเขาซึ่งกำลังหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบก็ชะงักมือค้างอยู่อย่างนั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาจ้องหน้าเขาเอาจริงเอาจัง

“อะไร”

“มึงชอบคุณนิตใช่ไหมวะ” นักข่าวยิงคำถาม

เขาไม่ได้ตอบ แต่มันไม่ได้ต้องการคำตอบหรอก…มันแสนรู้

“มึงไม่ต้องมาทำเป็นหาพวก กูรู้มึงสนใจเพื่อนสาวของเธอ เดินผ่านที เหล่มองจนคอแทบเคล็ด”

“ฮ่าๆๆ หุ่นดีฉิบ-…” นักข่าวทำตาปรือ มันไม่ได้เคลิ้ม แต่จามออกมาเสียงลั่น “ฮัดเช้ยยย!”

“ไอ้…จามก็รู้จักปิดปากมั่งสิวะ ไส้อั่วกู หมดกัน” ชายหนุ่มมองเมนูอร่อยที่เหลืออยู่ในจานสามสี่ชิ้นอย่างปลงๆ

“อย่ากินๆ เดี๋ยวติดหวัดกู” ศรัณย์ยกจานมาฝั่งตัวเอง “สงสัยจะไม่สบายว่ะ แบบนี้ถ้ามีพยาบาลหุ่นดีๆ สักคนคอยดูแลคงจะดีไม่น้อย มึงว่าไหม ฮ่าๆๆ”



Don`t copy text!