ชมา 5 ชีวิต บทที่ 1 : ฟ้าใส
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co
– 1 –
อากาศยามบ่ายระอุจนผมต้องเปลี่ยนที่นอนมาแล้วสามรอบ ในที่สุดก็ได้ทำเลเหมาะๆ ข้างกระถางไม้ดัดบนชานบ้าน เครื่องเคลือบดินเผาให้สัมผัสเย็นสบาย ผมอยากจะนอนหงายอยู่เหมือนกัน แต่ไอ้โฟกัสหมานักเลงแถวนี้มันชอบกระโจนใส่ ผมจึงเลือกนอนตะแคงเพราะดูจะปลอดภัยที่สุด
ฤดูหนาวระบัดระบายผ่านดอกไม้และกลิ่นดินแล้งในอากาศ เชียงใหม่คึกคักไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะชานไม้ที่ผมนอนอยู่ แม้จะอยู่ห่างไกลถึงอำเภอท่าตอน แต่ที่นี่ไม่เคยร้างผู้มาเยือน
ดินผืนนี้มีชื่อว่าโอโตซังฟาร์มสเตย์ มันเป็นสวนผักปลอดสารพิษ ที่มีบ้านพักกระจายตัวอยู่รอบๆ บึงน้ำ และกำลังทยอยก่อสร้างเพิ่มอีก 5 หลังในบริเวณที่เรียกว่าคลองไส้ไก่ ดังนั้นกลิ่นต่างๆ จึงถูกชักนำมาที่นี่ จากผู้คน จากสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาพามา ผมอาจจะไม่ได้มีบุคลิกแบบเอ็กโทรเวิร์ด คือเปิดเผย เข้าถึงง่าย หรือชอบทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ แต่ความที่โตมากับสถานที่แบบนี้อย่างน้อยก็อยู่มาจะ 5 เดือนแล้ว ผมจึงค่อนข้างมีความอดทนกับผู้มาเยือนสูง และออกจะดูแคลนแมวหรือหมาขี้ตื่น เห่าเก่ง ขู่ฟ่อๆ ที่พวกเขาหอบหิ้วมา
มีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาจากส่วนที่น่าจะเรียกได้ว่าแผนกต้อนรับส่วนหน้า ตรงนั้นมีเจ้าของฟาร์มเป็นหญิงวัยกลางคนชื่อโอประจำอยู่ เธอเป็นสาวใหญ่ ตัวเล็ก หน้ารูปหัวใจ อายุเลยหลักสี่ไปหลายปี แต่ยังคงความน่ารักด้วยลักยิ้มข้างแก้ม ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่โอเป็นสาวน้อยอายุ 12 จนในวันที่เราได้หวนกลับมาเจอกันอีก โอก็ยังดูแทบจะเหมือนเดิม
ตอนนี้โอกำลังต้อนรับนักท่องเที่ยวสองคน และเสียงกรี๊ดกร๊าดนั้นก็ตามมาด้วยคำว่า
“วิวสวยจังเลยค่ะ”
ไม่ต้องลืมตามองผมก็รู้ว่าโอจะยิ้มรับด้วยหน้าตาแบบไหน และไม่ต้องลืมตาอีกเช่นกัน ผมก็รู้แน่ชัดว่านักท่องเที่ยวพวกนั้นจะถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ และสุดท้ายมักจะมาหยุดยืนขอถ่ายรูปกับผม ไม่ว่าผมจะทำหน้าบูดใส่หรือมองเมิน พวกนั้นก็มักจะยื่นมือมาลูบไล้แล้วบอกว่าผมน่ารัก
“น้องชื่ออะไรคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งถาม ผมรู้สึกคุ้นหูจึงหรี่ตาขึ้นมอง
“ชมาค่ะ” โอตอบ “เมื่อสามสี่เดือนก่อนคนในไร่นี่แหละค่ะไปเจอในป่าหญ้าข้างทาง มันเดินโซซัดโซเซมาหา คงจะหิว เขาสงสารก็เลยเก็บมาเลี้ยง”
ผมอยากจะเถียงกลับว่าผมไม่ได้เดินโซซัดโซเซไปมั่วๆ แต่ผมจงใจเดินไปหาหมอนั่น เพราะผมจำเขาได้ต่างหาก แต่ช่างเถอะ…คนพวกนี้ไม่ได้มีความทรงจำอะไรก่อนอายุสามขวบด้วยซ้ำ และสมองก็ประมวลผลช้าเกินกว่าจะจำแมวที่พวกเขาเคยเลี้ยงได้
อ้อ…พวกคุณคนอ่านก็เป็นมนุษย์นี่นะ ดังนั้นผมควรอธิบายเสียหน่อยว่าผมเป็นใคร ตอนนี้อายุเท่าไรและมีชื่อว่าอะไรด้วย
ใช่ครับ…ผมชื่อชมาอายุในชีวิตนี้เกือบจะครบ 6 เดือนแล้ว ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่าแมว 9 ชีวิตละก็ ร่าง ‘ชมา’ แมวเพศผู้สีดำมีแต้มขาวจากรอบปากยาวจรดหน้าผาก อกขาว และสวมถุงเท้าขาวเท่ากันทั้งสี่ตีน คือชีวิตที่ 5 ของผม
พวกแมวอย่างผมจะจดจำชาติต่างๆ ของตัวเองได้ 9 ครั้ง ซึ่งหลังจากชีวิตที่ 9 แล้ว ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะยังคงได้เกิดเป็นแมว เป็นคน หรือเป็นแมลงสาบในท่อระบายน้ำ เพราะผมก็จำชีวิตเกินกว่า 9 ครั้งไม่ได้เหมือนกัน
“ชื่อแปลกจังค่ะ” หล่อนว่า แหงละ แมวหล่อๆ ก็ต้องมีชื่อเก๋ๆ
“ชมาแปลว่าแมวค่ะ” โออธิบายเพิ่มเติม “คนที่เก็บได้เขาเป็นคนตั้ง”
“ไงชมา นอนสบายเลยนะ” หญิงผู้นั้นลูบหัว ผมร้องด้วยความรำคาญเพื่อให้เธอหยุด ก่อนจะต้องกระโดดผลุงลุกขึ้นยืนสี่ขาเมื่อมองเห็นหน้าของเธอแจ่มชัด
ฟ้าใส…ฟ้าใส…ผมเรียกเธออย่างตื่นเต้น
“มันร้องทำไมคะ” เธอหันไปถามโอ
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ดูมันจะตื่นเต้นนะคะ หรือชอบคนสวยฮะ…ปกติไม่เห็นจะตื่นคนแบบนี้” โอว่า ผมยังคงร้องเรียกฟ้าใสอีกหลายครั้ง เราเคยเจอกันในชีวิตที่สาม แต่ก็อย่างที่แล้วๆ มา ไม่ว่าผมจะแสดงพฤติกรรมเหมือนเดิมแค่ไหน ก็ไม่เคยมีเจ้าของคนไหนจำผมได้เลย
…โดยเฉพาะนายเป้ เพิ่งจะเจอกันเมื่อชีวิตที่แล้วแท้ๆ แต่หมอนั่นก็ทั้งซื่อทั้งบื้อ จะมีแมวที่ชอบวิ่งไปคาบลูกบอลกระดาษได้สักกี่ตัวกันเชียว หมอนั่นถึงไม่มีทีท่าว่าจะจำผมที่เคยเป็น ‘หยก’ แมวเพศเมียลายสลิดที่เขาเคยเลี้ยงเอาไว้ได้เลย
“นี่กุญแจห้องพักค่ะ เดี๋ยวคุณฟ้าใสกับคุณ…”
“หลินค่ะ”
“ค่ะคุณหลิน…ขอโทษนะคะ คนแก่ขี้ลืมค่ะ เดี๋ยวเดินไปตามทางเดินนะคะ จะมีพนักงานตัวสูงๆ ใส่เอี๊ยมยีนชื่อเป้รออยู่”
โอว่า ร่างเล็กบางค้อมตัวลงเล็กน้อยด้วยความสุภาพ เธอเป็นคนแบบนี้แหละ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่เคยคิดอะไรนอกลู่นอกทาง ผมจึงไม่แปลกใจนักที่เธอฉลาดเลือกสามี และสามารถมีกิจการแห่งความสุขเอาไว้แบ่งปันผู้คนแบบที่นี่ได้
แล้วฟ้าใสล่ะ…
ผมจากเธอมาในชีวิตที่ 3 ตอนนั้นฟ้าใสเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 ผมรู้แต่เพียงว่าเธอใช้ชีวิตไปตามแนวทางที่ควรจะเป็น ถ้าเปรียบเทียบกับโอแล้ว ฟ้าใสอาจจะดูเป็นสาวสมัยใหม่กว่า แต่ความคิดเธอกลับอยู่ในกรอบกว่า โลกของฟ้าใสนั้นงดงามอย่างที่เขาเรียกว่า วิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้ฟ้าใสสะเทือนใจอย่างหนักคือเรื่องเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อน้องน้อย ซึ่งผมไม่รู้ว่าถึงตอนนี้เธอจะก้าวผ่านมันมาได้หรือยัง
ใกล้ห้าโมงแล้ว ลมหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือพัดไล่ความร้อนจากแสงตะวัน ผมออกวิ่งเหยาะๆ ตามพวกเธอไปห่างๆ อย่างน้อยบทสนทนาระหว่างเธอและเพื่อนก็น่าจะทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตในช่วงที่ผมและฟ้าใสจากกันมานั้น เธอผ่านอะไรมาบ้าง
– 2 –
สามวันสองคืนคือช่วงเวลาที่ผมวนเวียนอยู่ใกล้ฟ้าใส ถึงผมจะเป็นแมวอายุไขเฉลี่ยอยู่ได้เพียง 15 ปี แต่ครั้งนี้เป็นชีวิตที่ห้าของผม ความรู้ทางโลกของผมก็ถือว่ามีพอตัวเลยละ ดังนั้นเรื่องราวที่หายไปของเรา จึงถูกเติมลงในช่องว่างกาลเวลา และตอนนี้ผมก็จำได้แล้วว่าเด็กสาวเสียงแหลม ตาเท่าเม็ดกวยจี๊ และชอบดึงหางแมวก็คือหลินในวันนี้
ผมจ้องมองหลิน ดวงตาเล็กรีของเธอป้ายหมึกสีดำเป็นปื้น ตรงหัวหนาตรงปลายเรียว มันลากยาวออกไปทางหางตาเป็นเส้นบางๆ เหมือนการแต่งหน้าของพวกงิ้ว
น่าแปลกที่หมึกสีดำนั้นทำให้หน้าเรียบๆ เหมือนแผ่นกระดาษของหลินดูน่าสนใจขึ้นกว่าสมัยเด็กมาก อย่างเดียวที่ยังเหมือนเดิมของหลินคือกิริยาวี้ดว้ายกระตู้วู้ แต่เปลี่ยนจากการปลื้มดาราในโทรทัศน์มาเป็นปลื้มคนงานในฟาร์มแทน
ก็อย่างว่าละนะ เขาว่าคนกับสัตว์เลี้ยงมักจะหน้าเหมือนกัน ดังนั้นนายเป้ที่ผมเพิ่งเจอในชีวิตที่ 4 และกลับมาเจอกันอีกครั้งในชีวิตที่ 5 ถึงได้หล่อเหมือนผมเปี๊ยบ เพียงแต่ตอนนี้ผมยังโตไม่เต็มที่ เลยไม่รู้ว่าผมจะตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างหมอนั่นหรือเปล่า อย่างไรก็ตามเราทั้งสองได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆ พอๆ กัน ผิดกันตรงผมโดนกรี๊ดต่อหน้า ส่วนนายเป้ขาโหด หน้าเหี้ยม ได้แค่เสียงแอบกรี๊ดเบาๆ ลับหลัง
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้ฟ้าใสพยายามจะไม่แสดงออก แต่ดวงตาของเธอทอประกายวิบวับเมื่อเห็นนายโหดนั่นบนทางเดินปูอิฐ แสงแดดสุดท้ายสาดทะลุใบละเอียดของต้นพะยูง เห็นเป็นวงวับๆ บนใบหน้าของฟ้าใส ความวิบวับของดวงตาเธออาจจะมาจากแสงสุดท้ายก็ได้ แต่หลินดูจะไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น
“เป้…มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” นั่นคือคำแรกของฟ้าใส นายเป้เอียงคอมองเพื่อนเก่าหัวจรดเท้าก่อนจะถามกลับว่า
“เธอล่ะ…อย่าบอกนะว่า สนใจการปลูกผัก”
ให้ตายไปสามชีวิต แม้วันนี้ฟ้าใสจะสวมรองเท้าผ้าใบแบนๆ อย่างพร้อมจะลุยสวน แต่ผมก็รู้ว่าฟ้าใสไม่มีทางจะสนใจเรื่องแบบนี้ ดูเหมือนนายเป้ก็จะรู้จักเธอดีเช่นเดียวกัน
สามวันสองคืนทำให้ผมรู้ว่า เป้กับฟ้าใสเป็นเพื่อนร่วมภาควิชากัน แต่อาจจะเรียนต่างกันเล็กน้อย หลังเรียนจบฟ้าใสทำงานในโรงพยาบาล ส่วนนายเป้นั้นทำงานในโรงงาน ตอนนี้ทั้งคู่ลาออกจากงานจนได้มาเจอกันที่นี่
ฟ้าใสมาโอโตซังฟาร์มสเตย์เพื่อพักสมองระหว่างรอเรียนต่อ ในขณะที่นายเป้หันเหชีวิตมาฝึกงานที่โอโตซังฟาร์มสเตย์เพราะอกหักจากหน้าที่การงาน
อกหักจากงาน ?
ถึงผมจะใช้ชีวิตมาจนถึงครั้งที่ 5 ผมก็เดาไม่ออกว่าหมอนั่นหมายความว่าอะไรกันแน่ แต่ดูเหมือนฟ้าใสจะรู้
หลังแยกตัวจากเป้ ฟ้าใสบรรยายสรรพคุณเป้ให้หลินฟังว่า ‘ติสต์แตก’ การปรากฏตัวในสวนผักของเป้ แทนที่จะทำงานอยู่ในบริษัทที่ไหนสักแห่ง จึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ฟ้าใสเลย เพียงแต่เธอไม่คิดว่าเขาจะดูเหมาะกับเอี๊ยมยีน หมวกฟาง และรองเท้าบูตยางได้มากขนาดนี้
ตอนที่ฟ้าใสเล่าให้หลินฟังนั้น ผมซึ่งได้รับอนุญาตจากฟ้าใสให้เข้าออกบ้านพักได้ตามสะดวกหยุดเลียตัว หูชี้ ตั้งใจฟัง แต่เมื่อฟ้าใสหันมาฉีกยิ้ม ทักว่าอยากรู้เรื่องเหมือนกันหรือเรา ผมเลยแกล้งล้มตัวลงนอนหลับตา ปล่อยให้หูทำหน้าที่แทน
“ดูสิ…แกล้งหลับแน่ๆ หูยังกระดิกอยู่เลย”
“ประสาท…แมวจะฟังภาษาคนรู้เรื่องได้ไง” ยัยหลินดูถูก
ฟ้าใสไม่สนใจและยังส่งเสียงล้อเลียนผมอีกสองสามประโยค ก่อนจะเล่าเรื่องของเป้ ซึ่งบอกว่าได้เลยว่าเรื่องนี้ผมก็เพิ่งรู้และต้องยอมรับหมอนั่นมัน ‘บ้า’ จริงๆ