ชื่นกลิ่นกุสุมา บทที่ 2 : ดอกบัวมิใช่กล้วยไม้ป่า

ชื่นกลิ่นกุสุมา บทที่ 2 : ดอกบัวมิใช่กล้วยไม้ป่า

โดย : อวิ๋นหลง

ชื่นกลิ่นกุสุมา เรื่องราวของโม่เหลียนฮวา หญิงสาวที่โชคชะตาก็ทำให้เธอกลายมาเป็นพระชายาของบุตรชายปาเสียนอ๋อง ตำแหน่งที่มาพร้อมความยุ่งเหยิงในชีวิต แต่นางก็แสนจะเต็มใจ นิยายจีนของ อวิ๋นหลง นักเขียนสาวผู้มีผลงานมาแล้วมากมายหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้คือนิยายจีนเรื่องแรกของเธอ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ 

****************************

– 2 –

ดวงตาตอนนี้มันพร่ามัวไปหมด มือสองข้างแทบจะจับหนังสือเล่มเล็กๆไม่อยู่เอาเสียเลย แต่ยังไงเสียข้าจะตกใจมากจนแทบจะบ้า ข้าก็ต้องทำเป็นแข็งใจ อ่านมันแทบทุกตัวอักษรที่มันเหมือนกับหนังสือของข้า

ใจเอย..ดวงใจท่านก็เท่านั้น

ผ่านคืนวันลากลับแล้วลับหาย

ที่บอกว่าจะรักจนชั่วฟ้าดินมลาย

จากคำมั่นเป็นลมปากด้วยสัญญา

หลันฮวา

“หลันฮวาบ้าอะไร นี่มันกลอนที่ข้าแต่ง หนังสือของข้าต้องลงชื่อคนแต่งว่าเหลียนฮวาสิ ชื่อของข้าน่ะ..เข้าใจไหม” เต๋อผิงได้ยินอย่างนั้นเขาก็ส่ายหน้าไปมาก่อนเอ่ย

“ตอนแรกข้าก็คิดอย่างนั้น เลยต้องมาถามเจ้าอยู่นี่ไง ว่ามันใช่หนังสือของเจ้าแต่นามแฝงใหม่รึเปล่า”

“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่กระดาษที่ข้าใช้ หนังสือของข้าถูกคัดด้วยลายมือของข้าเอง คนบ้าอะไรจะจำลายมือตัวเองไม่ได้” น้ำเสียงตอนท้ายห้วนจัด ความไหวจากสั่นแววตาที่ทอดไปก็มีแววหาเรื่องผู้อยู่ตรงหน้า ไวเท่าความคิดมือทั้งสองกำคอเสื้อเต๋อผิงขึ้นและไม่รู้ตัวเองเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมาทำแบบนี้กับเขา

“ไม่ใช่เจ้าแอบเอาหนังสือข้าไปปล่อยแล้วลงชื่อคนอื่นตบตาท่านพ่อของข้านะ เพื่อนทรยศ!”

“ข้าจะทำแบบนั้นทำไม ที่ร้านข้ามีหนังสือมากมาย เพียงแต่หนังสือของหลันฮวาน่ะ ขายดีจนนางโลมหอคณิกาตบแย่งกันหน้าร้านข้าด้วยซ้ำ ตอนแรกข้าจะมาถามว่าเจ้าเปลี่ยนนามแฝง แต่พอมาเห็นท่าท่าฟึดฟัดประดุจวิญญาณหมาบ้าเข้าสิง ข้าก็คิดว่าเจ้าโดนมือดีลอกหนังสือแล้วล่ะ”

มือทั้งสองข้าปล่อยจากคอเสื้อเต๋อผิงทันที เรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมดนะ หนังสือของข้าตั้งแต่เช้ายังขายไม่ได้สักเล่ม แล้วใครมันคือหลันฮวากันแน่

“ดอกบัวย่อมมิใช่กล้วยไม้ หลันฮวาไม่ใช่เหลียนฮวา หาเรื่องอายุสั้นแล้วนังกล้วยไม้บ้า ข้าจะไปฆ่ามัน”

“เฮอะ ถ้าเจ้าตามหาเขาได้ ข้าจะคำนับเจ้าแล้วเรียกเจ้าว่าเป็นท่านย่าเลย นี่ข้าก็อุตส่าห์สะกดรอยตามคนส่งหนังสือไปตอนแรกนึกว่าเป็นลูกน้องของพ่อเจ้า แต่พอออกจากเขตหมู่บ้านไป่ซู่ไม่กี่เส้น ก็หายตัวไปเหมือนปีศาจ พอไปถามลุงอวี้ก็ได้ความว่าคนมาส่งหนังสือมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ เพราะสามารถเดินบนยอดไม้แตะเมฆาได้สบายเหมือนเดินบนถนน ถามหน่อยเถิดเจ้าตัวเท่าลูกหมาจะเอาอะไรไปสู้เขาได้” เต๋อผิงพูดเหมือนดูถูกแต่มันก็เป็นเรื่องจริง ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่ไร้กาจอย่างนี้ ข้าจะเอาอะไรไปสู้เขาได้

คราวนี้ข้ายืนไม่อยู่รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ใจหนึ่งก็โทษตัวเองที่ไม่เข้มแข็ง พอไม่กล้าทำในสิ่งที่ฝัน ใจหนึ่งก็นึกโทษเต๋อผิงที่พูดตรงเกินไป ข้าได้แต่นิ่งเงียบจนน้ำตามันไหลออกมา

“ต่อให้มันเป็นเทวดา ข้าก็ปีนให้ถึงท้องฟ้า จะลากคอมันมาขอโทษข้าให้ได้”

“เจ้าเพ้อฝันไปแล้ว เจ้าจะปีนขึ้นท้องฟ้าได้เช่นใด ในเมื่อเจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ”

“ฮือๆ ข้าจะฆ่ามัน”

“อ้าว ร้องไห้ซะแล้ว ข้าขอโทษๆ”

“แต่ข้าจะสู้ ข้าไม่มีทางให้กวีกล้วยไม้เน่านั่นมาเหยียบจมูกข้าเป็นแน่ เจ้าโตมากับข้า รู้ใช่ไหมว่าข้าเจ็บใจมากเพียงใด”

เต๋อผิงเอามือเช็ดน้ำให้ข้า สายตาเขาตอนนี้มีความร้าวรานใจอย่างเต็มเปี่ยม ใช่..ผู้ชายที่เกือบรูปงามคนนี้อาจจะกวนประสาทไปข้าบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยเกลียดข้า เรื่องดังกล่าวในความปากไม่ดียามพลั้งเผลอคงอยากมาแจ้งข่าวแก่ข้าแน่ๆ

“อย่าร้องไห้ เจ้าน่าจะตะโกนโวยวายเสียมากกว่า ถ้าร้องไห้มันไม่ใช่วิสัยเจ้า”

“ข้าน่ะควรมีอะไรเสียใจไปมากกว่านี้อีกล่ะ ข้ามีเงินเยอะจนไม่คิดเรื่องแต่งงาน แต่ข้าก็ไม่อาจจะทำตามใจตัวเองได้ เพราะท่านพ่อสั่งห้ามข้าเขียนหนังสือขาย เพราะท่านปรารถนาให้ข้าอยู่ในบ้านเพื่อรอคอยบรรดาลูกขุนนางที่มาแวะเวียนมาดูตัวข้าไปเป็นภรรยา แต่คนพวกนั้นน่ะไม่ได้สนใจข้าหรอกเขาสนใจเงินของข้าต่างหาก มีสามีที่ไม่จริงใจข้าจะมีไปทำไม เพราะตลอดเวลาข้าเห็นท่านแม่ช้ำใจอยู่ทุกวัน”

ข้าร้องไห้อย่างหมดอาย เต๋อผิงกางแขนออกตวัดร่างของข้าเข้ามากอด มือหนาหยาบกร้านตบที่หลังข้าเบาๆ อย่างปลอบโยน ข้าเคยชินเสียแล้วถ้าเขาจะทำแบบนี้ เพราะจางเต๋อผิงสำหรับข้าน่ะ เขาเป็นเพื่อนและพี่ชายในเวลาเดียวกัน

“งั้นหนังสือของเจ้าเอาไปขายในร้านข้าก็ได้ ถ้าจะสู้กัน เจ้าควรสู้ด้วยศักดิ์ศรีของกวี แต่อย่าเสียน้ำตาเพราะคนที่ลอกหนังสือของเจ้า เข้าใจไหม”

“แล้วถ้าท่านพ่อเจอล่ะ ร้านของเจ้าน่าจะโดนปิด”

“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพ่อของเจ้าคงไม่เอาตำแหน่งมาแลกหรอก ที่ไม่ขายหนังสือของเจ้า เพราะข้ากลัวเจ้าจะโดนดุเสียมากกว่า แต่มันก็มีวิธีอาจจะยุ่งยากเสียหน่อย แต่ข้าจะลองดู”

 

เต๋อผิงคลายอ้อมกอดพลางบอกข้า เขามีท่าทางหนักใจ แต่ในตอนนี้ข้าไม่ทุกข์ใจเรื่องนั้นหรอก ข้าทุกข์ใจที่มีคนลอกหนังสือของข้ามากกว่า เมื่อเพื่อนรักบอกให้วางใจเรื่องการสืบหาหลันฮวา เขาบอกว่าจะกระจายข่าวไปร้านหนังสือต่างเมืองให้ช่วยสืบให้ เรื่องใดๆ ก็อย่าเก็บมาคิดให้เป็นกังวล สหายรักของข้าเก็บหนังสือที่วางขายในเพิงและบอกว่าจะเอาหนังสือไปที่ร้านเอง เมื่อไปถึงร้านแล้วเขาจะไหว้วานบ่าวให้เอาหนังสือของหลันฮวามาให้ข้าเพื่อดูว่ามีส่วนใดคล้ายกันบ้าง

ในความเป็นจริงข้าก็ไม่อยากดูนักหรอก เพราะยิ่งดูมันก็ทำให้คิดมาก แต่จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญมันคงไม่ใช่ ก็เต๋อผิงทักเสียขนาดนั้น นั่นทำให้ตลอดทางข้าต้องเดินกลับบ้านเหมือนกับคนไร้วิญญาณ กว่าจะมารู้ตัวอีกทีข้าก็ได้ยินป้าหย่งเรียกให้กินขนมบัวลอยน้ำขิงที่ตั้งแผงขายร้อนๆ ข้างทาง แต่ข้าปฏิเสธนางด้วยรอยยิ้มและตัดสินใจเดินเร็วกว่าปกติ เพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดมากไปกว่านี้

“เดินเร็วเหมือนผีไม่มีขา หรือกลัวว่าจะได้เสียเงินซื้อบัวลอยของข้ากันแน่!” เสียงของป้าหย่งลอยมาตามลมราวกับจงใจข้าได้ยิน เสียใจแต่ข้าก็ไม่ซื้อของนาง

 

หนทางข้างหน้าทำให้ข้าเห็นบ้านเรือนไม้ ที่สร้างเป็นหอสูงท่ามกลางร้านค้ามากมาย ตลาดซินเย่ว์ถือเป็นตรอกคหบดีที่คนชั้นต่ำย่างกรายเข้ามาได้ยาก หอสูงที่มองจากข้างนอกว่าใหญ่แล้วยังงดงามด้วยข้างในที่ตกแต่งอย่างดี  ในนั้นมีภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุด จะเป็นรองก็เพียงห้องเครื่องของหวงตี้เท่านั้น

หอจันทร์เสี้ยวที่เป็นบ้านข้าถือเป็นภัตตาคารที่ไม่อาจมีที่ใดกล้าเทียบรัศมี ขนาดหวงตี้องค์ปัจจุบัน ต้องส่งคนมาทาบทามในคนสกุลท่านแม่ ไปทำงานเป็นแม่ครัวหลวง ซึ่งตระกูลของท่านแม่สืบเชื้อสายจากแม่ครัวเอกในราชวงศ์ถังหลายชั่วคน และอาจจะเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวนัก ที่ตำราสุดยอดอาหารของตระกูลจะไม่ถูกถ่ายทอดไปสู่คนภายนอก คนทั่วแผ่นดินต้าซ่งมักเล่าลือกันว่า

“หากอยากกินอาหารชาววังต้องมาที่หอจันทร์เสี้ยวเท่านั้น”

ช่วงที่คิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น ก็บังเอิญเห็นพี่ชายลูกภรรยารองของท่านพ่ออยู่กลางถนน มันคงเป็นการดีที่ข้าจะหลบหน้าเขา แต่หารู้ไม่ว่ามีอีกคนที่เดินข้างหลังข้าไม่กี่ก้าวจะเป็นคนเดียวที่ข้าเกลียดมากกว่างูตายก็เดินมาด้วย

ไม่ใช่ใครหรอก เฉินหลวน ลูกชายใต้เท้าข้างบ้านข้าเอง

“ถึงประตูแต่ไม่เข้าบ้าน คุณหนูสกุลโม่หลีกเร้นกายมิให้ใครเห็นล่ะ”

“ข้าจะเข้าประตูหลัง เพราะข้าขี้เกียจเดินไปข้างหน้า อยากเข้าไปหาน้ำขิงอุ่นๆ กินเสียหน่อย”

ข้าพูดพยายามเดินหนี แต่รูปร่างราวอวบอ้วนของเฉินหลวน กลับเป็นอุปสรรคขัดขวางทางไปข้านัก ไม่ว่าจะไปทางไหนมันแกล้งขวางข้าอยู่ร่ำไป

“ได้ยินข่าวพี่ชายของเจ้าสอบเข้าทำงานที่กองเก็บภาษีได้แต่ก็มีข่าลือว่าเสียใต้โต๊ะเป็นเงินมากโข เสียดายนักนะที่ลูกสาวของนายหญิงจางซื่อซินกลับไม่เอาไหน มีกิจการใหญ่โต แต่กลับไปนั่งตากหิมะไปขายหนังสือประโลมโลก ข้าว่าจะแจ้งข่าวนี้ให้พี่ชายเจ้ารู้หน่อยเป็นไร เขากับข้านะถูกคอกันดีนะ”

“ถึงข้าไม่เอาไหนก็ดีกว่าเจ้าล่ะ สอบเข้ารับราชการกี่ปีแล้วล่ะ ตำแหน่งเจ้าหน้าเบิกความ เปิดสอบทุกปีแต่เจ้าก็ยังสอบไม่ได้ คนอย่างเจ้าน่าจะเอาดีโดยการไปเปิดสำนักคุมซ่องดีกว่า เพราะเมื่อเร็วๆนี้ ข้าเห็นเจ้าเข้าออกสำนักโคมเขียวเป็นว่าเล่นทุกเช้าเย็น”

“โม่เหลียนฮวา ไว้หน้าข้าบ้างนะ แกล้งพูดเสียงดังให้ข้าอับอาย ถ้าเป็นเจ้าคงสอบไม่ได้เหมือนกันแหละ เจ้ามันก็ดีแต่ทำเรื่องไร้สาระ!”

“เฮอะ แต่เป็นโชคดีของเจ้า ที่ข้าเป็นผู้หญิง เพราะถ้าหากทางการเขาเปิดให้สตรีสอบ ข้าคงสอบได้ตั้งแต่ครั้งแรก อย่าลืมสิ ท่านอาจารย์เสวียนยังออกปากชมข้าบ่อยๆ ผิดกับเจ้า สะกดคำว่า สุภาพชน ยังไม่ได้ด้วยซ้ำแถมยังทำตัวต่ำทั้งๆที่เกิดในตระกูลสูง อย่าคิดว่าคนอื่นเหมือนเจ้าสิ!”

ข้าตอบออกไปอย่างเผ็ดร้อน ได้ผลมันทำให้ใบหน้าอวบอ้วนของเฉินหลวนแดงจัด เหมือนผลลูกท้อแก่คาต้น ด้วยความสะใจข้าจึงยิ้มหวานๆ ทิ้งท้าย แต่ทว่าก้าวออกไปแค่สามก้าว ไอ้หมูจำแลงนี่ก็ดึงคอเสื้อของข้าไว้ทัน

“เจ้าสบประมาทข้า ข้าไม่แปลกใจเลยเรื่อง ลูกชายนายกองอู๋จะไม่แต่งกับเจ้า ผู้หญิงอะไรหน้าตาก็แย่แถมปากคอเราะร้าย ถ้าหากได้ไปสงสัยจะเป็นแม่ผีเรือนแทนแม่ศรีเรือนกระมัง”

“ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เงินทองข้ามากมาย ไยข้าต้องสนใจความรักที่จับต้องไม่ได้ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”

“เจ้าเป็นแม่ข้ารึ ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย!”

สุดจะทนข้ากัดแขนเฉินหลวนสุดแรง เจ้าหมูนี่ก็ใช่ย่อยเหวี่ยงข้าไปรอบๆ ราวข้าเป็นตุ๊กตา ความเจ็บแค้นมากมายเพราะถูกสบประมาท ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยอมถูกด่าว่าฝ่ายเดียวหรอก

“เฮ้ย! ไอ้พวกบ่าว มาจับตัวนังหมาบ้าออกไปที” คนหลายคนกรูเข้ามาดึงข้าออกจากร่างนาย แต่ข้าก็ยังทิ้งท้ายด้วยการใช้แรงที่มีทั้งหมดถีบเจ้าอ้วนนี่จนเสียหลักล้มลงไป

“นังผู้หญิงอัปลักษณ์จับมันไว้แน่นๆ



Don`t copy text!