ชื่นกลิ่นกุสุมา บทที่ 4 : ยอมเสีย..เพื่อรอกำไรของชีวิต

ชื่นกลิ่นกุสุมา บทที่ 4 : ยอมเสีย..เพื่อรอกำไรของชีวิต

โดย : อวิ๋นหลง

Loading

ชื่นกลิ่นกุสุมา เรื่องราวของโม่เหลียนฮวา หญิงสาวที่โชคชะตาก็ทำให้เธอกลายมาเป็นพระชายาของบุตรชายปาเสียนอ๋อง ตำแหน่งที่มาพร้อมความยุ่งเหยิงในชีวิต แต่นางก็แสนจะเต็มใจ นิยายจีนของ อวิ๋นหลง นักเขียนสาวผู้มีผลงานมาแล้วมากมายหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้คือนิยายจีนเรื่องแรกของเธอ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ 

****************************

– 4 –

วันต่อมาท่านพ่อก็เก็บของออกจากหอจันทร์เสี้ยวเหลือเพียงความอาลัย โดดเดี่ยวและว่างเปล่าที่นี่…

ในความเป็นจริงแล้ว ข้าเสียดายบ้านที่ตรอกชิงไห่นะ เพราะว่าบ้านหลังนั้น ท่านแม่ต้องอดออมตั้งหลายปี กว่าจะมีบ้านที่หลังใหญ่ขนาดนั้นได้ แม้ตัวข้าจะอยู่ที่หอจันทร์เสี้ยวส่วนใหญ่ ทุกๆวันข้ากับท่านแม่ต้องกลับบ้านไปเตรียมอาหาร ไปดูปลาในบ่อที่เลี้ยงไว้ แต่ในเมื่อท่านแม่ตัดสินใจอย่างนั้นแล้ว ข้าก็ต้องทำใจให้ได้

ทุกอย่าง…มันเป็นเพราะข้าคนเดียวเท่านั้น

“เฮ้อ!”

“ถอนหายใจออกมาเป็นทองคำบ้างสิ ข้าจะได้รวยๆ” เต๋อผิงพูดพลางยิ้ม เขาเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครมาบอกข้าเลย ข้าขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้มันดีกว่าการเอาคางเกยหัวเข่า ทั้งนี้เพราะว่าเต๋อผิงมักจะว่าข้าไม่มีความเป็นกุลสตรี เขาถือถุงใส่เงินมาด้วย

“มาทำไม”ข้าถาม เต๋อผิงเลิกคิ้วสูงพลางยิ้ม

“ข้าเอาเงินค่าหนังสือมาให้น่ะสิ เอ้า เอาไป” เขายื่นถุงเงินหนักๆ มาให้ข้าพลางถือวิสาสะนั่งลงที่ม้านั่งใกล้ๆ ดวงตาของข้าเบิกกว้างเพราะตั้งแต่ขายหนังสือมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้จับเงินเยอะที่สุด

“เจ้าขายหมดเลยเหรอ!”

“ใช่ แค่คืนเดียวหนังสือของเจ้าขายหมด แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัย ท่านพ่อของเจ้าใจดีอะไรถึงยอมปล่อยให้เจ้าอยู่แบบนี้ได้ ทั้งๆที่เจ้าเอาหนังสือไปขายในร้านข้า ที่ข้าคาดเดาไว้น่ะ ท่านน่าจะโกรธมากถ้ารู้ว่าเจ้าขัดคำสั่ง แต่ไม่เลยท่านอาโม่เดินออกไปเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือท่านอาจะอนุญาตเจ้าแล้วเรื่องหนังสือ”

เต๋อผิงพูดท่าทางดีใจ เรื่องลึกๆภายในครอบครัวข้าเองก็ไม่ควรเอาออกไปให้เสียหน้า แต่ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงรู้เรื่องนี้เพราะปากคนไวกว่าปากกาเสียอีก ถ้างั้นรู้จากปากข้าย่อมดีที่สุด

“ข้าคงไม่กลับไปที่บ้านใหญ่แล้วนะ ข้ากับท่านแม่ย้ายมาอยู่หอจันทร์เสี้ยวถาวรแล้ว”

“อ้าว! ทำไมล่ะ บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของเจ้านะ ทำเลก็ดีแถมยังใหญ่โตกว้างขวางอย่างกับวัง ข้ายังอิจฉาเจ้าเลยที่มีบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้น แล้วทำไมออกมาเสียล่ะ”

ข้าตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เต๋อผิงฟัง แน่นอนเขาย่อมรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะตัวต้นเหตุคือเฉินหลวนที่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย แต่การตัดสินใจเช่นนี้เขาก็บอกว่าเสียดายบ้าน เพราะเห็นว่าท่านแม่ลำบากมากกว่าสร้างบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า แต่ภรรยารองของท่านพ่อกลับได้ครอบครองบ้านหลังนี้แทน

“ข้าก็เสียดาย แต่ข้าก็สงสารท่านแม่ ที่มันเป็นแบบนี้เพราะข้าคนเดียว”

“ไฮ้ เจ้าไม่ได้ผิด เรื่องทุกอย่างมันเกินที่ท่านอาหญิงจะทนไหวแล้ว บางทีการออกมาแบบนี้อาจจะดีกับเจ้าก็ได้ อย่างน้อยเจ้าก็ได้เขียนหนังสือได้อย่างเป็นสุข นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เจ้าก็เป็นกวีได้ ถุงเงินหนักๆบอกเจ้าอยู่นี่อย่างไร”

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ข้าอยากเป็นมากกว่านั้น ข้าอยากเป็นกวีที่ทำให้คนอ่านจดจำตัวตนข้าได้ ไม่ว่าข้าจะหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าก็หวังเพียงให้เขารักในสิ่งที่ข้าเขียน”

“เจ้าทำได้!”

เต๋อผิงพูดพลางเอามือตบไหล่ข้าเบาๆ ข้าอิงไหล่หนาของเขาอย่างคนหมดที่พึ่ง ข้ามีเพื่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ตลอดเวลาเราจะทะเลาะกันตามประสาแต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งข้าในวันที่อ่อนแอที่สุด ในเวลานั้นท่านแม่ก็เดินเข้ามาพบทันที อะไรก็ไม่ทราบได้ทำให้เต๋อผิงลุกขึ้นยืนสุดตัว

“ผิงเอ๋อร์มาก็ดีแล้ว วันนี้เอาขนมไปฝากท่านพ่อเจ้าด้วยนะ เมื่อวานท่านให้บ่าวเอาน้ำผึ้งชั้นดีมาให้ อายังไม่ได้ไปขอบคุณท่านเลย”

“ไม่เป็นไรขอรับ อยู่ที่บ้านก็ยังมีอีกเยอะ ท่านพ่อชอบเอาน้ำผึ้งมาผสมยาบางตัว สั่งซื้อมาก็เยอะ ข้าอยากให้ท่านอาได้ชิมรสหวานๆ ของมัน บางทีอาจจะรู้สึกสดชื่นขึ้นก็ได้”

“หน้าของอาเหมือนกับคนไม่มีความสุขรึ ข่าวลอยตามลมเร็วเหมือนกันนะ” ท่านแม่พูดติดตลกแต่ข้ากลับฟังว่ามันขมขื่นนัก วันที่ออกจากบ้านที่ตรอกชิงไห่ ท่านแม่ไม่เอาอะไรมานอกจากเสื้อผ้าเครื่องประดับประจำตระกูล หนึ่งในนั้นก็ปิ่นเสียบผมที่แกะสลักมาจากไม้ พอมาคิดได้ว่ามันเป็นของขวัญแต่งงาน ใจข้าก็สงสารท่านจับใจ

“ทุกอย่างเป็นเพราะข้า ท่านแม่ถึงต้องเป็นแบบนี้” ข้าได้แต่คิดอย่างเจ็บปวด

“เหลียนเอ๋อร์ เป็นอะไรไปลูก เขียนหนังสือเสร็จยัง”

“ข้าว่าจะไม่เขียนแล้วค่ะ ช่วงนี้ใจของข้ามันวุ่นวายจนเขียนอะไรไม่ได้ ข้าอยากจะทุ่มเทช่วยท่านดูแลหอจันทร์เสี้ยวสักพัก เพราะเราต้องเลี้ยงคนอีกมากมาย ข้าจะเอาความสบายของตัวเองมาแลกความทุกข์ของคนอื่นไม่ได้”

ท่านแม่ยิ้ม ทั้งๆที่น้ำคลอเต็มหน่วยตา ในแววนั้นข้ารับรู้ได้ว่ามันหมายถึงอะไร

“เพราะแม่เหนื่อย แม่ถึงอยากเห็นว่าเจ้าทำได้ ความสุขของแม่ในชีวิตเหลือเพียงเจ้าเท่านั้น ในเมื่อแม่เดินจากมาแล้วจะเดินถอยหลังไม่ได้ คนอย่างแม่น่ะทนไม่ได้หรอก ที่จะเห็นใครเขารังแกเจ้า”

“ท่านแม่เจ้าขา ลูกอกตัญญูนัก ทุกอย่างเป็นเพราะข้า ที่ท่านพ่อจากเราไปก็เป็นเพราะข้าอีกนั่นแหละ”

“อย่าโทษตัวเองเลยลูก ปล่อยพ่อเจ้าไปตามทางที่เขาปรารถนาเถิด แต่จงจำไว้เถิดลูกรัก แม่ยอมสูญเสียทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมเสียเจ้าไป แม่เป็นแม่ค้าเรื่องกำไรขาดทุนเป็นเรื่องที่คิดมาตลอด ในเรื่องนี้แม่คิดดีแล้วต้นทุนของหัวใจที่เหลืออยู่ย่อมต่อยอดไปให้ถึงกำไรอันยิ่งใหญ่ได้”

ท่านแม่ยิ้มแต่ดวงตาของท่านไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ชั่วชีวิตคำว่ารักและรอของท่านมันคำนวณแล้วว่าขาดทุนมาตลอด ข้าโผเข้าไปกอดท่านด้วยหวังว่าจะแบ่งเบาความทุกข์สักครึ่งมาไว้ที่ตัวได้บ้าง เต๋อผิงอยู่ใกล้ๆได้แต่ถอนหายใจน้อยๆอย่างไม่สบายใจ

“ผิงเอ๋อร์มาทั้งที เราไม่น่าทำให้เขาไม่สบายใจ เอาล่ะ..หลานรักวันนี้เจ้าโชคดีนัก ที่จะได้กินอาหารของแม่ครัวหลวง เหลียนเอ๋อร์…วันนี้ท่านยายน้อยมาที่หลินอันและจะมาพักกับเรา”

“ท่านยายน้อยจิวอวี่ จะมาพักที่หอจันทร์เสี้ยวเหรอคะ แล้วจะมาได้กี่วันคะ”

“น่าจะสักห้าหกวันได้ เพราะในวังจะมีการเลือกพระชายามีเจ้าหญิงจากต่างแคว้นมาหลายองค์ อาหารแปลกๆบางอย่างต้องขึ้นโต๊ะเสวยด้วย หน้าที่ของแม่ครัวใหญ่ต้องมาเลือกวัตถุเอง งานนี้เจ้าน่าจะช่วยได้มาก ช่วยท่านยายคัดของด้วยล่ะ เจ้าด้วยนะผิงเอ๋อร์

“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ ข้าก็อยากกินอาหารชาววัง ข้าต้องมาแน่นอนขอรับ” เต๋อผิงบอกอย่างจริงใจ

“ข้าคิดถึงท่านยายน้อยมาก อยากจะกินเกี๊ยวห่อเนื้อแกะเต็มทน ท่านยายจะมาถึงวันนี้ใช่ไหมเจ้าคะ” ข้าถามอย่างตื่นเต้นในขณะที่ท่านแม่พยักหน้ารับ หลายปีแล้วที่ท่านยายคนเล็กของตระกูลต้องไปทำงานที่ครัวหลวงของราชสำนัก

ตอนนี้ได้ชื่อว่าผู้ที่ครอบครองตะหลิวทองคำพระราชทานคือคนสกุลจางของท่านแม่นั่นเอง

นานๆครั้งข้าถึงจะได้พบท่านยายบ้าง นี่ท่านคงมาด้วยเรื่องสำคัญเป็นแน่ และการมาของท่านยายน้อยคงทำให้ใจข้าคลายเศร้าลงไปได้มาก เพราะท่านยายเป็นคนอารมณ์ดี ใครอยู่ด้วยแล้วก็สบายใจ บางทีท่านยายอาจจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลหนึ่งก็คือการปลอบโยนจิตใจของท่านแม่ในเวลานี้

เก็บความขมขื่นไว้ภายใน เจ็บปวดเท่าใดต้องยิ้มให้มากเท่านั้น 

นี่แหละท่านแม่ของข้า

ตอนเย็นวันนั้นข้าต้องออกมารับหน้าแขกที่หอจันทร์เสี้ยว เพราะเป็นวันที่แม่ครัวหลวงจะมาที่นี่ แขกเหรื่อจึงมากกว่าปกติ แต่ท่านยายน้อยมักจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้ใครกินง่ายๆ หากอยากลิ้มรสอาหารราชสำนัก แม่ครัวฝึกหัดลูกศิษย์ท่านก็ทำได้ ทั้งนี้เพราะมือที่ทำอาหารถวายพระราชาจะทำอาหารให้คนอื่นกินบ่อยๆคงไม่ดีแน่

“เอาข้าวห่อใบบัว ซุปเนื้อแกะ เกี๊ยวทอด ราคาจานละหนึ่งตำลึงทองคำแต่ต้องเป็นฝีมือแม่ครัวหลวงเท่านั้น”

แขกคนหนึ่งเอ่ยอย่างวางก้าม เขาคงอยากอวดว่ารวย แน่นอนที่สุดเพราะหลินอันนั้นแม้มิใช่เมืองหลวงแต่ก็เป็นเมืองใหญ่เป็นศูนย์กลางของการค้าของต้าซ่ง หอจันทร์เสี้ยวนอกจากจะเป็นภัตตาคารอาหารที่ใหญ่ ยังเป็นที่พักชั้นเยี่ยมของพ่อค้าต่างแดนด้วย

ที่นี่จึงมีทั้งลูกค้าที่มาลิ้มรสอาหารและนักเดินทางที่มาพักพิง

“เมื่อไหร่อาหารจะมานะ”ลูกค้าร่างอ้วนพูดอย่างอารมณ์ฉุนเฉียว ข้าเดินไปรับหน้าแขกพลางยิ้มกว้าง พี่อี้เหลียนที่อยู่ด้านหลังถือสุราชั้นดีมาด้วย

“ที่จริงสั่งอาหารจากพ่อครัวมือหนึ่งของเราก่อนก็ได้นี่คะ ถ้าจะรอแม่ครัวหลวงท่านอาจจะต้องรอนาน ข้าเกรงว่าถ้าถึงตอนนั้นอาจจะถึงขั้นประมูลจานกัน”

“ข้ามีเงิน ไม่ต้องห่วง!”

ถุงเงินหนักๆ สามถุงถูกวางไว้บนโต๊ะราวกับจะข่มขวัญแขกคนอื่น ข้ายิ้มแห้งๆ ไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกไปมาก เพราะตามธรรมดาการประมูลจานเกิดขึ้นบ่อยๆที่หอจันทร์เสี้ยว วันนี้ข้าต้องต้อนรับแขกพร้อมกับเอาของว่างมารับหน้าพวกเขา

แขกชั้นหนึ่งถูกรับเชิญให้นั่งข้างหน้าใกล้กับลานแสดงระบำให้มากที่สุด ส่วนแขกชั้นสองจะอยู่ห่างออกไปและเป็นความจริงที่พวกเขาย่อมไม่มีเงินพอที่แข่งขันประมูลจานกับพ่อค้ารายใหญ่เหล่านี้

“ข้าอยากขายหนังสือได้แบบนี้บ้างจัง” เต๋อผิงเอ่ยพลางมองถุงเงินหนักๆ ข้ามองเขาตอบแล้วบอกกับเขาเหมือนกันว่า ถ้าเทียบจำนวนเงินหนึ่งถุงข้าคงมีคนอ่านหนังสือเป็นร้อย แน่นอนที่สุดกว่าจะถึงจุดนั้นข้าต้องมีชื่อเสียงพอ

“คุณหนูเจ้าคะ ขบวนรถม้าของนายหญิงผู้เฒ่ามาถึงหน้าตลาดแล้วเจ้าค่ะ” พี่อี้เหลียนแวะเข้ามากระซิบบอกข้าให้รู้ตัว ในเวลานั้นเองข้าก็บอกกับลุงตู้ให้เปิดตัวการแสดงชุดแรกออกมา

หอมใดฤาเท่านวลน้อง     พี่หมายปองดวงสุดาจนเพ้อหา

หนึ่งในหล้าหอมเพียงเจ้ากุสุมา     แก้วกานดาหวานซึ้งตรึงถึงใจ

เสียงปรบมือดังสนั่น หลังจากที่นางระบำศิลปะแคว้นฉู่ออกมา ข้าเป็นคนแต่งนิยายชมโฉมกุสุมาขึ้นมาเอง หลังจากที่เขียนหนังสือชายาหลังม่านจบ ข้าก็คิดหนังสือเรื่องใหม่ได้เรื่อยๆ การร่ายรำดังกล่าวเป็นผลพลอยได้จากหนังสือของข้าเอง

ช่วงเวลาที่สาวงามกำลังร่ายรำนั้น บ่าวผู้ชายคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังลั่นบอกว่าบัดนี้แม่ครัวหลวงได้มาถึงแล้ว

“ข้าจะประมูลจาน เนื้อแกะตุ๋นต้องเป็นของข้า”

พ่อค้าม้าชาวเหลียวพูดแปร่งๆ มองที่ประตูทางเข้าอย่างใจจดจ่อ ใช่ว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่คิดเช่นนั้น คนอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือคหบดีคนอื่นก็เอาถุงเงินหนักๆ มาวางบนโต๊ะ เต๋อผิงเห็นถุงเงินแล้วก็ตาโตตามนิสัยเดิมที่ละโมบ เขาขยับเข้ามาใกล้ๆพลางกระซิบบอกกับข้าว่า

“ถ้าขายอาหารได้จานละหนึ่งถุงเงิน ข้าจะยอมแต่งงานกับเจ้าก็ได้”

“แต่งกับข้าก็ได้ แต่เจ้าต้องขายแต่หนังสือของข้าเข้าใจไหม สำหรับเจ้าเป็นเพื่อนของข้าน่ะดีแล้ว” ข้าเอ่ยพลางเอาศอกถองเข้าสีข้างเต๋อผิงเต็มแรง เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดการแสดงทุกอย่าง ข้าต้องขึ้นไปทำหน้าที่แทนท่านแม่ บ่าวไพร่บางส่วนเริ่มเอาอาหารจานแรกออกมาให้ลูกค้า

“วันนี้ทางหอจันทร์เสี้ยวมีการประมูลจานสามใบ ในจำนวนอาหารทั้งหมดเจ็ดอย่างจากฝีมือของพ่อครัวมือหนึ่งของเรา”

“ไม่เอา! ข้าให้คนไปสืบมาแล้ว วันนี้แม่ครัวตะหลิวทองจางจิวอวี่จะมาที่นี่ ข้าให้สิบตำลึงทองสำหรับเนื้อแกะตุ๋น”

“ข้าจะประมูลเนื้อแกะตุ๋น!”

“ข้าด้วย!”

“ข้าเอาข้าวห่อใบบัว!”

“ข้าก่อน!”

เสียงโวยวายดังขึ้นเพราะบรรดาลูกค้าต่างก็แย่งกันประมูล ข้ารู้สึกไม่ค่อยชอบเวลาแบบนี้สักเท่าไหร่ หอจันทร์เสี้ยวจะเปิดประมูลจานไม่บ่อยนัก ในหนึ่งปีจะประมูลแค่สองครั้งเท่านั้น แม้ตามธรรมดาจะมีคนเข้าร้านมาก แต่ถ้าเป็นวันพิเศษดังเช่นการกลับมาของท่านยายน้อย คนจะหนาตาเป็นพิเศษ เสียงของคนหลายคนเดินมาหยุดที่ถนน

“เปิดประตูรับนายหญิงผู้เฒ่าด้วย!”



Don`t copy text!