ดรรชนีชี้ตาย บทที่ 1 : ความลับที่ลานโพธิ์

ดรรชนีชี้ตาย บทที่ 1 : ความลับที่ลานโพธิ์

โดย : อสิตา

Loading

ดรรชนีชี้ตาย โดย อสิตา นิยายออนไลน์ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอกับเรื่องราวของหนุมานและพลยักษ์ที่เป็นคู่แค้นตลอดกาล…จะมีวันที่สองเผ่าพันธุ์จะญาติดีกันได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อตัวละครจากวรรณคดีเหล่านั้นได้มาโลดแล่นอยู่ในโลกของมนุษย์ การสู้รบจะยังดำเนินต่อไป โดยมีเธอ…ผู้เป็นหัวใจของทั้งสองฝ่ายเป็นเดิมพัน

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

มือผอมๆ กำกระชับปลายด้ามไม้กวาดทางมะพร้าว ยามเงยมองขึ้นไปยังโพธิ์ตระหง่าน โพธิ์เผือก ใบมันก็เขียวๆ อย่างปกติธรรมดานี่เอง มีเพียงบางช่อบางส่วนของลำต้นที่ดูซีดขาวต่างออกไป

ชาวบ้านว่ากัน มันมีอายุยืนนานมากว่าสองร้อยปี ทั้งยังลือว่าหน่อของโพธิ์ต้นนี้แยกมาจากต้นเก่าแก่ยิ่งไปกว่า ต้นแม่ของมันมีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ใครเลยจะรู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะคนที่รู้ล้วนไม่อยู่จะเล่าเสียแล้ว แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่ว่าจะปู่ของปู่หรือรุ่นเก่ากว่านั้น…ต่างเล่าให้ลูกหลานฟังว่าเกิดมาก็เห็นมันยืนต้นอยู่เดียวดายเช่นนี้

ตัวหลวงพี่เองเป็นพวกทำงานเร็ว ลงมือจับทำอะไรก็ฉับไวหมดจดจนใครๆ ชม แต่ในใจยังรู้ดี ตนนั้นเข้าข่ายเร็วจนล่ก นับว่าหวั่นไหวแปรปรวน ใจเร็วด่วนได้เสียด้วยซ้ำ…หลายครั้งยังต้องนึกย้อนเสียใจภายหลัง

ทำงานอื่นให้เสร็จก่อน เหลือเพียงหน้าที่ประจำตรงนี้ที่อยากจะอ้อยอิ่งอยู่นานๆ ด้วยชอบกวาดลานวัดซึ่งโพธิ์ใหญ่ยืนต้นตระหง่าน บางใบด่างพร้อยไม่สมประกอบ บางช่อแตกออกมาเป็นสีเผือกโพลนทั้งแง่ง หลวงพี่กวาดใบโพธิ์ซึ่งปลิวมาหล่นกองกับใบไม้อื่น รวมแล้วก็มากมายราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่ผู้ครองจีวรสีขมิ้นผืนเก่าสี่ปีก็ชอบชั่วขณะนี้ยิ่งกว่าช่วงอื่นใดของวัน มันทำให้เข้าถึงบางอย่าง เสียงไหวกราวของใบโพธิ์ยามต้องลมราวกับสะกดจิตให้เพลินอยู่ในห้วงนั้น

ตั้งแต่ถูกเด็กวัดเรียกว่าหลวงพี่ๆ อยู่ตลอด หลวงพี่ก็ชักเลิกสนใจจะนึกถึงชื่อของตัวเองไปเสียแล้วว่ามันคืออะไร ช่างปะไร ปล่อยวางเป็นจุดประสงค์ของการมาบวชเรียน หรือมิใช่

รูปนามเป็นของไม่เที่ยง…

ตัวตนนี้ก็ไม่มี ทุกอย่างก็แค่ชั่วคราว…

สี่ปีทำให้คุ้นเคยกับที่นี่ ทว่าอย่างหนึ่งอย่างเดียวที่ไม่คุ้นเลยคือบรรยากาศยามค่ำคืน หลวงพี่นั้นต้องการความสันโดษ ทั้งด้วยวัยอันแปลกแยกจากพระรูปอื่นๆ ในวัดซึ่งล้วนมากพรรษา ทำให้ต้องระเห็จมาอยู่เดียวดายยังกุฏิท้ายวัดติดกับสวนของชาวบ้าน อย่าเรียกว่าสวนเลยจะดีกว่า สภาพมันเหมือนกับป่าใหญ่ร้างไร้ขอบเขต ครั้นทอดตาออกไปจากช่องหน้าต่างก็เห็นดงลาน ใบลานไกวกวักเหมือนมือเปรตเพรียกหา ต้นมะขามใหญ่เห็นเป็นเงาตะคุ่ม กาฝากโหนซากต้นตาลรุงรังทิ้งชายห้อยไสวในสายลม เสียงใบไม้ไหวซู่ซ่ายิ่งเสริมจินตนาการให้เตลิด

ที่ว่าตัวตนใดๆ ไม่มีนั้นก็ชักจะเหมือนมี ชัดขึ้น ทุกทีๆ

โดยเฉพาะ…ตัวตนของสิ่งที่มองไม่เห็น

เดือนสิบสองปีนี้หนาวเยือกเป็นพิเศษ ผ้าห่มและมุ้งเก่าเปื่อยแทบจะต้านทานอะไรไม่ได้ พยายามข่มตาจำวัดท่ามกลางเสียงลมเสียดใบไม้อยู่วู่หวิว สำเนียงแหลมครางเหมือนมีใครเรียกหา ในลมนั้นคลับคล้ายยินเสียงร่ำไห้! หลวงพี่นอนลืมตาโพลงเงียบกริบ เสียงเคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พาให้ขนที่หลังคอลุกเกรียว จนมันมาหยุดอยู่ใต้ถุนนี่เอง จังหวะหายใจแหบพร่า ติดจะขึ้นหืดในคอฟังเหมือนเป็นเสียงของผู้ชาย ผีหรือคน

ถึงจะหลายปีแล้ว แต่เพราะไม่ใคร่มีใครผ่านมา ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่ากุฏิเก่ากลางสุมทุมพุ่มไม้แถวโบสถ์โบราณมีพระมาจำวัดอยู่…

เสียงร้องไห้พึมพำคล้ายจะก่นด่าโชคชะตา ก่อนแปรเป็นคำรามเกรี้ยวอยู่ในคอเหมือนสัตว์ติดแร้ว มันกำลังทุรนทุราย หมายหาทางบรรเทาความเจ็บปวดเท่าที่จะมีปัญญาทำ

จนสุ้มเสียงประหลาดนั้นเคลื่อนพ้นใต้เรือนไป หลวงพี่แน่ใจ มันมุ่งตรงไปยังโบสถ์เก่าซึ่งถูกสร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีฯ แม้มิได้ใช้แล้วก็ไม่ได้รื้อถอน ยังเก็บไว้ให้คนผ่านมาดูชม… สักพัก หลวงพี่ได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงหืดหายใจในคอ รีบเร่งยิ่งกว่าขามา มันไม่ร้องไห้ ไม่ร้องแล้ว คล้ายจะมีเสียงหัวเราะขาดห้วงปนเปในช่วงหายใจสำลักอากาศกระหืดกระหอบนั้นด้วยซ้ำ หลวงพี่บังคับใจให้นิ่ง รอจนเจ้าของเสียงจากไป…

ลมเหมือนกระโชกมาแรงกว่าเก่า อากาศหนาวจนข้อแข็งขัดยามชันกายลุกขึ้น ความพรั่นพรึงในใจยังตกค้าง แต่ความใคร่รู้ว่ามันมาทำอะไรที่วัดมีมากกว่า หรือจะมาขโมย!

ช่างกล้า… พระประธานเศียรขาดองค์นั้น หลวงพี่เองไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปดูหรอก แต่ลือกันว่าน่ากลัวนักด้วยมีคราบสีคล้ายเลือดไหลเปรอะอาบองค์ ทั้งที่บอกตนเองว่าจะอะไรเสียอีก คงเป็นคราบอิฐคราบปูนละลายไหลหยดจากหลังคาเสียมากกว่า ถึงจะคิดอย่างนั้นก็ยั่งพรั่นพรึง แต่ถึงพรั่นพรึง ในคืนนี้กลับเสมือนมีบางอย่างดลใจให้ก้าวไป ท่ามกลางลมที่แรงจนเหมือนมหาวาตะ เจ้าของร่างเพรียวคลุมผ้าห่มบางๆ พากายฝ่าลมไปหยุดยืนอยู่หน้าโบสถ์เก่าไร้ประตูบานหับ เงยดู เงาหลังคาตะคุ่มก็ผุพังหายไปกว่าครึ่ง …อันตราย

อารามรีบร้อนจนลืมไฟฉาย ครั้นพุ่งมาจนถึงนี่จึงได้รู้ตัวว่าการมองเห็นดูจะตื่นโพลงแจ่มจ้าผิดประหลาดทั้งที่เป็นคืนเดือนมืด คล้ายมีบางสิ่งช่วยนำทางชักพามา แต่จะก้าวเข้าไปละหรือ… มองดูลาดเลา ในนั้นมีของที่คนขนเอามาทิ้งไว้มากมาย กลองโบราณ มีกระทั่งซากโครงเรือแจวลำเล็กซึ่งอาจจะเคยล่มพาคนตาย ทำไมไม่ไปกองไว้ใต้ต้นไม้ ทำไมต้องเป็นที่นี่ ตรงนี้

ครั้นเงยขึ้นไป สายตาของหลวงพ่อพระประธานที่มองลงมาราวจะตอบคำถามทั้งมวล เนตรนั้นคล้ายสะกดทุกอย่างไว้ให้แน่นิ่ง สะกด…ไม่ว่าทั้งดีหรือร้าย ภายใต้ครรลองสายตาที่ทอดลงมา ใครคงปั้นเศียรพระจำลองมาไว้แทนที่แล้วกระมัง พยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้ ทั้งที่ไม่อาจต่อตาท่าน ด้วยกลัวนัก หากเงยขึ้นอีกครั้งสิ่งที่เห็นจะเป็นองค์พระซึ่งเศียรยังกุดหายไป!

ไม่น่ามีใครบ้าพอจะมาขโมยของอัปมงคลที่ถูกเอามาทิ้งไว้ข้างในนี้

ถ้าไม่ได้มาเอา งั้นมันก็มาเพื่อ…

ทิ้ง…

ไม่น่ามาดูเลย หลวงพี่ร่ำร่ำจะถอดใจ หันหลังหมายบ่ายหน้ากลับ เสียงแผดสนั่นพลันประสานก้องมาจากในโบสถ์ ทำเอาหัวใจแล่นตีขึ้นจุกอกแล้วร่วงลงไปกองแทบตาตุ่ม แต่เสียงที่ว่ากลับทำให้ต้องถลาเข้าหาขยุ้มดำมืดหน้าพระประธานโดยไม่ต้องคิดซ้ำ ที่ได้ยินควรเรียกว่าแผดคำรามสั่งมากกว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือ มือผ่ายผอมปัดผ้าที่ห่ออะไรบางอย่างไว้ให้เลิกพ้นไป

แล้วหลวงพี่ก็เห็น…มือเล็กเกาะเกี่ยวกันแน่น ทั้งที่อ้าปากตะเบ็งไม่หยุดทว่าตาแข็งกร้าวสองคู่ยังเบิกโพลงเขม็ง จับจ้อง มองมา

ทารก ถูกเอามาทิ้งไว้ที่วัด ราวกับตุ๊กตาคู่แฝดอัปมงคล!

 

ข่าวมาถึงวัดแต่เช้า มาพร้อมศพชายแปลกถิ่นที่ถูกพบหัวทิ่มคอหักตายอยู่กลางท้องร่อง

ในผ้าห่อทารกอายุราวสามเดือน หลวงพี่พบจดหมายเขียนเล่าว่ามารดาของเด็กทั้งคู่ตกเลือดตายทั้งกลม จนต้องผ่าล้วงดึงเอาตัวเด็กออกมา จากนั้นก็เกิดเหตุวิปริตมากมายในเรือน ทั้งฝาแฝดยังมีอาการเหมือนคุยกันเองทั้งที่พูดไม่ได้จนผู้เป็นบิดาคิดว่าคงเอาไม่อยู่ สุดท้ายมีคนแนะว่าให้นำเด็กมาทิ้งเสีย จึงขอฝากไว้ให้วัดช่วยดูแล…

ท้ายกระดาษยังมีวันเวลาตกฟาก ชื่อสองชื่อ กับนามสกุล กำแหงเดช

ดูภายนอกเด็กแฝดนัยน์ตาแข็งกลับไม่มีสิ่งใดเหมือนกันเลย คนหนึ่งตัวใหญ่ อีกคนตัวเล็กราวกับถูกแย่งสารอาหารไปจนหมด ชื่อนั้นไม่บ่งชัดว่านามไหนของใคร

“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนเป็นคนไหน” หลวงพี่ซึ่งเสมือนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ตนเป็นผู้พบทอดถอนกลัดกลุ้ม

คล้ายเด็กทั้งคู่จะยิ้ม ก่อนคลายมือที่กำประสานกันไว้ตลอดตั้งแต่เจอตัวออกพอให้เห็น สิ่งซึ่งเสมือนรอยสัก เขียนเป็นชื่อ!

“… …ใครมันมาสักบนมือเด็กเล็กเท่านี้”

อ่านเป็นไทยได้ตรงกับในกระดาษ ต้น คือเด็กตัวใหญ่มีชื่ออยู่ในมือขวา… ปลาย เจ้าของร่างจ้อย ชื่ออยู่ในมือซ้ายหลวงพี่เองพอมีความรู้ติดหัวอยู่บ้างกับตัวอักษรขอมเล่นหางอ่อนไหว ทีนี้ก็ไม่ต้องสับสนกันละว่าใครเป็นใคร

แต่จะหาพ่อแม่เจอหรือเปล่า อย่างไรเด็กอ่อนก็อยู่วัดไม่ดี สมควรหาทางให้ญาติโยมช่วยพาไปส่งสถานสงเคราะห์หรือส่งคืนญาติ แปลกที่พ่อเด็กยังบอกนามสกุลเอาไว้ด้วยอย่างไม่กลัวว่าจะถูกตามเจอ

…แต่แล้ว ก่อนหลวงพี่จะตัดสินใจเช่นไร เสียงสั่นพร่าทว่ากร้าวกระด้างกลับดังห้วนริมหู

“พ่อมันเอามาฝากให้วัดช่วยดูแล ไม่ใช่รึไงวะ”

คำพูดลงหนัก เน้นคำท้าย …หลวงพี่ขนลุก เป็นใครไปไม่ได้นอกจากชีปะขาว ตัวซีดเผือดแถมยังห่มขาว ใบหน้าเสี้ยมแหลมเหี่ยวย่นบึ้งตึง แกมักถือไม้ตะพดเดินเขยก ถึงไม่ใช่พระแต่อยู่วัดนี้มานานกว่าใครๆ หลวงน้าหลวงลุงทุกรูปแค่ได้ยินคนออกชื่อชีปะขาวหรือตาชีเผือกก็พากันกลัวหัวหดจีวรแทบปลิว โดยเฉพาะเวลาแกออกฤทธิ์

เป็นไปตามสังหรณ์ ร่างผู้เป็นบิดาซึ่งเคราะห์ร้ายไร้ญาติมาตามหา ชีปะขาวยังขู่เข็ญแกมกำชับให้เก็บเรื่องจดหมายไว้เป็นความลับ

วันคืนผ่านไป น่าแปลก เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยน้ำข้าวต้มก้นบาตรและมือคนงานในวัดกลับแข็งแรง โตวันโตคืนได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนหนึ่งร่างเพรียว ชอบคุยจ้อกับพวกแม่ครัว ทั้งกินนอนเรือนเดียวกับพวกนั้น อีกคนตัวเขื่องกว่าเด็กวัยเดียวกันทุกคน เด็กชายชอบมาที่กุฏิหลวงพี่ แม้นอนด้วยกันติดต่อกันถึงสามคืนไม่ได้ตามวินัยสงฆ์ แต่ก็มักจะวนเวียนกลับมาป้วนเปี้ยนเท่าที่สามารถ

เด็กสองคน…ยิ่งโตยิ่งดูแตกต่างมากมายกว่าตอนเด็กเสียอีก ฝาแฝดประสาอะไร ถึงเป็นแฝดไม่เหมือนก็เถอะ แม้จะชอบจ้องหน้าคนอื่นพอๆ กัน แต่คนหนึ่งแผ่รังสีสดใสชวนเข้าใกล้ อีกคนกลับถมึงทึงจนไม่มีใครอยากจะแตะจะอุ้มหรือแม้แต่ไปสะกิด เป็นเหตุให้เมื่ออายุได้สามขวบ เด็กชื่อปลายผู้ร่าเริงวิ่งเล่นอยู่ในวัดบ่อยเข้าก็ไปต้องวาสนา เป็นที่ถูกใจของโยมสีกาสาวใหญ่วัยสี่สิบ …หลงคิดว่าชีปะขาวคงไม่ยอมยกเจ้าตัวผอมให้ใคร แต่อีกฝ่ายกลับปรากฏกายมาเคี้ยวหมากเยิบๆ เอ่ยยานคางให้หลวงพี่ได้ยินคนเดียว

“ถึงวาระแล้วหนอ คนนึงต้องไป”

เพราะเป็นเด็กซึ่งนับว่ามีที่มาแปลกประหลาด ถูกเอามาทิ้งเหมือนสิ่งของ เพื่อแก้เคล็ด …ที่สุด สาวใหญ่คนที่ว่าตัดสินใจทำผาติกรรมหาของเข้าวัด เอาสิ่งมีค่ามาขอแลกกับตัวเด็ก ซึ่งในที่นี้ก็คือบริจาคช่วยค่าน้ำค่าไฟค่ากระเบื้องโบสถ์วิหารเป็นเม็ดเงินมากโข หลวงพี่ยังฝากเด็กวัดเอาเศษกระดาษที่เขียนชื่อจริงและเวลาเกิดยัดใส่มือแม่บุญธรรมหมาดๆ ซึ่งมิได้ติดใจถามไถ่ที่มาของเด็ก คล้ายว่าอยากฝังอดีตทิ้งไปเสีย นางเพียงเก็บกระดาษนั้นเข้ากระเป๋าถืออย่างเงียบๆ

วันลา เด็กชื่อปลายที่กำลังจากไปโบกมือหยอยๆ ให้คู่แฝดผู้ทำหน้าเหมือนไม่รับรู้ ยามมองไปหลวงพี่ก็ฉุกใจ รีบดึงมือเจ้าต้นที่ยืนข้างตนมาสำรวจ ไม่มี รอยชื่อที่ถูกจารไว้บนฝ่ามือนั้นหายไปแล้วเช่นกัน!

ถึงวาระ… คำของตาเผือกคล้ายแว่วมาเข้าหู

หลวงพี่หลับตา วันก่อนรอยชื่อของเจ้าพวกนี้ยังชัดเจนอยู่ การที่มันมาจางหายไปดื้อๆ ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ ฟ้าคงลิขิตแล้ว อะไรจะเกิดต่อจากนี้ก็สุดแท้แต่บุญกรรม ตัวหลวงพี่เองรู้แค่เรื่องตรงหน้าดูจะเกินกำลังตนไปมากเหลือเกิน

ใบโพธิ์ร่วงกระทบกาย ปลุกให้ค่อยจดจำความสงบที่ร้างลาไปพักใหญ่ได้

ปล่อยวาง…

หลวงพี่คลายมือซึ่งจับมือน้อยของเด็กเอาไว้

ปล่อยมือ…



Don`t copy text!