เด็กชายชาวดง บทที่ 2 : โศกนาฏกรรมในช่องเขา

เด็กชายชาวดง บทที่ 2 : โศกนาฏกรรมในช่องเขา

โดย : มาลา คำจันทร์

“เด็กชายชาวดง” นวนิยายเรื่องล่าสุด จากปลายปากกาของ มาลา คำจันทร์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์จบลงแล้วนะคะ แต่ผู้อ่านใจดี ขอฝากไว้ให้ผู้อ่านได้กัน 5 บท ซึ่งหากอยากซื้อแบบรวมเล่มเก็บไว้อ่าน “เด็กชายชาวดง” จะตีพิมพ์โดย GROOVE PUBLISHING สามารถโปรดติดตามกำหนดวางจำหน่ายอีกครั้ง ที่ Facebook Fanpage : GROOVE PUBLISHING 

****************************

– 2 –

ตาชื่อคำแสน ยายชื่อแสงคำ  พ่อชื่อดวงแสง แม่ชื่อว่าบัวเกี๋ยง พ่อกับแม่มีลูกเลี้ยงรอดห้าคนคือไอ่อ้าย อี่เอ้ย แสงเมือง แสงแก้ว คนเล็กสุดคืออี่หล้า

ไอ่อ้ายเป็นพี่ชายคนโต ก่อนหน้าไอ่อ้าย แม่เกิดลูกคนแรกเป็นหญิงแต่เลี้ยงไม่รอด ตายไปแต่ยังไม่ทันครบขวบปีดีนัก อี่เอ้ยเกิดถัดจากไอ่อ้าย ก่อนถึงแสงเมือง แม่คลอดอีกคนเป็นชายก็ตายไปอีก ถัดจากแสงแก้วแม่ตั้งท้องอีกครั้งแต่ตกเลือดไปเสีย ถัดจากอี่หล้าก็เหมือนจะท้องอีกแล้วก็แท้งไปอีก สมัยนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้าเข้ามา ๒๕๐๐ ปี คนเกิดหลายแต่ก็ตายหลาย ผีก็ร้าย พรายก็แรง พยาธิก็แข็งกล้า การเยียวยารักษาพยาบาลยังเป็นแบบพื้นบ้านพื้นเมือง ยาเม็ดยาหมอแทบไม่เคยเข้ามาถึงบ้านใหม่เวียงแมเลย

บ้านใหม่เวียงแมตั้งมาราว ๖๐ ปี  ตาเล่าเรื่องย้อนหลังว่าย้ายหนีมาจากบ้านเวียงแมเพราะห่าลง คนตายหลาย ตายร่อยตายหรอ บางเรือนศพแรกยังไม่ทันเอาผีลงเรือน ศพที่สองตายซ้อน เสียงโหยเสียงไห้ยะเยือกยะเย็นดังอยู่แทบไม่เว้นแต่ละวันแต่ละคืน  ผีห่าร้ายแรงแข็งเชี่ยว คนหลอตายย้ายแยกแตกฉานซ่านเซ็น บ้างขึ้นบก บ้างตกน้ำ บ้างล่องใต้ บ้างไปเหนือ คนหมู่หนึ่งราวสิบครัวเรือนหนีไกลมาถึงดงใหญ่ดงหลวงแห่งนี้ ผีห่าตามมาไม่ถึง น้ำดีดินดี ที่ทางถูกต้อง คนสิบครัวเรือนจึงปลงเครื่องปลงครัวลงจากบ่า

“เมื่อย้ายมา ตาอายุได้ ๑๓ ปี ยายเอ็งคงได้สัก ๙ ขวบ ทุกข์ยากลำบากนักเอ็งเอ๋ย”

เดือนยังไม่ขึ้น คืนนี้แรม ๑๓ ค่ำ กว่าเดือนจะขึ้นคงใกล้สว่าง เสียงกะหลกรัวเร็วเรียกคนไปสู่เรือนปู่แก่เงียบหายไปแล้ว คนชายแรงหลายเขาพากันไปไหนหนอ ไม่ได้ยินเสียงปืน เรื่องราวคงไม่เลวร้ายอย่างเสือเข้าบ้าน ขโมยลักควาย หรือโจรร้ายเข้าปล้น ตากับหลานชายทั้งสองยังอยู่ที่ชานเรือน  ยายกับแม่ กับอี่เอ้ยอี่หล้าอาจยังอยู่ที่โถงเรือน คืนแรม ๑๓ ค่ำเป็นคืนสำคัญของครอบครัวเรา  หญิงทุกคนต้องพร้อมหน้ากันที่โถงเรือน  ต้องนั่งเฝ้าเทียนเท่าจำนวนคนในครัวเรือนจนกว่าเทียนจะดับ

คนเรือนเรามี ๙ คน จุดเทียน ๙ เล่ม ไม่ได้จุดไหว้พระแต่ไหว้ผี

ผีปู่ย่า

ขอให้ผีปู่ย่าดูแลรักษาเราให้อยู่รอดปลอดภัยทุกคน

ตาเปิดฝาหม้อ กลิ่นแก่นฝางหอมคลุ้ง เป็นยาต้มแก้ปวดหลังปวดเอว คนแก่ชอบกิน เด็กๆ ก็กินได้แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะเด็กๆ ไม่ค่อยมีใครเจ็บหลังเจ็บเอว

“ตาเป็นอะหยัง ถึงตาบอด” แสงแก้วถาม

“งูเห่าห้อมพ่นพิษ ตาบ่ทันระวัง โดนพิษเห่าห้อมเต็มสองตา”

ตาเล่าว่ามันปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะล้มลงดิ้นพราด ตายกมือขยี้ตา แล้วดวงตาของตาก็ค่อยพร่าเลือน แล้วก็บอดสนิทไปในที่สุด

“งูเห่าห้อมมันเป็นตัวอย่างใดหือ ตา”

“ตัวมันบ่ใหญ่สักเท่าใด ใหญ่สุดก็ขนาดแขน แต่ตัวมันดำเหมือนน้ำห้อมย้อมผ้าจึงเรียกเห่าห้อม มันเป็นงูเห่าพ่นพิษ  มันมักเล่นงานที่ตาหมาตาคนหรือตาเสือตาหมี ระวังให้ดี อย่าได้ประมาทชะล่าใจเด็ดขาด  หมู่เอ็งยังเป็นละเอ็กละอ่อน ตาบอดเสียแต่เมื่อยังน้อยก็เป็นภาระแก่พ่อแม่ ส่วนตัวตาเอง ช่างมันเถอะ เฒ่าแล้ว อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว จะอยู่ไปได้อีกสักกี่ปี”

ได้ยินคำตา หลานชายวัย ๙ ขวบ รู้สึกเศร้าหมองหดหู่อย่างไรชอบกล ลุกไปยืนทางปลายชานร้านน้ำ ดาวหนึ่งดวงร่วงลง ขีดวูบเป็นเส้นเขียวแล้วหายวับไปกับตา  ไต้ไฟเคลื่อนไหวตรงมา  พ่อกับไอ่อ้ายกลับมาแล้ว แม่ออกมาจากในเรือน พ่อเอากระบวยจ้วงน้ำล้างตีน ไม่ทันก้าวขึ้นกระได้ด้วยซ้ำ แม่ก็ถาม

“เกิดเรื่องอันใดหือสู”

“อี่บัวผัน ลูกหนานลูน มันหนีตามผู้ชาย”

“หนีไปทางใด” ยายถาม

“ฮ่อมผีฮบ”

“อกๆๆๆ” ยายอุทานถี่ๆ “ใจใหญ่ใจกล้าแท้ หนีทางไหนไม่หนี หนีเข้าฮ่อมผีฮบ”

ฮ่อมหมายถึงร่อง หรือช่อง ฮ่อมผีฮบคือสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นช่องเขาแคบๆ อยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันขนาบข้าง บางช่วงทั้งสูงทั้งชันดังขวานถาก เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว แต่เมื่อก้าวเข้าไปในซอกเขา กลับชืดๆ ชื้นเย็น แหงนหน้าขึ้นสูง ต้องแหงนจนคอตั้งบ่าถึงจะมองเห็นปลายผาเป็นขอบเป็นคันไปสุดสายตา ท้องฟ้าเป็นเพียงแผ่นยาวสีเข้ม เห็นได้เท่าที่ปลายผาบังคับให้เห็น แดดยังส่อง แต่ส่องลงไม่ถึงพื้นพ่างที่พวกเราเจ็ดแปดคนกำลังก้าวเข้าไป ปลายผาทางด้านตะวันออกบางส่วนได้รับแสงดูซีด ส่วนที่ต่ำลงมาถูกบังก็ดูคล้ำ ยังพอมีต้นไม้จำพวกกระบองเพชรขึ้นได้ตามซอกแง่งแอ่งผา  เป็นแท่ง เป็นแง่ง เป็นกิ่ง เป็นก้านแต่ไม่มีใบดูดั่งต้นไม้ตายแล้ว ดูดั่งผีต้นไม้

“เป็นใดถึงชื่อฮ่อมผีฮบหือ พ่อหนาน” แสงเมืองถาม

“ผีมันมาฮบกันในฮ่อมดอยแห่งนี้” พ่อหนานทาตอบ “เดือกดุกอุกอาก เป็นเสียงเดือดร้องก้องกึกดั่งหินผาถล่มทลาย คนบ้านเราถือสากันนัก กลางค่ำกลางคืนไม่มีใครกล้าผ่าน แต่อี่บัวผัน…ดุดันกลั่นกล้านัก สองคนกับชู้กล้าเข้าฮ่อมผีฮบ”

ร้อนและชื้น พ่ออยู่ในกลุ่มคนกล้าคนแข็งข้างหน้า ทอดระยะห่างมาสักสิบก้าว แสงเมืองอยู่ในกลุ่มเด็กกับพ่อน้อยพ่อหนานผู้อ่อนด้อยร่อยแรง ติดตามกันมา อิดเอื้อนลังเลมีบ้าง ได้คนบ่าคนแรงสามสี่คน ลุงหนานลูนพ่อของพี่บัวผันก็นำหมู่ เมื่อคืนก็ตามรอยกันมาหนหนึ่งแล้ว พ่อเล่าว่ามาถึงฮ่อมผีฮบก็หยุดกันแต่เพียงนั้น ลุงหนานลูนเองแม้จะเคียดแค้นจนหน้าแดงเหมือนตับหมูก็ไม่กล้าสืบเท้าก้าวต่อไป  คนอื่นๆ ยืนยันจะกลับ ลุงหนานลูนแต่เพียงผู้เดียวจึงจำต้องคล้อยตาม กระทั่งสายๆ วันนี้ แกจึงขึ้นเรือนนั้นเรือนนี้ขอคนเป็นพวกเป็นหมู่ติดไต่ไล่ตามลูกนอกใจพ่อคือไม่อยู่ถ้อยฟังคำพ่อ

“เป็นใดพี่บัวผันถึงหนีตามชู้ไปละพ่อ”

แสงเมืองถามเมื่อลุงหนานลูนลงจากเรือนเราไปขอแรงชายเรือนอื่น เรื่องนี้มีความนัยเกินกว่าเด็กชายชาวดงจะเข้าใจได้ถ่องแท้ แม้คำว่าชู้ก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แท้ คำว่าชู้หมายถึงคนรัก หญิงมีชู้คือหญิงที่มีคนรัก แต่บางทีคนที่รักกับผัวก็ไม่ใช่ชายคนเดียวกัน ชายมีชู้คือชายที่มีสาวรัก แต่บางทีสาวที่รักกับเมียก็ไม่ใช่คนเดียว

“บัวผันมันงาม” พ่อตอบลูกชาย “มีคนมาชอบมันหลาย แต่มันมักมันชอบน้อยอุ่นผู้เดียว แต่หนานลูนบ่มักน้อยอุ่นเป็นเขย หนานลูนมักลูกกำนันเป็นเขย”

“ข้าบ่เข้าใจ”

“ได้น้อยอุ่นมาเป็นเขย หนานลูนได้บ่าไหล่เรี่ยวแรงน้อยอุ่นมาทำไร่ทำนา แต่หากได้กับลูกกำนันเป็นเขย  หนานลูนได้ค่าข้าวม่ามน้ำนม ได้เงินได้ทอง หรือได้ไร่นาวัวควายแล้วแต่จะตกลงกัน บัวผันบ่มักลูกกำนัน มันมักคนหล่อเหลาเลางามอย่างไอ้น้อยอุ่น มันบ่อยู่ในบังคับของพ่อมัน พ่อมันบังคับบ่ได้ หนานลูนจึงเคียดไหม้ใจฟุน”

ฮ่อมผีฮบเป็นช่องแคบคดเคี้ยว บางตอนก็ตรง บางตอนก็หักทบ เปลี่ยวร้างวังเวงแม้ยามกลางวันแสกๆ ร้อนอบอ้าวแกมชื้น เหงื่อออกซึมทั้งที่ไม่มีแสงแดดส่องลงมาถึง แสงเมืองรบเร้าตามพ่อมา พ่ออิดๆ เอื้อนๆ แต่ตาว่าผัวอีเกี๋ยงให้มันไปเทอะ จะได้ไปรู้ไปเห็น พ่อมักเกรงใจตา อาจเป็นเพราะพ่อเป็นเขยเข้าเรือน คือแต่งงานแบบมีแต่บ่าไหล่เรี่ยวแรงมารับใช้ ตาเองก็คงไม่รังเกียจพ่อเหมือนหนานลูนรังเกียจน้อยอุ่น พ่อจึงได้เป็นเขยเข้าเรือน แม่เองเป็นลูกสืบเรือนของตาและยาย พ่อจึงอยู่ใต้ชายคาเรือนที่ตาเป็นคนสร้างสืบมาจนบัดนี้ พ่อไม่ใช่คนหล่อ แต่แม่เป็นสวย ไม่ถึงกับสวยผุดผาดบาดตาอย่างพี่บัวผัน แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนสวยเหมือนกัน ความรักของพ่อกับแม่เป็นรักเงียบๆ เรียบๆ ไม่หวือหวา แต่รักของพี่บัวผันกับน้อยอุ่นอาจเป็นรักร้อนแรง  เขารักกันแต่ลุงหนานลูนขัดขวางทางรัก มันจึงนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เป็นเรื่องราวเล่าสืบกันมาในบ้านใหม่เวียงแมอีกยาวนาน



Don`t copy text!