รักนี้ไม่มีตำหนิ บทที่ 3 : เพราะไม่มีความรู้สึก

รักนี้ไม่มีตำหนิ บทที่ 3 : เพราะไม่มีความรู้สึก

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

รักนี้ไม่มีตำหนิ โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องราวของนักแสดงสาววเบอร์ต้นๆ ของวงการ ผู้ทะนงในความงามพร้อมของตน แต่อุบัติเหตุได้เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล เธอจะข้ามพ้นความบกพร่อง ผิดพลาดและได้พบความสุขในชีวิตอีกครั้งหรือไม่ มาเอาใจช่วยเธอพร้อมๆ กับอ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายสนุกที่มาพร้อมคุณภาพ

สายฝนตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนน้ำระบายไม่ทัน เกิดน้ำท่วมขังในซอยบ้านของอัจจิมาจนรถแท็กซี่ไปต่อไม่ได้ หญิงสาวจำใจต้องลงจากรถไปยืนหลบฝนที่หน้าร้านขายของชำ ครู่หนึ่งมีชายวัยรุ่นเดินขากะเผลกผ่านมา ชายคนนี้สวมเสื้อขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาสกปรกมอมแมมเข้ามายืนหลบฝนข้างๆอัจจิมา หญิงสาวขยับเดินหนีจนตัวเธอออกไปนอกชายคาทำให้แขนเสื้อเปียกฝน สายตาที่เธอมองชายอนาถานั้นฉายแววรังเกียจปนสมเพชเวทนา

“พี่รังเกียจผมเหรอ” ชายวัยรุ่นถามขึ้น

“เอ่อ…เปล่า” อัจจิมาตอบอ้อมแอ้ม ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้

ชายวัยรุ่นมองหน้าหญิงสาวตรงๆ แล้วพูดต่อไป “พี่จะคิดอะไรก็คิดไปเถอะ ถ้าพี่เป็นอย่างผมแล้วพี่จะรู้สึก”

“เอ๊ะ…เธอมีสิทธิ์อะไรมาแช่งฉัน” อัจจิมาโวยวายทันที

ชายวัยรุ่นยิ้มมุมปาก เบนสายตามองท้องฟ้ามืดดำ

ทันใดนั้นฟ้าก็ผ่าลงมาตรงกลางถนนเบื้องหน้าของหญิงสาวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

 

อัจจิมาสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกเต็มตัวทั้งที่อยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศ เธอมองไปรอบตัวตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองนอนอยู่ในห้องนอน ชายวัยรุ่นคนนั้นอยู่ในความฝัน แต่มันเป็นความฝันที่สมจริงเหลือเกิน หญิงสาวยังจำสายตาทรงพลังที่มองมายังเธอได้ เสียงฟ้าผ่าก็ยังก้องอยู่ในโสตประสาท

“แม่ปลุกเสียงดังไป ตกใจตื่นเลยเหรอลูก ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” จิตราภาถามลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน

“ไม่ใช่เสียงแม่หรอกค่ะ เอมฝันร้ายต่างหาก”

“ตายแล้ว ฝันว่าอะไรลูก”

“ช่างมันเถอะค่ะแม่” จู่ๆ อัจจิมาก็เกิดกลัวความฝันนั้นขึ้นมา

“ฝันตอนค่อนรุ่งเขาว่าจะเป็นลางบอกเหตุ แต่ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวตอนล้างหน้าไปแก้ฝันให้ฝันร้ายลอยไปกับพระแม่คงคานะลูก”

อัจจิมาถูกแม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่าถ้าฝันร้าย ให้ไปแก้ฝันกับพระแม่คงคาด้วยการเปิดก๊อกน้ำแล้วเอามือวักน้ำออกนอกตัวพร้อมทั้งอธิษฐาน ขอให้สิ่งเลวร้ายลอยไปกับสายน้ำซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งพระแม่คงคา อัจจิมาทำตามคำสอนของแม่บ้างไม่ทำบ้างเพราะไม่ค่อยเชื่อถือ แต่ครั้งนี้เธอย้ำเตือนตัวเองว่าจะไม่ลืมทำ เพราะรู้สึกกลัวว่าคำสาปแช่งในฝันนั้นจะกลายเป็นจริง

“ทำไมแม่มาปลุกเอมล่ะคะ เอมตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วนี่” อัจจิมาถามแม่แล้วหันไปมองนาฬิกาปลุกที่โต๊ะหัวเตียง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาใกล้จะเก้าโมง อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาที่เธอนัดให้กุ้งนางมารับไปทำงาน

“บ้าจริง เอมลืมตั้งนาฬิกาปลุก” หญิงสาวร้อง

“เอมไม่ได้ลืมหรอกลูก นาฬิกาปลุกแล้วแต่ลูกคงเผลอกดปิดน่ะ แม่ได้ยินเสียงปลุก นานแล้วไม่เห็นเอมลงไป แม่ก็เลยมาเรียกนี่แหละ”

อัจจิมารู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที วันนี้เธอมีงานฟิตติ้งละครเรื่องเพลิงพรางตา เธอไม่อยากไปสาย เดี๋ยวนายแดนสรวงจะมาหาเรื่องค่อนขอดเธออีก

อัจจิมารีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บหลังจนต้องหยุดชะงัก

“เอม เป็นอะไรลูก”

อัจจิมาเจ็บจนพูดไม่ออกอยู่ชั่วอึดใจ ในที่สุดก็ตอบออกมาได้

“ไม่เป็นไรค่ะแม่”

“เกี่ยวกับที่หกล้มเมื่อคืนนี้หรือเปล่า กุ้งนางบอกแม่ว่าหนูหกล้มตอนซ้อมเดินแบบ”

เมื่อวานนี้อัจจิมามีงานเดินแบบตลอดทั้งวัน ในช่วงเช้ามีการซ้อมเดิน อัจจิมาเกิดสะดุดชายกระโปรงหกล้มบนเวที เธอเจ็บหลังมากจนผู้จัดงานแนะนำให้ไปหาหมอ แต่อัจจิมาเลือกกินยาแก้ปวดแทน เพราะเธอไม่อยากพลาดการเดินแบบชุดฟินาเล่ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายที่สวยที่สุดในงาน

“อาจจะเกี่ยวมั้งคะ คงไม่เป็นไรหรอก แม่ไปเตรียมแซนด์วิชให้เอมหน่อยนะคะ เอมจะเอาไปกินในรถ” หญิงสาวบอกพลางไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วหายเข้าห้องน้ำไป

 

จิตราภาเตรียมแซนด์วิชไข่ต้มใส่ไก่ฉีกราดด้วยมายองเนสอย่างที่ลูกสาวชอบใส่กล่องพลาสติกสุญญากาศ อรรถพลผู้เป็นสามีก็ชงกาแฟใส่ในกระติกเก็บความร้อนให้ลูกด้วย อรรถพลสังเกตเห็นว่าภรรยาสีหน้าไม่ค่อยดีตั้งแต่ลงมาจากห้องนอนของลูก เขารอจนภรรยาหยุดมือแล้วจึงถาม

“มีอะไรหรือเปล่าคุณ”

“ฉันใจไม่ดีเลยค่ะคุณ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร บรรยากาศรอบตัวมันก็หม่นๆ มัวๆ ยังไงไม่รู้ เอมก็บอกว่าฝันร้าย ฝันตอนค่อนรุ่งเขาว่าเป็นลางบอกเหตุด้วยสิ”

“คุณก็คิดมากไป มันก็แค่ความฝัน ลูกเราทำงานหักโหมไปนะผมว่า พอเหนื่อยเลยฝันร้าย”

“คุณก็รีบทำสวนของคุณให้เป็นสวนเงินล้านซะทีสิ ลูกจะได้ไม่ต้องรับงานเยอะแยะ” จิตราภาประชดสามี

อรรถพลอยากจะสวนกลับไปว่าถ้าหากจิตราภาใช้จ่ายเงินให้น้อยลงลูกก็คงไม่ต้องเหนื่อยมากเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะอรรถพลถือว่าที่ฐานะครอบครัวยังไม่ดีนักก็เป็นความรับผิดชอบของเขา

เดิมทีครอบครัวของอรรถพลมีฐานะดีเข้าขั้นมหาเศรษฐี พ่อของเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจัดสรรที่ดินและมีบริษัทลูกเป็นบริษัทนำเข้าและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ อรรถพลรักชอบกับจิตราภาตั้งแต่เขาเรียนจบ มาช่วยงานพ่อได้ไม่นาน จิตราภาเป็นลูกสาวแม่ค้าในตลาดละแวกบ้าน เหตุผลที่จิตราภาตัดสินใจแต่งงานกับอรรถพลก็ด้วยความรักประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือความมั่นคงในชีวิตที่เธอคาดหวังว่าจะได้รับหลังการแต่งงาน

ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่จิตราภาคาดหวังจนกระทั่งถึงช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทแม่คือธุรกิจจัดสรรที่ดินของผู้เป็นพ่อของอรรถพลล้มไม่เป็นท่า แต่บริษัทวัสดุก่อสร้างของอรรถพลเองยังพอเอาตัวรอดได้ แต่อีกสิบปีต่อมาอรรถพลก็ดำเนินธุรกิจผิดพลาดจนบริษัทต้องปิดตัวลง อรรถพลเอาเงินก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปลงทุนซื้อที่ดินทำสวนเกษตรแบบผสมผสานตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แม้ว่าภรรยาจะไม่พอใจในการตัดสินใจของเขาแต่อรรถพลก็มั่นใจว่าการตัดสินใจของเขาจะทำให้ครอบครัวอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน

เมื่อวิถีชีวิตที่สุขสบายต้องกลายมาเป็นชีวิตที่ต้องประหยัดอดออมจิตราภาก็หมดความสุข เธอยังรักอรรถพลแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่เอาไหนเลย สิ่งเดียวที่เป็นความหวังของจิตราภาก็คืออัจจิมาลูกสาวคนเดียวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ ในช่วงเวลาที่ฐานะครอบครัวกำลังตกต่ำ เด็กหญิงอัจจิมาก็เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กน้อยน่ารัก จิตราภาเห็นว่ามีเด็กน่ารักมากมายที่หารายได้ได้จากการเป็นนางแบบโฆษณา เธอจึงพาลูกสาวไปทดสอบการแสดง อัจจิมาได้เป็นงานเดินแบบแฟชั่นเสื้อผ้าเด็กเป็นงานแรก หลังจากนั้นเธอก็รับงานถ่ายแบบโฆษณาเรื่อยมา  จนกระทั่งได้ประกวดนางแบบและเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัวในที่สุด

อรรถพลไม่สนับสนุนให้ลูกสาวเข้าสู่วงการบันเทิง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่ารายได้ของลูกสาวจุนเจือครอบครัวได้จริงๆ ลำพังแค่รายได้จากการขายผลไม้ในสวนไม่อาจทำให้ชีวิตของภรรยาและลูกของเขาสุขสบายได้อย่างที่เคยเป็น อรรถพลอยากจะให้จิตราภาเข้าใจว่าชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่พอเพียงพอใจ ไม่ใช่ชีวิตที่ไหลไปตามความต้องการของกิเลส แต่เขาก็จนปัญญาจะอธิบาย ได้แต่ปล่อยให้ภรรยาสอนลูกให้มีรสนิยมสูงเกินตัวเสมอมา

สวนผลไม้ของอรรถพลเริ่มให้ผลผลิตและมีรายได้เลี้ยงตัวเองมาได้หลายปีแล้ว อรรถพลเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในสวนเพื่อให้มีรายได้เพิ่มเติม แม้ว่าสวนจะสร้างกำไรได้แต่จิตราภาก็ยังไม่พอใจ เธอไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่บ้านสวนที่นครปฐมตามความตั้งใจของเขา จิตราภาอ้างว่าสวนอยู่ไกล เดินทางไม่สะดวก จิตราภาเลือกหารายได้ใช้เวลาว่างขายของออนไลน์ร่วมกับกุ้งนาง เธอคุยอวดกับสามีอยู่เสมอว่าธุรกิจขายสินค้าแบรนด์เนมของเธอมีรายได้มากกว่ารายได้จากสวนผลไม้ของเขาและยังมีหน้ามีตาในสังคมมากกว่าด้วย อรรถพลจึงต้องจ้างหลานชายและหลานสาวไปช่วยดูแลสวนและปักหลักอยู่ที่บ้านในเมืองหลวง

 

กุ้งนางมารับอัจจิมาตามเวลา แต่การจราจรติดขัดทำให้ทั้งสองคนเดินทางมาถึงออฟฟิศของบริษัทช้ากว่าเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง

“โอ๊ย…ทำไมรถมันติดอย่างนี้นะ นี่ดีนะที่ลิลลี่ไม่ได้เล่นเรื่องนี้ ถ้าพี่ต้องแวะไปรับลิลลี่ด้วยแย่เลย เดี๋ยวเอมลงรถแล้วเข้าตึกไปเลยนะ เดี๋ยวพี่หาที่จอดรถได้แล้วตามไป” กุ้งนางสั่งอัจจิมาแล้วจอดรถให้เธอลงที่หน้าอาคารสำนักงานที่เป็นที่ตั้งของบริษัทเจนจัด พลัส สตูดิโอ

อัจจิมารีบขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสาม เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกหญิงสาวก็เห็นว่าโถงกลางที่เป็นที่นั่งรอการทดสอบการแสดงเมื่อวันก่อนถูกจัดให้เป็นที่ถ่ายภาพฟิตติ้งละคร  ฉากหลังเป็นฉากบลูสกรีนเพื่อให้ทีมงานสามารถนำรูปถ่ายที่ได้ไปตัดต่อด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เหมือนว่านักแสดงอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับงานในหน้าที่ของตน ช่างไฟกำลังจัดแสง ช่างกล้องกำลังเตรียมถ่ายภาพในชุดต่อไป ทีมงานฝ่ายเสื้อผ้ากำลังขนย้ายราวเสื้อผ้าเข้าไปในห้องแต่งตัว

“คุณเอมมาแล้ว” ป้าติ่งช่างแต่งหน้า รีบวิ่งเข้ามาหาอัจจิมาทันทีที่หันมาเห็นเธอเดินออกมาจากลิฟต์ “รีบไปแต่งหน้าแต่งตัวเถอะค่ะ คนอื่นมากันครบแล้ว ถ่ายไปหลายชุดแล้วค่ะ”

อัจจิมาเห็นตรีภพกำลังจะเดินเข้าฉากถ่ายภาพ เธอไม่ได้ทักทายเขาเพราะเกรงจะรบกวนสมาธิ

แดนสรวงนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขากำลังเลือกรูปถ่ายที่ใช้ได้และปรับแต่งเพิ่มเติม เมื่อดาราสาวและช่างแต่งหน้าเดินผ่านชายหนุ่มก็จงใจสั่งงานเสียงดังให้อัจจิมาได้ยิน “ให้มันสวยและเร็วสมเป็นมืออาชีพหน่อยนะป้า เสียเวลามามากแล้ว”

“ค่ะๆ ป้าจะแต่งให้สวยเลยค่ะ”

อัจจิมารู้ว่าแดนสรวงตั้งใจว่ากระทบเธอที่เคยคุยว่าเป็นมืออาชีพแต่กลับมาสาย หญิงสาวนึกอยากจะตอบโต้กลับแต่ก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้เสียเวลาจึงรีบเดินตามช่างแต่งหน้าไปที่ห้องแต่งตัว

 

“มาค่ะ มาลองชุดกันก่อน วันนี้คนไม่พอ ป้าเลยเหมาตำแหน่งผู้ช่วยแต่งตัวนักแสดงด้วยเลยค่ะ” ป้าติ่งบอกกับนักแสดงสาวเมื่อเข้ามาในห้องแต่งตัวนักแสดง ช่างแต่งหน้าสาวใหญ่กุลีกุจอเลือกเสื้อผ้า

“นี่ไม่มีห้องแต่งตัวเฉพาะให้เอมเหรอคะ”

“โอ๊ย…ไม่มีหรอกค่ะคุณ” ป้าติ่งลงท้ายคำว่า ‘คุณ’เสียงสูงบอกความรำคาญ “บริษัทนี้ก็มีแค่ชั้นนี้นะคะ ไม่ใช่ทั้งตึก แบ่งห้องแต่งตัวได้แค่ห้องนักแสดงหญิงกับห้องนักแสดงชายแค่นี้แหละค่ะ อ้อ มีผ้าม่านไว้แบ่งส่วนแต่งตัวกับแต่งหน้า จะต้องปิดไหมล่ะคะ มีกันอยู่แค่สองคนเนี่ย”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เอมแค่ถามดู ป้าอย่าเข้าใจผิดว่าเอมเรื่องมากนะคะ” นักแสดงสาวดูสีหน้าท่าทางก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเธอจึงรีบแก้ตัว

“แหม ได้ยินอย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ ป้าได้ยินมาว่าคุณเอม…เอ่อ…อย่าว่าป้าว่านะคะ เขาว่ากันว่าคุณเอมจู้จี้นั่นนี่ ทำงานด้วยยาก แต่คุณเอมบอกอย่างนี้ป้าก็ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ”

“คนก็พูดกันไป เอมก็แค่มีระเบียบในการทำงานของเอมน่ะค่ะ จะให้อะไรก็ได้ มันก็ไม่ใช่ใช่ไหมคะ” อัจจิมาพูดให้ดูดีกลบเกลื่อนความขุ่นข้องในใจที่ช่างแต่งหน้าสาวใหญ่ตำหนิเธอต่อหน้า

ถึงแม้คนพูดจะบอกว่าได้ยินคนอื่นพูดกันมาแต่หญิงสาวก็รู้ว่าช่างแต่งหน้าสาวใหญ่ก็คงรู้สึกกับเธอไม่ต่างจากคนอื่น นักแสดงสาวได้แต่คิดในใจว่า คอยดูเถอะ เธอจะทำให้ทุกคนในกองถ่ายยอมรับนับถือฝีมือการแสดงของเธอ อย่างที่ถึงเธอจะจู้จี้คนพวกนี้ก็ต้องยอม

“ค่ะๆ มาลองเสื้อเถอะค่ะ” ป้าติ่งบอกพลางหยิบชุดเดรสสั้นสีแดงเพลิงออกมาจากราวเสื้อผ้า

เมื่ออัจจิมาเห็นชุดที่ป้าติ่งเลือกให้ เธอก็ชะงักไปนิดหนึ่งเพราะชุดนั้นนอกจากสั้นแล้วยังเป็นชุดเข้ารูป เปิดไหล่ และคอเว้าลึกจนเห็นเนินอก

“ชุดไม่โป๊ไปหน่อยเหรอคะ”

“ไม่โป๊หรอกค่ะ ตามบทพวงครามเป็นคนทะเยอทะยาน ชุดก็ต้องยั่วยวนหน่อยสิคะ”

ป้าติ่งแต่งหน้าได้สวยและเร็วตามที่เธอรับรองไว้ หลังจากแต่งหน้าให้นักแสดงสาว ช่างแต่งหน้าสาวใหญ่บอกกับอัจจิมาว่า “ป้าจะแต่งหน้าคุณเอมให้คมๆ เฉี่ยวๆหน่อยนะคะ จะได้เข้ากับชุดเซ็กซี่”

อัจจิมามองดูชุดที่สวมใส่อีกครั้งอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เธอนึกถึงคำปรามาสของแดนสรวงที่ว่าเธอมีดีแค่ความเซ็กซี่ แต่เมื่อจะแสดงบทนี้แล้วเธอก็ต้องทำให้เต็มที่ เมื่อจะเป็นนางร้ายก็ต้องเป็นนางร้ายให้ดีที่สุด

 

ขยับเข้าไปใกล้กันอีกนิดนะครับ” เสียงช่างกล้องบอกพิมพ์ระพีที่แต่งตัวเรียบๆ ตามบทพุดจีบให้ขยับเข้าไปใกล้ตรีภพที่รับบทเป็นเมฆ

“ยิ้มครับยิ้ม ขอสายตาแบบรักกัน นั่นละครับ นิ่งไว้นะครับ ดีมาก”

“เหมือนรูปพรีเวดดิ้งเลยนะพี่จี” นุกนิกพูดกับผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนดูอยู่หลังกล้อง จีรพัฒน์ไม่ตอบอะไร เขาเดินออกไปจากตรงนั้น

“เป็นอะไรของเขา เราพูดอะไรผิดเหรอเนี่ย” สวัสดิการกองถ่ายสาวน้อยบ่นอุบอิบ

อัจจิมาที่ออกมาจากห้องแต่งตัวนึกตำหนินุกนิกในใจ เธอคิดว่าเด็กคนนี้ตาไม่ถึงที่มาชมว่าพิมพ์ระพีเหมาะสมกับแฟนหนุ่มของเธอ หญิงสาวคิดในใจว่าคนที่เหมาะสมกับตรีภพคือเธอเท่านั้น คอยดูเถอะ ถ้าคนพวกนี้ได้เห็นรูปคู่ของเธอกับตรีภพ ทุกคนต้องบอกว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

“ต่อไปขอเป็นเซตพุดจีบกับพวงครามนะครับ พระเอกเปลี่ยนชุดครับ” เสียงทีมงานบอก

อัจจิมาเดินเข้าเซตสวนกับตรีภพที่เดินออก

“สู้ๆ นะคะเอม” ตรีภพหยอดคำหวาน

อัจจิมาที่คิดว่าจะแกล้งงอนเขาเล่นๆ ที่เขาถ่ายรูปใกล้ชิดกับคู่อริของเธอ แต่พอชายหนุ่มหยอดคำหวานเธอก็เปลี่ยนใจยิ้มรับ

“สวัสดีจ้ะเอม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดีใจจังที่ได้เล่นละครกับเอม” พิมพ์ระพีทักอัจจิมาก่อน

“เราก็ดีใจ” อัจจิมาตีหน้าซื่อตอบคำ

“รูปแรกขอเป็นแบบยิ้มๆ รักกันนะครับ” จีรพัฒน์เข้ามาสรุปให้นักแสดงฟัง

“แต่คนรักกัน ไม่ต้องยิ้มให้กันก็ได้นี่คะ คนรักที่แกล้งเก๊กก็มีเยอะแยะไป” พิมพ์ระพีบอก

จีรพัฒน์ชะงักไปนิดหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบว่าอะไร พิมพ์ระพีได้แต่อมยิ้ม แล้วเดินเข้าไปใกล้อัจจิมาเพื่อเตรียมโพสท่าถ่ายรูป

การถ่ายรูปชุดแรกผ่านไปด้วยดี แต่ยิ่งถ่ายรูปใกล้ชิดกับพิมพ์ระพี อัจจิมาก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้ เมื่อรูปชุดต่อไปกำหนดให้พวงครามมองพุดจีบผู้เป็นพี่สาวด้วยความไม่พอใจ เธอจึงเสนอไอเดียในการโพสท่า

“เอมว่าให้พวงครามทำท่าผลักพุดจีบดีไหมคะ จะได้ได้อารมณ์ว่าสองคนไม่ถูกกัน”

“พี่แดนว่าไงฮะ” จีรพัฒน์ปรึกษาลูกพี่

“ลองดูก็ได้” แดนสรวงว่าพลางลุกขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์เดินมาดู ผู้กำกับหนุ่มรู้สึกตั้งแต่ทดสอบบทคราวก่อนแล้วว่าอัจจิมาดูเหมือนไม่ค่อยถูกกับพิมพ์ระพี เขาอยากรู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร

“แสดงไปเลยไม่ต้องหยุดโพสท่า จะได้สมจริง แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาตัดเป็นภาพนิ่งทีหลัง” ผู้กำกับบอก

เมื่อกล้องพร้อมการโพสท่าก็เริ่มขึ้น

อัจจิมาเดินเข้าไปหาพิมพ์ระพีด้วยความตั้งใจจะผลักอีกฝ่ายจริงๆ เธอยกมือขึ้นหมายจะผลักหัวไหล่แต่พิมพ์ระพีขยับตัว อัจจิมาจึงพลาดล้ม ตัวเธอหมุนลงไปนั่งเหยียดขาอยู่กับพื้น

“เอม เป็นอะไรหรือเปล่า ระพีขอโทษนะ” พิมพ์ระพีถามอย่างห่วงใย

“โอ๊ย…” อัจจิมารู้สึกเจ็บแปล็บที่แผ่นหลังจนต้องร้องออกมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ลุกไหวไหม” แดนสรวงรีบเข้าไปดู เขาจะฉุดมือเธอให้ลุกขึ้น แต่หญิงสาวยกมือห้ามไว้

“มันเจ็บมาก ฉันเจ็บหลัง”

แดนสรวงใจหายวาบ เขาคิดถึงบทสนทนาที่เขาคุยกับจีรพัฒน์เมื่อเช้านี้

เมื่อเช้านี้ในช่วงที่นักแสดงมากันครบแล้ว แดนสรวงก็บ่นถึงอัจจิมา ตอนนั้นเองที่จีรพัฒน์บอกเขาว่าเมื่อสองวันก่อนตอนที่จีรพัฒน์ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบริษัท เขาเห็นอัจจิมาถูกรถสามล้อเครื่องเฉี่ยวชนด้านหลังจนล้มลง เขาจะเข้าไปช่วยแต่อัจจิมาขึ้นรถแท็กซี่ออกไปเสียก่อน

“จี เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

จีรพัฒน์ไม่คิดว่าแค่หกล้มจะต้องเรียกรถพยาบาล เขาจึงลังเล

“โทรเร็วสิ” แดนสรวงสั่งซ้ำ จีรพัฒน์จึงรีบกดโทรศัพท์มือถือ

“คุณอยู่นิ่งๆ นะ อย่าขยับจนกว่าหมอจะมา ขยับผิดท่าจะยิ่งแย่” แดนสรวงจับมืออัจจิมาไว้แล้วบอก

ทุกคนในกองถ่ายรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแล้ว

อัจจิมาใจหายเมื่อรู้สึกว่าขาของเธอไม่มีความรู้สึก

 



Don`t copy text!