สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 1 : retrò

สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 1 : retrò

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

สีตคีตา (๒๔๗๕) โดย กันต์พิชญ์ เรื่องราวของ ‘ฮันกี’ หนุ่มน้อยชาวเกาหลี และ ‘คีตา’ ทายาทสายเลือดตระกูล ‘ชระ’ คนสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยวิญญาณมากมายซึ่งถูกจองจำภายใต้อาคมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในเรือนมนิลาแสนสวยงาม วิญญาณทุกดวงจะสู่สุขคติไหม อ่านออนไลน์ได้ในเว็บไซต์ anowl.co ที่ๆ มีนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ให้อ่านออนไลน์

นัยน์ตาคมเข้มละสายตาจากช่องมองภาพของกล้องถ่ายรูปราคาแพง เหม่อมองผืนฟ้าสีขาวโพลนเหนือกลุ่มเมฆปลายฤดูหนาว

ฟ้าสีครามสูงลิบ มันดูสดใสราวกับระบายด้วยเฉดพาสเทลเจือจางน้ำ

เมฆบางลอยนิ่งอยู่เบื้องบนประหนึ่งสายไหมเล็กละเอียดทาบทับลงบนพื้นสีน้ำเงินคล้ายจิตรกรจงใจเว้นว่างตรงส่วนนั้นไว้ไม่ยอมลงสี ใยน้ำตาลอันเกิดจากไอน้ำถูกปั่นเป็นฝอยสีขาวฟูฟ่อง พวกมันกำลังหยอกล้อกับสายลมและแสงอาทิตย์ยามบ่ายอย่างเพลินใจ

“บรรยากาศชวนเหงาจริง…”

ลมหนาวมักพัดพามากับความเหงา เด็กหนุ่มรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังลอยเคว้งคว้างกลางหมู่เมฆเหล่านั้น เหมือนว่าวสายป่านขาดไร้สิ่งยึดเหนี่ยว

ฮันกีใช้เวลาหลายปีกับการเรียนและเล่นกีฬา เขาผัดผ่อนการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงกลับคืบเคลื่อนเข้ามาราวกับเมฆ กลั่นตัวเป็นความหดหู่หลั่งรดเด็กหนุ่มอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

ผู้หญิงคนหนึ่งถือถุงสินค้าแบรนด์เนมเดินสวนมาจากทิศทางตรงกันข้าม ถุงกระดาษใบใหญ่ดีไซน์หรูกระแทกไหล่เขาอย่างจัง เด็กหนุ่มกลับไม่ใส่ใจ ยังคงไล่สายตาไปตามเส้นขอบฟ้าและบรรดายอดแหลมแบบกอธิกทั้งหลายที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า

สถานที่ที่มีแรงกดอากาศต่ำวนเวียนอยู่ทั่วบริเวณแห่งนี้คือ มีลาโน

ดินแดนบนที่ราบลอมบาร์ดี ซึ่งชาวโรมันในอดีตเรียกสถานที่แห่งนี้เอาไว้ว่า เมดิโอลานุม อันหมายถึง ‘กลางที่ราบ’ และเมื่อชาวลอมบาร์ดีมีชัยเหนือชาวโรมันจึงเรียกที่ราบแห่งนี้ด้วยเสียงเพี้ยนๆ ว่า เมย์แลนด์ กระทั่งกลายเป็น มีลาโน ในปัจจุบัน

ส่วนตัวเขาเองเรียกเมืองนี้ว่า มิลราโน ตามสำเนียงชาวเกาหลีใต้ ซึ่งก็นับว่าคล้ายต้นฉบับมากทีเดียว

มิลาน…พื้นที่อันเต็มไปด้วยอดีตนครรัฐศักดินาแบบเก่าแก่ ปกครองโดยราชวงศ์ที่ใช้กำลังอำนาจทางทหารมากกว่าจะใช้นิติบัญญัติแห่งนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เมืองน่าอยู่ ทั้งยังเต็มไปด้วยอากาศชื้นแฉะและหมอกทึบ

เด็กหนุ่มยกกล้องถ่ายรูปสัญชาติญี่ปุ่นขึ้นมาดูภาพที่ตนเพิ่งกดชัตเตอร์ไปเมื่อครู่

ภาพของเขาล้วนเป็นภาพสีอ่อน คล้ายมีฟิลเตอร์ขาวบางซ้อนทับอยู่หนึ่งชั้น ฮันกีชอบโทนสีเขียวมินต์ ชมพูอ่อน ฟ้าอ่อน ม่วงอ่อน หรือสีใดก็ตามที่ต่อท้ายด้วยคำว่าอ่อน เพราะมันให้ความรู้สึกสบายตา หวาน และโรแมนติก

ด้วยศักยภาพฟิล์มความไวแสงต่ำสำหรับถ่ายในที่แจ้งค่า ISO 200 สมกับราคาโฆษณา ทำให้ภาพที่ได้มีระดับแสงและโทนสีที่เหมาะสม

แม้ยามนี้ทิวทัศน์เบื้องหน้าจะมีปริมาณสายหมอกจากตีนเขาไหล่เอื่อยมาบดบังสักเพียงใดก็ตาม แต่กล้องถ่ายรูปกลับสามารถเก็บรายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในโทนพาสเทลได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ผืนฟ้าเจิดจ้าตัดกับบรรยากาศขมุกขมัวเหนือพื้นดินเช่นนี้ ทำให้ฮันกีคิดถึงเมืองยองจินซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง

ที่นั่นเป็นเขตอุตสาหกรรมติดกับกรุงโซล ทว่าปัจจุบันโรงงานหลายแห่งทยอยย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุผลที่ทราบกันดีคือค่าแรงถูก รัฐบาลเกาหลีใต้จึงส่งเสริมให้บ้านเกิดเขาเป็นเขตนิคมดิจิทัลแทน และบ้านของฮันกีก็อยู่ในเขตที่กลุ่มพนักงานบริษัทในนิคมซึ่งย้ายมาจากตัวเมืองต่างเรียกขานด้วยนัยเหน็บแนมว่า ‘ย่านเก่าแก่รอการพัฒนา’

เด็กหนุ่มยิ้มขื่น นึกถึงกลิ่นดอกเกาลัดที่ยืนต้นอยู่ข้างศาลาประชาคมของหมู่บ้าน มีรูปถ่ายขาวดำใส่กรอบเก่าคร่ำคร่าของผู้คนในละแวกติดอยู่บนผนัง แต่ละใบหน้าล้วนฉายความทุกข์ทรมานกับวิกฤติเศรษฐกิจ

ฮันกีนึกสงสัยว่าอวิชชาตัณหาใดหนอที่ทำให้เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกใบนี้ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อใคร อยู่เพื่อทำอะไร หรือเพียงแค่อยู่อย่างไร้ประโยชน์ไปอย่างนั้นเอง

“ปัญหาคือ คนอื่นจะรับผู้ที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้เข้าสังคม…ได้อย่างไรเล่า…”

ฮันกีระบายลมหายใจออกมาเชื่องช้าให้กับความคิดเรื่อยเปื่อยของตนเองพลางพึมพำ

คงเพราะเด็กหนุ่มเติบโตมากับสภาวะที่ผู้คนถูกการพัฒนาทิ้งขว้าง ความสิ้นศรัทธาในรัฐบาล สังคมและการเมืองที่ปริร้าว รวมถึงการที่เครื่องจักรทำงานได้ด้วยตัวเองและไม่ต้องพึ่งพาคนอีกต่อไป…

ด้วยเหตุนี้กระมัง เด็กรุ่นเขาจึงหวั่นวิตกว่าสังคมจะเป็นอย่างไรในอนาคตอันใกล้ ความเหลื่อมล้ำที่เคยมีมาตลอดอยู่แล้วก็ยิ่งขยายตัวอ้ากว้างมากขึ้นไปอีก

เช่นนี้แล้วจะทำให้คนรุ่นเขาไม่เกลียดตนเองได้อย่างไร มิหนำซ้ำภายในใจยังถูกกัดเซาะกระทั่งก่อเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่มีวันถมเต็ม

ตรงกันข้ามกับรุ่นบิดามารดาของฮันกี พวกเขาต่างก็เชื่อมั่นว่ามีอนาคตแสนสดใสรอลูกชายคนเดียวอยู่ไม่ไกล

ทว่าจู่ๆ เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อพ่อกับแม่มาด่วนจากฮันกีไปเพราะความประมาทของนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว หนุ่มน้อยที่เพิ่งอายุย่างสิบสี่ในตอนนั้นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาติดขัด กลับกลายเป็นนักฟิกเกอร์สเกตผู้ลื่นไถลในเขาวงกตน้ำแข็งไร้ทางออกไปโดยปริยาย…

เพราะการขับรถขาดความระมัดระวังของสองนักท่องเที่ยวนั่นแท้ๆ

ฮันกีถึงได้รู้สึกเหมือนถูกทิ้งเอาไว้ให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนบนโลกเพียงลำพังอย่างน่าสังเวช ทุกสิ่งดูขาดสีสันไม่ต่างอะไรกับวัตถุโบราณที่วางอยู่อย่างซึมเซาในพิพิธภัณฑ์ร้างไร้ผู้เยี่ยมเยียน

เด็กหนุ่มได้กลิ่นคาวบางเบาเจือมากับสายลมหนืดเหนอะจากทะเลซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่เกือบสองชั่วโมง มันเพรียกหา ‘ความทรงจำ’ แหว่งวิ่นไม่ปะติดปะต่อให้ผุดพรายฝ่าบรรยากาศคลุมเครือที่ห่อหุ้มหัวใจขึ้นมาอีกคำรบ

ทั้งที่ฮันกีอุตส่าห์ออกมาเดินสูดอากาศเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ผ่อนคลายและชาร์จแบตก่อนแข่งในวันมะรืนแท้ๆ

แต่เหตุการณ์ในวันนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนอีกจนได้

ปกติฮันกีจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการฝึกซ้อมบนลานสเกตน้ำแข็ง เขามักใช้ท่าหมุนตัว บีลล์มันน์สปิน เพื่อช่วยให้ตัวเองผ่อนคลาย

ด้วยว่าท่านี้ช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายต่อความเครียดลงไปได้มากทีเดียว เพราะขณะที่ฝึกซ้อม ฮันกีต้องดึงขาอิสระข้างหนึ่งขึ้นมาเหนือศีรษะจากทางด้านหลัง แล้วใช้มือจับใบมีดรองเท้าสเกตเอาไว้ มันเป็นท่าต้องใช้ความยืดหยุ่นในการดัดตัวสูง เด็กหนุ่มจึงต้องฝึกกายและสมาธิให้สอดประสาน ประหนึ่งกำลังหัดท่าโยคะฝึกจิตอย่างไรอย่างนั้น

แน่นอนว่า เด็กหนุ่มสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดทางร่างกายได้ง่ายกว่าความบอบช้ำทางจิตใจ

ฮันกีสะบัดศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นพันสายคล้องกล้องเข้ากับข้อมือหลายรอบ เป็นการป้องกันพวกฉกชิงวิ่งราวที่ชุกชุมในเมืองใหญ่

หลังกระชับกล้องเอาไว้ในมืออย่างมั่นคง เด็กหนุ่มจึงก้าวขาเอื่อยๆ ไปตามตรอกอันเงียบสงบในซอกหนึ่งของมิลาน

ช่วงกว้างของตรอกแคบสายนี้มีน้อยเสียจนสามารถปูด้วยแผ่นหินได้ทั้งหมด มันทอดตัวไปจนถึงร้านขายของเก่าขนาดย่อมร้านหนึ่ง

สายตาเด็กหนุ่มชาวเอเชียไปหยุดอยู่ที่ตัวอักษรไม้สีน้ำตาลอ่อนเรียงต่อกันเป็นชื่อร้านว่า retrò บนพื้นสีแดงชาด

เขาเคลื่อนกายไปหยุดยืนอยู่หน้าคูหาขนาดไม่เกินสามสิบตารางเมตร นัยน์ตาดำสนิทมองผ่านผนังกระจกขนาดมหึมาเข้าไปภายใน

ระหว่างฮันกีพิจารณาข้าวของกระจุกระจิกที่วางแสดงไว้หลังกระจก เขารู้สึกว่าร้านค้าสุดพิลึกแห่งนี้ดูผิดที่ผิดทางพิกล เพราะเท่าที่เขาเดินเข้าออกซอกซอยในย่านนี้ไม่เห็นมีโรงเรียนสอนดนตรี หอแสดงดนตรี หรือร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทางดนตรีแม้แต่แห่งเดียว

ไม่น่าเชื่อว่าร้านจะอยู่รอดได้ด้วยการขายอะไหล่ อุปกรณ์ซ่อมเครื่องดนตรี และเครื่องดนตรีมือสองเช่นนี้

หนุ่มชาวเอเชียตั้งข้อสังเกต พลางไล่สายตาไปตามเครื่องมือและอุปกรณ์ซ่อมเปียโนบนหิ้งหุ้มด้วยผ้าสักหลาดซึ่งวางโชว์อยู่หน้าสุด ถัดจากนั้นเป็นหมุดยึดเส้นเสียง และอุปกรณ์ของเครื่องดนตรีชิ้นกระจิริดสะท้อนแสงนวลภายใต้บรรยากาศทึมหม่น

คงเป็นความจงใจของเจ้าของร้านที่ต้องการขับเสน่ห์ความงามแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยากระมัง

บรรดาร้านขายของเก่าในตรอกหินกรวดแห่งนี้ต่างติดเครื่องทำความร้อนและปิดประตูกันไอเย็นจากด้านนอก มีเพียงร้านนี้ที่อาศัยอุณหภูมิตามธรรมชาติ ประหนึ่งไม่ต้องการเชื้อเชิญให้ลูกค้าเข้าไปเลือกสรรสินค้าอย่างไรอย่างนั้น

ความสงสัยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความอยากรู้อยากเห็น

ฮันกีใช้ปลายนิ้วแตะลงบนวงกบไม้ซึ่งสีหลุดล่อนออกไปมากแล้ว ด้วยเกรงว่าจะทิ้งลายนิ้วมือเอาไว้บนกระจกบานใสของร้าน

ทันใดนั้นกลิ่นหนังสือเก่า กลิ่นกระดาษผุยุ่ย และกลิ่นเครื่องหนังคร่ำคร่าโชยออกมาต้อนรับถึงหน้าประตูเป็นอย่างแรก พร้อมกับเสียงจากกระดิ่งอันเล็กที่ติดไว้เหนือประตูดังขึ้นทำลายความสงัด

เมื่อเขาผลักวงกบประตูเก่าแก่เข้าไปด้านใน เบื้องหน้าเป็นคูหายาวแคบ เคาน์เตอร์วางทอดตลอดแนวอยู่ด้านหนึ่ง ผนังด้านตรงข้ามมีตำราอัดแน่นอยู่เต็มชั้นวาง หีบเดินทางเก่าแก่หลายใบ ภาพเขียนสีน้ำมันฉูดฉาดแขวนเรียงรายอยู่เต็มผนังพร้อมป้ายราคาสีเหลืองห้อยกำกับ

หนุ่มเอเชียต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าสายตาจะคุ้นชินกับความมืดสลัว แสงแดดยามบ่ายที่สาดเข้ามารำไรช่วยบรรเทาความเคร่งขรึมลงไปได้มาก

สายตาเด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับไวโอลินคันหนึ่ง น้ำมันชักเงาที่เคลือบอยู่บนพื้นผิวขับลายริ้วดุจสันคลื่นจากเนื้อไม้เมเปิลดูวาววาม ประกายสีแดงเหลือบน้ำตาลนั้นได้กวนตะกอนความทรงจำที่จมลงนอนในซอกลึกของก้นบึ้งหัวใจให้ลอยฟุ้ง

เขาเคยเรียนไวโอลินพร้อมๆ กับเริ่มเล่นไอซ์สเกตมาตั้งแต่อายุสี่ขวบ แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เด็กน้อยกลับเอาดีเฉพาะด้านกีฬา ละทิ้งการเรียนดนตรีไปในที่สุด และไม่รู้เหตุใด ไวโอลินคันนี้ถึงมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด มันกระตุกความหลงใหลในดนตรีที่เขาละทิ้งไปนานแสนนานให้ผุดพลุ่งขึ้นมาอีกคำรบ

หลังเสียงกระดิ่งหยุดลงครู่ใหญ่ หญิงสูงวัยผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังประตูที่แง้มออก

เธอพยายามเบี่ยงตัวผ่านช่องว่างอันน้อยนิด คล้ายไม่อยากให้เขามองเข้าไปเห็นสภาพด้านในได้อย่างถนัดถนี่ นัยน์ตาอันขุ่นมัวจับจ้องเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจดเท้าสลับกับมองไวโอลินสีแดง ขณะเคลื่อนกายกระย่องกระแย่งเข้ามาใกล้

มูซีชิสตา?”

หญิงชราขยับริมฝีปากยับย่นถามเด็กหนุ่ม ‘เป็น นักดนตรี อย่างนั้นหรือ’

หนุ่มชาวเอเชียส่ายหน้า รีบออกตัวว่าพูดภาษาอิตาลีไม่ได้ “นอน ปาร์โล อิตาเลียโน

วีโอลีโน…” หญิงวัยราวหกสิบฉีกยิ้มกว้างชวนให้ผู้พบเห็นไม่ใคร่สบายใจ ชี้เรียวนิ้วผอมแห้งไปยัง ไวโอลิน พยายามอธิบายคำท้องถิ่นปะปนกับภาษาอังกฤษ “เอ เวกกีโอ…ของเก่า”

เขาถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อเว้นระยะห่าง พินิจอีกฝ่ายใต้บรรยากาศทึบทึม

หน้าผากและขากรรไกรของหญิงชราผอมแห้งผู้นี้ค่อนข้างกว้าง ทว่าขนาดของดวงตากลับไม่สมดุลกับขนาดของริมฝีปาก เด็กหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่ารอยยิ้มนั้นเป็นเพียงความเคยชิน ไม่ใช่การยิ้มด้วยความยินดีหรือยิ้มตามมารยาท

กวันโต กอสตา?” เขาตัดสินใจ ถามราคา

คราวนี้หญิงชรายกมุมปากคล้ายคนถือไพ่เหนือกว่า ไม่รีบร้อนที่จะตอบ ยื่นมือไปคว้าไม้ปัดฝุ่นมาปัดตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย “ไวโอลินคันนี้สีสวยนะ…ว่าไหม”

“สวยมากครับ ลวดลายแบบนี้คงทำมาจาก…”

“โครงไม้เมเปิล” เจ้าของร้านไม่ปล่อยให้ฮันกีได้แย่งหน้าที่อธิบายสินค้าไปจากเธอ “และแม้อิตาลีจะขึ้นชื่อเรื่องช่างทำเครื่องสายมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 อย่างตระกูล มีเกลี อันเก่าแก่ แต่โวโอลินคันนี้มาจากตะวันออกไกล”

“ไม่น่าเชื่อว่าฝั่งตะวันออกจะมีช่างเก่งๆ เหมือนฝั่งตะวันตกนะครับ”

หญิงชราหุบปากสนิท เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นคำพูดไร้สาระในสายตาของเธอ ครู่หนึ่งจึงเสเปลี่ยนเรื่อง “พ่อหนุ่มรู้ไหมว่าร้านของฉันก่อตั้งมากว่าร้อยปีแล้ว”

“มรดกตกทอดมาอย่างนั้นหรือครับ” เขาพยายามทำความเข้าใจในสำเนียงภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น

“ใช่” เธอเงียบไปพักหนึ่ง กำลังดื่มด่ำกับความสำเร็จ จากนั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบแหบแห้ง “อยากได้ไวโอลินสีเลือดคันนี้จริงหรือพ่อหนุ่ม”

ฮันกีผงกศีรษะแม้ยังติดใจกับการเลือกใช้คุณศัพท์บรรยายสีของหญิงชรา

จู่ๆ เหงื่อเย็นเยียบก็ผุดขึ้นตรงขมับ ทั้งที่มีไอเย็นบางเบาจากด้านนอกพัดเข้ามาระต้นคอไม่ขาดสาย

ฮันกียืนหันรีหันขวาง รับรู้ความไม่มั่นคงปลอดภัย แวบหนึ่งเขารู้สึกเหมือนมีคนกำลังหายใจรด กอปรสายลมที่กรูผ่านช่องว่างระหว่างบานกระจกกับพื้นก่อเสียงหวีดหวิวคล้ายคนเป็นหอบหืด ก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัด

“คงไม่ชอบเสียงลมสิท่า”

“เอ่อ…”

หญิงชราไม่ใส่ใจแววตาสงสัยของเด็กหนุ่ม เธอเดินผ่านฮันกีไปเปิดประตูกระจกให้อ้าออก “ฉันไม่ชอบติดเครื่องปรับอากาศ อาศัยอุณหภูมิตามธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว อย่างไรเสีย สินค้าแต่ละชิ้นก็อยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน”

เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน ก่อนระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ถามราคาไวโอลินไปก็ยังไม่ได้คำตอบ

“ถ้าเธอถูกชะตากับไวโอลินคันนี้ละก็ ฉันยินดียกให้ฟรีๆ”

“จะดีเหรอครับ” ฮันกีละล่ำละลักบอกปัด ทว่าลึกๆ ภายในใจกลับอดตื่นเต้นไม่ได้ คล้ายกำลังพาตัวเองก้าวเข้าสู่อาณาเขตต้องห้าม

“บางครั้งของเก่าพวกนี้ก็กำลังเพรียกหาเจ้าของที่คู่ควรกับมัน”

แม่เฒ่างึมงำด้วยน้ำเสียงห้าวต่ำ หยิบกล่องจากมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ เปิดฝาขึ้นเผยให้เห็นผ้ากำมะหยี่เนียนนุ่มที่บุอยู่ภายใน แล้วบรรจงหยิบไวโอลินบรรจุลงไปอย่างทะนุถนอม

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังทำหน้าเหลอหลา เพราะยังไม่ค่อยมั่นใจนักว่าของฟรีมีจริงในโลกนี้ด้วยหรือ หญิงสูงวัยกลับยื่นกล่องไวโอลินให้เขาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ตอนนั้นเอง กลิ่นกุหลาบเข้มข้นก็โชยแตะจมูก

กลิ่นนั้นช่างหวานละมุนยวนเย้า ราวกับต้องการตอกย้ำให้ฮันกีมั่นใจว่า ถ้าเขากล้าพอที่จะเสี่ยงเป็นอัศวินในเทพนิยาย หลังเสร็จสิ้นภารกิจแสนลำบากยากเข็ญ ตอนรอดชีวิตกลับมายังปราสาทย่อมได้รับรางวัลอย่างงามแน่นอน

เมื่อรู้ตัวอีกที ฮันกีก็ออกมายืนเหม่ออยู่หน้าร้านเรียบร้อยแล้ว

เด็กหนุ่มก้มสำรวจร่างกายว่ามีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่า กระเป๋าสตางค์และสมาร์ตโฟนยังซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงตำแหน่งเดิม มือข้างขวากระชับกล้องถ่ายรูปของตัวเองเอาไว้แน่น ส่วนมือซ้าย…

หิ้วกล่องไวโอลิน!

ฮันกีหันหลังขวับ ไฟในร้านกลับปิดมืด เขาจึงลองผลักประตูให้เปิดออกทันที หวังต้องการถามเจ้าของร้านให้รู้เรื่อง ทว่าบานประตูกลับสั่นกุกกักเพียงเล็กน้อย แม่เฒ่าคงลงกลอนด้านในเอาไว้แล้ว แถมยังมีป้ายพลาสติกแบบถ้วยดูดแปะเอาไว้บนกระจกอีกต่างหากว่า ‘ปิด’ แล้ว

“เอาก็เอาวะ”

เด็กหนุ่มเกาขมับด้วยปลายนิ้วชี้ พลางถอนหายใจยาว

 



Don`t copy text!