สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 3 : Fidelio

สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 3 : Fidelio

โดย : กันต์พิชญ์

สีตคีตา (๒๔๗๕) โดย กันต์พิชญ์ เรื่องราวของ ‘ฮันกี’ หนุ่มน้อยชาวเกาหลี และ ‘คีตา’ ทายาทสายเลือดตระกูล ‘ชระ’ คนสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยวิญญาณมากมายซึ่งถูกจองจำภายใต้อาคมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในเรือนมนิลาแสนสวยงาม วิญญาณทุกดวงจะสู่สุขคติไหม อ่านออนไลน์ได้ในเว็บไซต์ anowl.co ที่ๆ มีนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ให้อ่านออนไลน์

“ถ้าง่วงก็กลับไปพักผ่อนก่อนไหม”

คีตชำเลืองมองฮันกีซึ่งกำลังกลั้นหาวแวบหนึ่ง เสียงบรรเลง มูนไลต์ โซนาตา ของ เบโธเฟน แว่วออกมาจากร้านอาหารที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านก่อบรรยากาศแสนโรแมนติก

“สงสัยเจ็ตแล็กครับ เพราะเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี่เอง”

ฮันกีชายตามองหนุ่มหน้าคมเช่นกัน สิ่งที่คิดอยู่ในใจมาตั้งแต่เมื่อครู่คือ หน้าตาชายชาวอิตาลีผู้นี้ดูดีแม้ตอนไม่ได้คลี่ยิ้ม เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก็ทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนได้แล้ว

“จ้องผมแบบนี้ คงสงสัยสิครับว่าผมกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือเสแสร้งอะไรอยู่หรือเปล่า” คีตสัพยอก

“เอ้อ…ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แค่กำลังคิดว่าคุณดูไม่เหมือนชาวตะวันตกทั่วไป ก็เลย…” ฮันกีละล่ำละลักเฉไฉ

ก็เมื่อกี้เห็นคีตแอบหันไปซุบซิบอะไรก็ไม่รู้กับพนักงานเสิร์ฟแบบนั้น เป็นใครใครก็คิดทั้งนั้นแหละว่า การที่คีตอาสาเป็นไกด์ให้เขาฟรีๆ แบบนี้ เบื้องหลังอาจมีเรื่องลับลมคมในแอบแฝงอยู่ก็ได้

ฮันกีตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ “แล้วเมื่อครู่ผมยังเห็นพนักงานเสิร์ฟคุยกับคุณ…”

“อ้อ อนิตาน่ะเหรอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ เธอชมว่าคุณน่ารักดี แถมยังตัวสูงกว่าชาวอิตาลีบางคนเสียอีก…” คีตตอบสบายๆ สีหน้าของเขาดูสุภาพนิ่มนวลมากขึ้นไปอีก ไม่ได้ทำตัวห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพานพบ “ที่ผมดูไม่เหมือนคนที่นี่ คงเพราะพ่อกับแม่ของผมเป็นคนไทยน่ะ”

“อา…”

ฮันกีไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น กวาดตามองภูมิประเทศรอบกายแทน

แต่อยู่ดีๆ คีตกลับชะงักฝีเท้า ยืนหันหน้าเข้าหาผนังกระจกใสของร้านเครื่องสำอาง ยกมือขึ้นจัดการกับเส้นผมที่รั้นโผล่พ้นจากกลุ่มเพื่อนออกมาโดกเดกท้าลมให้เข้าที่ มองสำรวจตัวเองอย่างละเอียดลออ

ฮันกีแอบกลอกตาให้กับมัคคุเทศก์ที่ได้แถมมากับการซื้อคัปปุชชีโนแก้วหนึ่ง

ไอ้เราก็นึกว่าเดินสะดุดอะไร ที่แท้ก็เอาแต่ห่วงหล่อ!

“เพื่อนเคยบอกว่า คิ้วและสันจมูกของผมคล้ายกลุ่มชาติพันธุ์โรมานซ์แท้ๆ ส่วนตากับปากของผมก็เหมือนพ่อชาวไทย คุณคงเห็นจุดเด่นจากความคล้ายคนแถวนี้ของผมกระมัง ถึงได้รู้สึกว่าผมแตกต่างจากคนที่นี่อยู่สักหน่อย” คีตอธิบาย

“ก็ดูมีเอกลักษณ์ดีนะครับ แล้วชื่อของคุณ คุณแม่เป็นคนตั้งให้เหรอ” น้ำเสียงฮันกียังคงราบเรียบ ทว่าเจือความหมั่นไส้อยู่เล็กน้อย

“คีตาน่ะเหรอ พ่อเป็นคนตั้งให้ หมายถึงการขับร้อง”

“ภาษาไทยนี่เอง พอดีผมเห็นชื่อคุณเขียนเอาไว้บนเข็มกลัด ก็เลยนึกว่า…”

“Keith? เพื่อนๆ ชอบเรียกผมอย่างนั้นน่ะครับ” คีตาไม่ได้เจอใครน่ามองแบบนี้มานานมากแล้ว เพียงแค่หันหน้าจ้องได้ครู่เดียว เด็กหนุ่มก็กระสับกระส่ายบอกไม่ถูก พอฮันกีหันมา เขาจึงรีบเสตาไร้มารยาทมองไปทางอื่น “แล้วคุณล่ะ”

“ผม?”

“ชื่อคุณหมายความว่ายังไงเหรอ”

“ฮันกี…ฮันที่เขียนด้วยอักษรฮันจาหรืออักษรจีน 寒 แปลว่าเย็น ส่วนกี…เขียนด้วย 氣 หมายถึงจิตใจและพลัง” หนุ่มไอซ์สเกตวาดนิ้วเป็นตัวอักษรบนอากาศ

“สมกับชื่อของนักกีฬาไอซ์สเกตจริงๆ จะว่าไป…เดี๋ยวนี้หนุ่มเกาหลีตัวสูงกันมากเลยนะครับ”

“ชาวเกาหลีใต้เป็นพวกบ้าความสูง ให้ลูกกินอาหารเสริมตั้งแต่เด็กเลยละ บางรายหนักถึงขั้นส่งเด็กเล็กๆ ไปเข้าโปรแกรมเพิ่มความสูง พ่อกับแม่ของผมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กระทั่งพ่อถูกส่งไปรับตำแหน่งในโรงงานที่ต่างประเทศนั่นแหละ แม่ผมถึงได้เพลาลง”

คีตาหัวเราะร่า ดูร่าเริงเกินกว่าจะเรียกได้ว่า ‘สติสมประกอบ’

“เป็นประเทศที่น่าสนใจจริงๆ”

“แล้วนี่คุณจะพาผมไปถ่ายรูปอะไรเหรอ” ฮันกีสังเกตว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะเป็นด้านที่ตะวันสาดแสงเข้าหางตาทางด้านซ้าย

หนุ่มลูกครึ่งยังคงทำหน้าทะเล้น “ความโรแมนติก ความรัก และรอยจุมพิต”

“ความรัก? ไม่มีกล้องตัวไหนในโลกถ่ายติดความรักได้หรอกครับ”

ดวงตาสดใสเจิดจ้าของฮันกีฉายแววคลางแคลง หว่างคิ้วผุดความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวให้เห็นอยู่เบาบาง แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดของนักกีฬาไอซ์สเกตผู้นี้กลับเป็นความใสซื่อบริสุทธิ์และสุขุม

“อีกเดี๋ยวเดียวก็ได้เห็นเองละน่า ดูจากการแต่งตัวของคุณ ขอเดาว่าน่าจะเป็นคนชอบสีพาสเทล ซึ่งคนที่ชอบเฉดพวกนี้มักเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้ความสำคัญกับความรักและครอบครัวใช่ไหมล่ะ ยิ่งถือกล้องราคาแพงไว้ในมือตลอดเวลาแบบนี้ คงอยากเก็บความรู้สึกตอนกดชัตเตอร์ลงไปมากกว่าอยากเก็บอย่างอื่น”

“มองคนเก่งขนาดนี้ถ้าไม่บอกว่าอายุสิบแปด ผมคงคิดว่าคุณเลยวัยกลางคนไปแล้วแน่ๆ”

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะครับ”

คีตายิ้มแฉ่ง น้อยมากที่เขาจะถูกใจใครสักคน ยิ่งได้พูดคุยก็ยิ่งหวั่นไหว ตั้งแต่ย้ายมาเรียนไฮสกูลที่บ้านเกิดของมารดา มันช่างเป็นการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงา จนทำให้เขาชักนึกถึงความอบอุ่นจนร้อนระอุของเมืองไทยถี่มากขึ้น

“แล้วไอ้ ‘ความรัก’ ของคุณนี่มันต้องไปทางนี้เหรอ”

หนุ่มไทยพยักหน้า “ตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวก็ถึง แล้วการเป็นนักกีฬาไอซ์สเกตอาชีพนี่สนุกไหม”

“ก็ดีครับ แต่เป็นชีวิตออกจะโดดเดี่ยวอยู่สักหน่อย ถึงผมจะได้เปลี่ยนบรรยากาศตะลอนไปแข่งที่โน่นที่นี่เป็นประจำก็เถอะ นอกเหนือจากนั้นถ้าไม่มีซ้อมก็เรียนหนังสือ”

ฮันกีขยับริมฝีปากบางพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังสอดส่ายหาอะไรบางอย่าง

เสียงโซปราโนพลิ้วแผ่วมาตามสายลมเย็น ผสานกลิ่นกุหลาบกับกลิ่นต้นไทม์จากสวนบ้านไหนสักบ้านทำให้อากาศหอมตลบอบอวล ดนตรีที่เด็กหนุ่มได้ยินมีความรื่นเริง ทว่าการขับร้องกลับดึงความเห็นอกเห็นใจผู้ได้ฟังอยู่ไม่น้อย

ฟีเดลีโอ” คีตาเอ่ยเมื่อเห็นฮันกีเงี่ยหูฟังอย่างสนอกสนใจ

“เหมือนชื่ออุปรากรเลยนะครับ”

“ใช่เลย เนื้อร้องกำลังพูดถึงความเสียสละของลีโอนอร์ ซึ่งเธอได้ปลอมตัวเป็นผู้คุมนักโทษชื่อฟีเดลีโอ เพื่อจะได้ลอบเข้าไปช่วยฟลอเรสทาน…สามีของเธอให้ได้รับอิสรภาพ”

หนุ่มเกาหลีใต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ท่าทางคุณมีความรู้เรื่องดนตรีและอุปรากรมากทีเดียว”

“ก็ผมเป็นนักเรียนในโรงเรียนดุริยางคศิลป์นี่”

“มิน่าล่ะ แบบนี้ก็น่าจะแต่งเพลงบรรเลงได้ใช่ไหม”

“ก็พอได้นะ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อย ทำไมเหรอครับ”

“เผื่อผมจะขอเช่าลิขสิทธิ์เอาไปเปิดตอนแข่งไอซ์สเกตไง”

คีตาจ้องริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่กำลังขยับพูดตาไม่กะพริบ จู่ๆ แรงขับเร่าร้อนก็ผุดขึ้นภายในใจ เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มหน้าผากทั้งที่อากาศในที่โล่งออกจะเย็น

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ฮันกีผินหน้ามามอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป

คีตากระอึกกระอัก ตื่นจากภวังค์อันพร่าเลือน “ด…ได้สิ ไม่ต้องจ่ายตังค์หรอก ถ้ามีโอกาสผมจะทำให้คุณไปใช้ในการแข่งฟรีๆ เลย”

ฮันกียังคงติดใจ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะตัวสูงกว่า จากนั้นยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่าย “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา แต่ยังไงก็ขอบใจมากนะ รอบนี้ผมใกล้จะลงแข่งแล้วคงไม่ทัน เอาไว้คราวหน้าถึงจะมารบกวน”

คีตาพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วฟลอเรสทานทำผิดอะไรเหรอ” ฮันกีถาม ยังคงสงสัยในเรื่องราวของอุปรากรที่ได้ยินเมื่อครู่

“เขาเป็นนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต”

“อย่างนี้นี่เอง…” หนุ่มร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆบนผืนฟ้า “คุณว่าการอธิษฐานขอพรจะช่วยให้คนเราหลุดพ้นจากความทุกข์ยากได้ไหม”

“ผมเชื่อเพียงว่า มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง” คีตาตอบโดยไม่เงยหน้า กลิ่นกุหลาบลึกลับที่โชยมาจากร่างของฮันกี ทำให้หัวใจเขายังคงเต้นระรัว “แล้วก็ต้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น”

“อือ…”

ทั้งที่เป็นคำพูดพื้นๆ ของคนที่ยังไม่จบไฮสกูลด้วยซ้ำ แต่ฮันกีกลับสะเทือนใจจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ทำได้เพียงส่งเสียงอือออ

“ชีวิตคนเรายังมีอะไรอีกตั้งมากมายรอให้แสวงหา”

ฮันกีคลี่ยิ้ม เห็นด้วย “หนึ่งในนั้นคือความรัก?”

“อะไรนะ” คีตาหันมาจ้องฮันกี น้ำเสียงกลั้วหัวเราะแห้งๆ เพราะสมองยังคงมึนงง

แววตาหนุ่มนักกีฬาผุดแววขี้เล่นขึ้นมาบ้าง “ก็คุณกำลังพาผมเดินไปถ่ายรูปอยู่นี่ไม่ใช่หรือไง”

คราวนี้คีตาพยักพเยิด ไม่ได้ต่อคำ ทำให้ฮันกีต้องมองตามสายตาหนุ่มไทย

สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือ อาคารอิฐเก่าแก่ขรึมขลัง เป็นสถาปัตยกรรมที่ขับเน้นความหรูหราแบบบารอค

“นี่น่ะเหรอความรักที่คุณว่า” ฮันกีขำ

“เข้าไปข้างในเดี๋ยวก็รู้เองละน่า” คีตาลากแขนฮันกีลอดเข้าไปตามทางเดินใต้อาคาร

“ผมก็นึกว่าเป็นสถานที่แสนโรแมนติกอย่างสะพาน ปงเดซาร์ ในปารีส” ฮันกีมองสำรวจหนุ่มน้อยที่ยืนทำหน้าแป้นแล้นอยู่ข้างๆ ตัวเอง

“ที่นี่เป็นบัณฑิตยสถานศิลปะ ฝั่งหนึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์”

เด็กหนุ่มทั้งสองเดินไล่สายตาไปตามผืนผ้าใบทั้งเล็กและใหญ่ ผ่านไปครู่หนึ่ง คีตาสะกิดฮันกีให้มองดูภาพเขียนภาพหนึ่ง

ตรงกึ่งกลางภาพสีน้ำมัน มีชายหญิงกำลังจุมพิตอย่างดูดดื่มเร่าร้อน เงาของทั้งคู่ทาบทับลงบนบันไดหินขาวโพลนทางด้านขวา ส่วนด้านซ้ายมีประตูไร้บานคล้ายหลุมอันมืดมิด

“การลงสีทั้งสองฝั่งดูตัดกันชัดเจนนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมภาพเขียนแสนจะโรแมนติกภาพนี้แฝงความลึกลับและอันตรายชอบกล”

คีตาหันขวับ แปลกใจกับความเฉลียวฉลาดในคำของฮันกี เขาจ้องหน้าตาหล่อเหลาของหนุ่มร่างสูงร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรอย่างอดใจไม่ไหว กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของหนุ่มไอซ์สเกตดูสมส่วนแบบนักกีฬา ผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าดูผุดผาดภายใต้แสงอาทิตย์ คิ้ว ตา และจมูกช่างคมคายชวนมอง

ในเมื่อคีตาได้แต่บื้อใบ้ ฮันกีจึงพูดต่อ

“ปกเสื้อคลุมของผู้ชายเป็นสีเขียว ใส่สต็อกกิงสีแดง ส่วนผู้หญิงสวมชุดยาวสีน้ำเงินแซมขาว” หนุ่มไอซ์สเกตเว้ยจังหวะครุ่นคิด “จะว่าไปก็คล้ายสีธงชาติของอิตาลีกับฝรั่งเศสเหมือนกันนะ”

“คุณเห็นเป็นอย่างนั้นหรือ” ในที่สุดคีตาก็เอ่ยขึ้นมาได้เสียที

“แล้วใครเป็นคนวาดภาพนี้ขึ้นมาเหรอ”

ฟรันเชสโก อาเยซ วาดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1859”

“ช่วงนั้นนโปเลียน…”

“ใช่ เป็นช่วงหลังจากที่นโปเลียนแห่งฝรั่งเศสพ่ายแพ้ศึกที่วอเตอร์ลู” สายตาคีตายังคงจับจ้องภาพเขียน “การขยายอำนาจของนโปเลียนไปยังดินแดนต่างๆ ในยุโรปก่อให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมา”

“แล้วทำไมชาวอิตาเลียนถึงไม่ชอบล่ะ หลังนโปเลียนพ่ายแพ้ อิตาลีก็เป็นอิสระไม่ใช่เหรอ”

“เมื่อก่อนอิตาลีถูกแบ่งแยกการปกครองออกเป็นหลายส่วน พอนโปเลียนเข้ายึดครองได้ ผู้คนที่นี่ก็เลยรู้สึกชาตินิยมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถทำให้อิตาลีรวมตัวกันได้”

“ผมจะพยายามคิดว่าภาพนี้มันโรแมนติกอย่างคุณว่าก็แล้วกัน” ฮันกียิ้มแห้ง สีหน้าดูไม่ใคร่จะเบิกบาน

“ฮ่าๆ คำว่าชาตินิยมออกจะโรแมนติกนี่นา” คีตาพยายามกลั้นขำจนตัวโยน เมื่อเห็นอาการอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเรื่อง “คุณอยากรู้ความหมายของบทกวีนั่นหรือเปล่า”

“บทกวีอะไรเหรอ” ฮันกีตามความคิดคีตาไม่ทัน

“ก็ผมเห็นคุณยกกล้องถ่ายภาพจำลองลายมือของจาโคโมที่ใส่กรอบใหญ่ยักษ์แปะอยู่บนฝาผนังในร้านกาแฟนั่นไง”

“อ้อ…” หนุ่มไอซ์สเกตเพิ่งนึกออก

คีตายกแขนขึ้นโอบไหล่คนตัวสูงกว่า ขณะที่ฮันกีลูบไล้กล้องถ่ายรูปในมือเรื่อยเปื่อย

“กวีนิพนธ์สุดแสนจะโรแมนติกที่ชื่อ L’infinito หรือ ‘อนันตภาพ’ ของหนุ่มน้อย จาโคโม เลโอปาร์ดี ตอนเขาเขียนบทกวีบทนี้ อายุเพิ่ง 20 เท่านั้นเอง”

“แล้ว…”

“ผมค่อนข้างชอบบทกวียุคโรแมนติกของอิตาลีมากทีเดียว เดี๋ยวผมจะแปลลายมือที่คุณถ่ายมาให้ฟัง คิดว่าคุณก็น่าจะชอบเหมือนกัน”

ฮันกียังคงเงียบ ทว่าความหมองหม่นบนใบหน้าเจือจางลงไปมากแล้ว

“แล้วก็นะ หัวคิ้วของคุณคู่นี้กำลังบ่นให้ผมฟังว่า ตอนนี้ข้างในมีแต่ความขุ่นมัวอยู่เต็มไปหมด” คีตาใช้นิ้วชี้จิ้มลงเบาๆ ตรงหว่างคิ้วฮันกี

“ก็เลยร่ายบทกวีคลายความว้าเหว่ให้ผมงั้นสิ? หนุ่มนักกีฬาหัวเราะในลำคอ ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพวาดตรงหน้าเอาไว้

คีตาคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนเจื้อยแจ้วอธิบายพลางนึกถึงบทกวีแล้วไล่แปลไปทีละบรรทัดจนจบบท

หุบเขาเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ก่อความพึงใจให้ฉันเสมอมา

เส้นขอบฟ้ากลับบดบังด้วยพุ่มไม้

แต่เมื่อนั่งเพ่งพินิจความว่างไร้สิ้นสุด พ้นแนวพุ่มที่เรียงราย

ความสงัดเหนือมนุษย์แลความสงบก็บังเกิดในหัวใจ จนนึกประหวั่น

ครั้นได้ยินสายลมแผ่วผ่านแทรกชำแรกไม้

จึงเทียบเคียงเสียงนี้กับความสงัด…ไร้สิ้นสุด

กระทั่งรู้สึกถึงความเป็นนิรันดร

ฤดูที่วางวาย ฤดูที่มีชีวิตชีวาในยามนี้ แลกระแสเสียงแห่งฤดู

เหล่านี้ล้วนหวนคืนสู่ห้วงคะนึง

ข้าจึงดำดิ่งสู่ความไพศาล

พลิ้วหวานหลงใหลในทะเล

ฮันกีมองริมฝีปากคีตาที่กำลังขยับอธิบายบทกวีศตวรรษที่ 19 จู่ๆ ความปรารถนาแบบเด็กหนุ่มก็พลุ่งพล่าน ทำให้ลำคอเขาแห้งผาก รู้สึกกระสับกระส่าย

“ผมว่า…” คีตายกมุมปากเล็กน้อย ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าจะมองกันขนาดนี้ จับผมถอดเสื้อผ้าไปเลยดีกว่าไหม”

“พูดอะไรบ้าๆ”

ฮันกีรู้สึกว่าติ่งหูของตัวเองกำลังร้อนผ่าว พร้อมกับเสียงหัวเราะของคีตาที่ดังมากขึ้นเรื่อยๆ

“ความสามารถในการแปลบทกวีของผมทำให้คุณดื่มด่ำซาบซึ้งขนาดนี้ ถือว่าผมแปลเก่งเหมือนกันนะนี่ ฮ่าๆ”

 



Don`t copy text!