สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 4 : margherita

สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 4 : margherita

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

สีตคีตา (๒๔๗๕) โดย กันต์พิชญ์ เรื่องราวของ ‘ฮันกี’ หนุ่มน้อยชาวเกาหลี และ ‘คีตา’ ทายาทสายเลือดตระกูล ‘ชระ’ คนสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยวิญญาณมากมายซึ่งถูกจองจำภายใต้อาคมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในเรือนมนิลาแสนสวยงาม วิญญาณทุกดวงจะสู่สุขคติไหม อ่านออนไลน์ได้ในเว็บไซต์ anowl.co ที่ๆ มีนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ให้อ่านออนไลน์

ฮันกีม่อยหลับอยู่บนโซฟา และเมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าแสงสว่างเหนือผืนฟ้านอกหน้าต่างโรงแรมถูกแทนที่ด้วยม่านแห่งรัตติกาล

บรรยากาศยามค่ำคืนรอบด้านไร้สรรพเสียง สายลมเย็นเฉียบ ความหนาแน่นของอากาศแตกต่างไปจากช่วงกลางวัน ภาพบ้านเรือนหลังกำแพงซึ่งปกคลุมด้วยไม้เลื้อยเลือนหายท่ามกลางสายหมอก เห็นเหล่าสนไซเปรสและภูเขาก่อเงาตะคุ่มอยู่เลือนราง

นี่สินะ…มิลาน

ฮันกีเผยอยิ้มออกมาออย่างไร้เหตุผล เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เข็มสั้นและยาวชี้บอกเวลา 20:21

“อึยซู…”

เขายกศีรษะขึ้น เรียกชื่อ พลางเหลียวหารูมเมตซึ่งเป็นนักกีฬาไอซ์สเกตร่วมชาติอีกคน ทว่าไร้เสียงขานรับ มีเพียงเสียงซิมโฟนีเคล้าเคลียแผ่วเบา

“ไปไหนของเขานะ แถมไม่ยอมปิดเครื่องเล่นเพลงอีก”

สายตาฮันกีไปหยุดอยู่ที่คอนโทรลเลอร์ระดับเสียงแบบหมุนชุบทองของเครื่องเล่นแผ่นเสียงราคาเกือบสิบล้านวอนก่อนบ่นเพื่อนสนิท

ขณะกำลังจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ฝ่ามือก็สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างนิ่มๆ เย็นๆ ฮันกีกระตุกมือขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ ลุกลนเดินไปเปิดไฟ

แสงขาวอมเหลืองจากโคมไฟข้างเตียงคู่สาดส่องมัณฑนศิลป์สไตล์ยุโรปแบบเรียบแต่หรู ดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งวางอยู่บนโซฟา เกสรสีเหลืองยู่ย่นเล็กน้อยอันเป็นผลพวงมาจากแรงกดจากฝ่ามือของเขาเมื่อครู่

ฮันกีเดินไปหยิบมันขึ้นมาสูดกลิ่นอายที่ยังหลงเหลืออยู่บางเบา ก่อนไพล่นึกไปถึงภาพที่เขาเพิ่งถ่าย

ภาพล่าสุดได้บันทึกรอยยิ้มกว้างของคีตาเอาไว้ เป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น คีตายกแขนขวาคล้องคอฮันกีดูสนิทสนมเหลือประมาณ ความทรงจำเมื่อช่วงบ่ายผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง

ฮันกีสูดลมหายใจลึก ประหนึ่งกำลังรวบรวมความกล้า

‘เลิกงานแล้วไม่ไปเที่ยวไหนกับแฟนเหรอครับ’

‘ไม่มี ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครนะ ไม่รู้ซี…เหมือนคนที่เอาแต่เฝ้ารอให้ใครสักคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเองละมั้ง’ คีตาหัวเราะอย่างคนรู้ทัน ‘อย่ามาหลอกถามผมเสียให้ยากเลย แล้วคุณล่ะ อย่าบอกนะว่าหนุ่มน้อยน่ารักอย่างคุณเนี่ย ก็ไม่เคยมีแฟนเหมือนกัน”

เขาย้อนด้วยความหมายของฮันกี

‘ผม…’

นักไอซ์สเกตเม้มริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ประหนึ่งกำลังค้นหาอะไรบางอย่างบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล ครู่หนึ่งคีตาถึงได้ยินเสียงฮันกีเอ่ยต่อขึ้นมาแผ่วเบา

‘ผมเอง…ก็กำลังรอใครสักคนเหมือนกัน’

คีตาพลอยแหงนมองท้องฟ้าไปกับฮันกีด้วย เฉดพาสเทลบนนั้นราวถูกแต่งแต้มเอาไว้ในห้วงฝัน ขณะที่กลุ่มใยไหมขาวผ่องพองฟูไหลเอื่อย ฮันกีพลันตกผลึกอะไรบางอย่างในความคิด

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้

แม้บางคนอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานหลายปี บางครั้งก็ ‘ทึกทัก’ ไปเองว่าจะต้องเป็นคู่ที่รักไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ทว่าคนผู้นั้นกลับไม่รู้เลยว่า ‘เนื้อแท้’ แล้วคู่ของตนเป็นใคร และแม้บางคนจะพานพบกันไม่กี่ชั่วโมง กลับก่อกลิ่นละมุนคล้ายบุปผาเพิ่งแย้มกลีบส่งกลิ่นอวลฟุ้งอยู่ในช่องอกอย่างไร้สุ้มเสียง

คีตาย่อกายลงตรงกอพืชซึ่งโผล่พ้นซอกอิฐแหว่งวิ่นบนทางเดินแล้วเด็ดดอกขาวนวลขึ้นมาดอกหนึ่ง ยื่นให้ฮันกี

‘นี่คือมาร์เกรีตา’

‘ดอกหญ้า?’

คีตาส่ายหน้า ‘ดอกเดซี่’

เสียงออร์เคสตราประกอบอุปรากรเรื่องฟีเดลีโอที่ฮันกีได้ยินมาตั้งแต่เมื่อครู่ ยังคงแว่วทะลุผ่านอากาศและกำแพงเข้าสู่ใบหู มุ่งตรงเข้าไปในช่องอกเด็กหนุ่ม เสียงนั้นเคลื่อนลงไปแตะก้นบึ้งของหัวใจ ก่อเสียงสะท้อนกังวานใส กระทั่งความหมองหม่นซึ่งตกตะกอนอยู่ตรงนั้นถูกแทนที่ด้วยประกายวับวาว

ฮันกีค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกล้ำ

ทั้งที่ฤดูอันหนาวเหน็บแห้งผากไม่ต่างอะไรกับจิตใจผู้คนกำลังจะผ่านไป อากาศอันอบอุ่นและสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิกำลังแผ่เข้ามา ทว่าการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากคนอันเป็นที่รักนั้นช่างทรมานเหลือแสน คล้ายความเยือกเย็นพยายามประวิงเวลา ก่อนเคลื่อนผ่านหน้าเด็กหนุ่มไปอย่างอ้อยอิ่ง

บางครั้งฮันกีถึงขนาดพยายามหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมไอซ์สเกต เพราะคิดว่าการกระทำเช่นนั้น อาจช่วยปลดพันธนาการเขาออกจากความว้าเหว่

แต่ที่ไหนได้

ฮันกีกลับเป็นทุกข์มากกว่าเดิม ทุกสิ่งผสมปนเปกันแล้วถาโถมเข้ามาไม่บันยะบันยัง ประหนึ่งต้องการจะกดเขาให้จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของบ่อลึกเสียให้ได้

“ชีวิตก็แบบนี้…”

ร่างสูงห่อไหล่ เปิดเปลือกตาขึ้นเชื่องช้า จากนั้นเดินไปแหวกม่านขาวบางแล้วทอดตาผ่านบานกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ไล่ตั้งแต่พื้นจนเลยศีรษะออกไปด้านนอก

สายตาฮันกีหยุดอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สีเงินคาดแถบแดงเก่าคร่ำคร่า ดูจากสภาพแล้วคงไม่มีใครใช้งานมันมานานมากแล้ว เด็กหนุ่มออกจะแปลกใจเล็กน้อยที่ยังไม่มีใครเก็บปูชนียวัตถุชิ้นนี้เข้ากรุ และนึกไม่ถึงว่าโรงแรมหรูหราแบบนี้ ยังแอบซุกซ่อนสิ่งของที่อัดแน่นด้วยความทรงจำเอาไว้

“ความทรงจำ…”

ฮันกีพึมพำ ไพล่นึกไปถึงคำพูดหยอกเย้ากลั้วเสียงหัวเราะของคีตา

‘ชีวิตก็แบบนี้ละน่า อย่าไปแบกความทุกข์เอาไว้บนไหล่มากมายขนาดนั้นเลย สังคมก็ตั้งเงื่อนไขกับพวกเรามากพออยู่แล้ว มาใช้ชีวิตสบายๆ กันดีกว่า อะไรที่หนักหนาเกินไปก็ทิ้งมันไปเสียบ้าง เก็บเรี่ยวแรงไว้ตั้งรับความอยุติธรรมและความโหดร้ายของโลกใบนี้ดีกว่า’

น้ำเสียงสดใสนั้นสามารถช่วยประสานฮันกีให้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ได้อย่างน่าพิศวง โน้มนำให้เขาใคร่ครวญถึงความหมายของการเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต

เสียงนอกประตูห้องดังลอดเข้ามา แม้การย่ำเท้าที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามานั้นไม่ค่อยดังนัก แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกความสนใจจากฮันกี

“หายหัวไปไหนมา”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามทั้งที่สายตายังคงจับจ้องสถานีปลายทางของรถไฟใต้ดินสายสีเขียวซึ่งห่างออกไปราวห้าร้อยเมตรเบื้องหน้า

“กินมื้อเย็นเสร็จก็ไปเดินเล่น มีลาโนฟีโอรี กับโค้ชและสาวๆ มา” อึยซูหมายถึงศูนย์การค้าที่เขากับนักกีฬาไอซ์สเกตหญิงร่วมชาติอีกสี่คนเพิ่งไปซื้อของมา “ง่วงจะตายชัก”

ฮันกีขำ “ขนาดง่วงยังจะชวนคนอื่นออกไปตะลอน”

“ทีตัวเองยังหายไปตั้งแต่เที่ยง แถมมีหนุ่มน้อยสุดหล่อมาส่งถึงนี่อีก ใช่ย่อยนะเรา” อึยซูแสร้งทำเป็นถอนหายใจแรงเกินจริง “ใกล้จะแข่งอยู่แล้ว โค้ชบอกว่าเสีย ‘กลูโคส’ ออกจากร่างกายเยอะๆ มันไม่ดีนะ รู้ตัวหรือเปล่า”

“พูดอะไรของนาย”

“ก็เห็นกลับมาแล้วหลับเป็นตาย ฉันก็นึกว่านายกับพ่อหนุ่มนั่น…”

คราวนี้ฮันกียกกำปั้นชกแขนเพื่อนสนิทไปหลายป้าบ จนฝ่ายหลังต้องวิ่งหลบจ้าละหวั่น

“พอแล้วๆ ฉันไม่แซวแล้วก็ได้” อึยซูร้องแรกแหกกระเชอ แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงครวญครางจากกระเพาะฮันกีได้ “เห็นไหมล่ะ มัวแต่ยืนเหม่อคิดถึงผู้ชาย ข้าวปลาไม่ยอมกิน ไอ้เราก็นึกว่ายืนมอง ฟอรัม ดี อัสซาโก อยู่ เพราะตื่นเต้นที่จะได้ลงแข่งวันมะรืน”

ฮันกียืนหาวหวอด สงบศึกกับอึยซูชั่วคราว เขาลูบหน้าท้องหวังปลอบประโลมไม่ให้ร่างกายส่งเสียงประท้วงอะไรออกมาอีก

อึยซูคงนึกว่าเขาเปิดม่านดูวิวยามค่ำคืนของ ฟอรัม ดี อัสซาโก สนามกีฬาที่มีอัฒจันทร์โดยรอบซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมไม่ถึงห้าร้อยเมตร แน่นอนว่ามันเป็นสนามแข่งที่พวกเขาจะต้องลงชิงชัยสเกตลีลาชิงแชมป์โลกในอีกสองวันข้างหน้า

คนถูกทุบแขนล้วงสมาร์ตโฟนออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา “รีบไปล้างหน้าบ้วนปากได้แล้ว ฉันจะได้พาลงไปหาอะไรกิน”

“แล้วนายจะกินกับฉันอีกสักรอบไหม” ฮันกีเดินเข้าห้องน้ำ

“ไม่เอาด้วยหรอก ท้องจะแตก”

เด็กหนุ่มเอามือรองน้ำจากก๊อกทองเหลืองเคลือบโครเมียมเงาวับขึ้นลูบใบหน้า “สาวๆ เข้าห้องพักไปหมดแล้ว?”

“ยังอยู่ที่ศูนย์การค้า” อึยซูส่ายหน้า “ฉันกลัวว่านายจะถูกโซฟาตัวนี้ดูดกลืนวิญญาณไปเสียก่อน เลยแจ้นมาปลุกแล้วจะพาไปหาอะไรกินนี่ไง”

“ขอบใจที่เป็นห่วง” ฮันกีเอ่ยลงเสียงหนักตรงท้ายคำแสดงอาการประชด

อึยซูไม่นำพา “รู้ตัวว่าติดหนี้บุญคุณฉันดีแล้ว เห็นไหมว่าฉันกำลังทำอะไร ก็กำลังนั่งอ่านรีวิวร้านอาหารแถวนี้ให้นายอยู่ยังไงล่ะ”

“จ้ะ พ่อโพรมีธีอุสผู้ขโมยไฟจากสรวงสวรรค์มาให้ข้าพเจ้าได้หุงหาอาหาร”

“ทำดีก็ไม่เห็นจะว่าดี” อึยซูกลอกตา “ทิศใต้ของโรงแรมมีร้านพิซซ่าอยู่ร้านหนึ่ง นอกนั้นก็อยู่ทางเหนือแถวศูนย์การค้า”

ตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ในห้องพักก็ดังกังวาน

“ครับ…” อึยซูยืดตัวไปคว้าหูโทรศัพท์

“พนักงานฟรอนต์โทรมาเหรอ”

คำพูดภาษาอังกฤษเจื้อยแจ้วของอึยซูเป็นคำตอบสำหรับฮันกีอยู่ในที

“ว่าไงนะครับ มีผู้ชายชื่อคีตมารออยู่ตรงล็อบบี ครับ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบลงไป” อึยซูวางหูคืนแป้นลวกๆ “ตายละวา เจอกันไม่กี่ชั่วโมงก็มีผู้ชายมาดักรอถึงหน้าโรงแรม ฮันกีของฉันนี่เนื้อหอมไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย”

ชั่วขณะที่ฮันกียังจับต้นชนปลายไม่ถูก เพื่อนสนิทก็เปิดประตู กระโจนออกจากห้องไปแล้วเรียบร้อย เขาเช็ดหน้าอย่างขอไปที รีบสวมรองเท้า แล้ววิ่งตามหลังอึยซูลงไปยังล็อบบี

อ๊าก…!

เด็กหนุ่มวิ่งย้อนกลับมาหยิบคีย์การ์ด ลุกลนงับประตู ก่อนวิ่งไปจิ้มปุ่มลิฟต์โดยสาร

ตัวที่อึยซูโดยสารเคลื่อนลงไปแล้ว ระหว่างรอตัวใหม่ ฮันกีร้อนใจจนต้องยกมือขึ้นกุมหัวแล้วเขย่าไปมาอย่างบ้าคลั่ง

ไอ้อึยซูต้องใช้เรื่องนี้ล้อเขาไปตลอดชีวิตแน่ๆ

ฮันกีขัดเขินไร้ซึ่งความมั่นใจจนปวดไปทั้งกระเพาะ เขาเดินงุ่นง่านวนไปมาอยู่หน้าลิฟต์ดุจเสือที่ติดอยู่ในจั่นหับ

ป่านนี้คนขี้โม้อย่างอึยซูคงพูดพล่ามตีไข่ใส่สีเกี่ยวกับเขาจนป่นปี้ไปหมดแล้วกระมัง!

 

ราว 3 ชั่วโมงก่อนหน้า

เมื่อคีตาหย่อนกายลงไปแช่อยู่ในน้ำอุ่นครู่หนึ่ง อาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานในร้านกาแฟตลอดทั้งวันก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย กระทั่งอาการเคลิบเคลิ้มคืบคลานเข้ามาแทนที่

เขาเปิดประตูห้องน้ำอ้าค้างเอาไว้ เผยให้เห็นห้องพักสะอาดสดใสแม้เจ้าตัวไม่ค่อยได้อยู่ห้องเท่าไรนัก

แต่ละวันของคีตาหมดไปกับการเรียนหนังสือและทำงานพิเศษในร้านกาแฟ และชีวิตก็ไม่ได้แย่จนเกินไปนัก เพราะพนักงานคนอื่นๆ ในร้านล้วนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มให้กันอย่างสนิทสนม คุยกันอย่างถูกคอ บางครั้งก็คุยเล่นไร้สาระจนหมดเรี่ยวแรง

แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาปรากฏกายต่อหน้าคีตา แววตาชายผู้นี้เจือความหมองหม่น ช่างดูตัดกันกับรัศมีแสงตะวันยามบ่ายที่ตกกระทบแล้วสะท้อนออกจากผิวกายของเขาเหลือเกิน

อายุลูกค้าหนุ่มไม่น่าจะต่างจากคีตามาก แต่ไม่รู้ว่ามี ‘จิกซอว์’ ชิ้นใดบ้างที่ขาดหายไปจากชีวิตของเขา ถึงได้แสดงออกผ่านนัยน์ตาชัดเจนเช่นนี้

กระแสสังคมก็แบบนี้ละนะ บางครั้งก็พัดพาจิกซอว์แห่งชีวิต ให้ร่วงหล่นปลิวหายไปได้อย่างง่ายดาย…

คีตานึกแล้วยิ้มกว้าง ใจอยากปลอบโยน แม้ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ในร้านกาแฟ จะสามารถช่วยเด็กหนุ่มตรงหน้าได้สักแต่ไหนก็เถอะ

แต่ที่แน่ๆ คีตาอยากเห็นลูกค้าคนนี้หาชิ้นส่วนที่ขาดหายมาเติมเต็ม ‘ภาพแห่งชีวิต’ ให้งดงาม และเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น

‘ว่ากันว่าการจะถ่ายภาพพอร์เทรตให้ได้ดี คนถ่ายต้องกระหายใคร่รู้เรื่องราวของคนตรงหน้า…’

นั่นเป็นคำหยอดของฮันกี ทั้งที่คีตาเป็นฝ่ายชวนคุยเรื่องกล้องถ่ายรูปก่อนแท้ๆ แถมยังแอบเขียนข้อความหวานๆ ไว้บนแก้วกาแฟของฮันกีอีกต่างหาก แต่นึกไม่ถึงว่าหนุ่มเกาหลีใต้จะปล่อยหมัดฮุกออกมาก่อนจนทำให้เขานิ่งงันอยู่หลายวินาที

กลิ่นซิตรัสปะปนกับกลิ่นกุหลาบโชยชายออกมาจากร่างฮันกี ขณะที่เขาเดินไปนั่งมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ตามคำแนะนำของคีตา

หนุ่มไทยสูดเอากลิ่นหอมสดชื่นเข้าปอดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันมาจากเสื้อผ้าที่ฮันกีสวมหรือเส้นผมกันแน่

คีตาเอื้อมมือไปหยิบก้อนบาธบอมบ์ทรงกลมกลิ่นเลมอนหย่อนลงไปในน้ำอุ่น มันทำให้เขานึกถึงรอยยิ้มของฮันกีขึ้นมาอีกครั้ง เสียงฟู่ตามด้วยฟองฟูฟ่องคล้ายเป็นจุดบอกเวลาให้หยุดนิ่ง เรียวนิ้วคว้าฟองน้ำใยบุกซึ่งวางอยู่ข้างเทียนหอมสีขาวเฉดดอกฟรีเซียลงมาจุ่มน้ำ

จังหวะคอนแชร์โตของ วิวัลดี จากแท็บเล็ตซึ่งเขาวางเอาไว้บนเตียงเข้าสู่ movement หรือ ท่อนเพลง ที่สอง

ลีลาที่เคยรวดเร็วเร้าใจในท่อนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นเนิบช้าอ่อนหวาน ประหนึ่งผู้ประพันธ์ต้องการให้ผู้ฟังตกอยู่ในห้วงภวังค์ล้ำลึก

กลิ่นอโรมาแห่งวสันต์…ฤดูบุปผาแย้มกลีบหลอมรวมกับเสียงเครื่องสายพาให้ใจหวิวไหวร่ายระริก

ฟองน้ำในมือค่อยๆ เคลื่อนวนบนยอดอก ก่ออารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที

จุดกึ่งกลางของร่างกายแข็งขึงโผล่พ้นฟองเหนือผิวน้ำ รอยหยักแยกตรงส่วนปลายมีของเหลวใสเยิ้มยืดสะท้อนแสงหรุบหรู่จากเทียนหอมพอให้เห็นเมือกที่ล้นออกมาเล็กน้อยดูวาววาม

ทันทีที่คีตากดฟองน้ำนุ่มๆ ลงตรงรอยแยก ความรู้สึกแปลบปลาบก็แล่นปราดจากปลายแท่งเนื้อพุ่งสู่ก้านสมอง เด็กหนุ่มเปล่งเสียงครางพลางถวิลหาริมฝีปากอมชมพูและเนียนผิวผุดผ่องของฮันกี

หลังจากใช้ฟองน้ำถูไถครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็ปล่อยมันให้จมหายไปกับฟองบาธบอมบ์ แล้วใช้เรียวนิ้วลูบคลึงท่อนลำขึ้นลงอย่างเชื่องช้าพลางกระซิบ

“ฮันกี…”

เมื่อฝ่ามือกระชับเข้ากับแท่งแห่งความเป็นชายร้อนเร่า เสียงที่เล็ดลอดออกจากริมฝีปากจึงหอบกระชั้น กระทั่งลมหายใจยังติดขัด

ท่อนกำยำถูกรูดรั้งเสียดสีจนรู้สึกซ่านสยิวคล้ายเส้นประสาทในสมองถูกรีดเค้น กระทั่งเด็กหนุ่มไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป

เขาแอ่นกายขึ้นจนสัญลักษณ์แห่งบุรุษเพศผงาดง้ำ ส่วนปลายที่ไวต่อความรู้สึกทำให้คีตากระเส่าในลำคอ สติว้าวุ่น อารมณ์ลอยละล่อง

ภาพหนุ่มนักไอซ์สเกตซึ่งติดอยู่หลังเปลือกตาเริ่มพร่าเลือน

เขาเหยียดขาออกจนตึง แล้วจิกปลายเท้าเข้ากับขอบอ่าง

ความเสียวซ่านถึงขีดสุดส่งผ่านจากต่อมลูกหมาก ร่างคีตากระตุกครั้งหนึ่ง เรียวนิ้วยังคงเกาะกุมท่อนล่างที่ชูชัน

เขาเกร็งท้องน้อยพลางขมิบบั้นท้าย พลันของเหลวสีขาวขุ่นก็พุ่งออกจากรอยแยกตรงส่วนปลาย

หนุ่มลูกครึ่งค่อยๆ หย่อนท่อนล่างให้จมลงไปในน้ำอุ่นอีกครั้ง จมจ่อมอยู่ในห้วงแห่งความสุขสมครู่ใหญ่ ในขณะนั้นเองก็เกิดความคิดซุกซนขึ้นมาอย่างหนึ่ง

“ไปเซอร์ไพรส์ฮันกีถึงที่ดีกว่า เพราะกว่าจะแข่งก็ตั้งมะรืน วันนี้เขาคงนอนดึกได้กระมัง”

คีตาหัวเราะเบาๆ ให้กับไอเดียตัวเอง เพราะเขาเพิ่งขึ้นรถประจำทางไปส่งฮันกีจนถึงล็อบบีโรงแรมซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองมิลานตั้งชั่วโมง แล้วนี่กลับมาถึงห้องและอาบน้ำยังไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ เขายังจะทนทรหดย้อนออกไปยังนอกเมืองใหม่อีกรอบอย่างนั้นหรือ

“จะให้ทำยังไงได้ ก็ใจมันเรียกร้องนี่นา”

กระเพาะอาหารอันว่างเปล่ามาตั้งแต่บ่ายพร่ำรำพันขึ้นมาทันทีราวกับกำลังส่งเสียงสนับสนุนความคิดของเด็กหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น

 



Don`t copy text!